Pages

Wednesday, December 30, 2020

0895 : Cash Flow

 

S : อยากเทรดให้ได้ Cash Flow เยอะๆ แต่ก็ยังเทรดได้บ้างไม่ได้บ้างอยู่ใช่ไหมครับ ?

.

.

P : สาเหตุที่เราสร้าง Cash Flow ได้ไม่ค่อยดี มีสาเหตุดังนี้ครับ

.

1 ในพอร์ตมี Product ที่เทรดจำนวนน้อยเกินไป หากเปรียบพอร์ตของเราเป็นร้านขายของ การมีของขายแค่ชนิดเดียว ก็มีโอกาสขายได้น้อยกว่าการมีของขายหลายๆชนิดครับ มีของขายน้อย ลูกค้าไม่ค่อยเข้าร้านก็นั่งตบยุงบ่อยหน่อย หากมีของขายมาก โอกาสลูกค้าเข้าร้านให้ได้ค้าได้ขายก็มากขึ้นตามไปด้วยครับ

.

2 เลือก Product ที่ความผันผวนต่ำ เช่น หุ้นบางตัว (เท่าที่เจอมาก็พวกหุ้นปันผล ที่ราคานิ่ง+เหนียว บางทีทั้งเดือนแทบไม่ขยับเลย หรือพวกหุ้นที่ไม่มี Volume ซื้อขายเลย การจะขยับ มี Movement ให้เราได้ส่วนต่างของราคา เก็บเข้ากระเป๋าเป็น Cash Flow ก็น๊านนานว่าจะได้เก็บสักที

.

3 จังหวะเข้า-ออก ไม่ match กับจังหวะของตลาด เช่น สมมติ หุ้นตัวนึง ราคาขึ้นๆลงๆแกว่งอยู่ที่ 3 บาท วิ่งขึ้นไป 3.3 บาท สักพักลงมา 2.8 บาท แล้วก็กลับไป 3.2 บาท ถ้าเราเข้าซื้อที่ 3 บาท แล้วดันไปตั้งจุดออกไว้แถวๆ 3.6 บาท มันก็ไปไม่ถึงให้เราได้เก็บกำไรสักที 

.

4 เจอจังหวะเกิด Trend พอดี เกิด Product ที่เราเข้าไปซื้อนั้นวิ่งยาวๆ เช่น Bitcoin วิ่งขึ้นจาก แสนกว่าบาทมาแปดแสนกว่า โอกาสซื้อแล้วขาย กลับลงมาซื้อคืน เพื่อเทรดเก็บรอบบ่อยๆก็ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ครับ เพียงแต่เราจะได้มูลค่าพอร์ตที่เติบโตมาขึ้นแทน (ก็ OK อยู่เนอะ) แต่ถ้าหากว่าไปเจอ Product ไหนที่เป็นขาลง มาร่วงยาวๆ ไม่เด้ง นี่ก็เหนื่อยเหมือนกันครับ พอร์ตก็หด Cash Flow ก็ไม่ได้ ช้ำสองต่อเลย

.

ที่กล่าวมานี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราสร้าง Cash Flow ได้ไม่ดี จริงไหมครับ ?

.

.

I : การที่เราเทรดสร้าง Cash Flow ได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำให้พอร์ตเราไม่เติบโต ขาดโอกาสที่จะนำ Cash Flow ไปขยายพอร์ตครับ แล้วก็คงจะรู้สึกห่อเหี่ยวพอดูหากเทรดแล้วสร้าง Cash Flow ไม่ค่อยได้ใช่ไหมครับ ?  

.

.

N : การจะทำให้พอร์ตไม่เหงา เจ้าของพอร์ตไม่ต้องนั่งตบยุงบ่อยๆ สร้าง Cash Flow ให้ได้สม่ำเสมอ ผมมีข้อแนะนำ ดังนี้ครับ

.

1 เลือก Product ที่ดีและเหมาะแก่การสร้าง Cash Flow บาง Product อาจจะดี แต่เทรดเพื่อสร้าง Cash Flow ได้ไม่ดี ก็มี เช่น หุ้นบางตัว ที่ปันผลดีๆ แต่ราคามักไม่ค่อยขยับ , ETFs ที่เสี่ยงน้อย แต่คนไม่เทรดกัน Volume บางๆ ก็ทำให้สร้าง Cash Flow ได้ไม่ดีเช่นกันครับ ปัจจุบันก็มีตัวเลือกที่มากขึ้น สำหรับเทรดเพื่อสร้าง Cash Flow เช่น พวก Crypto ที่มีความผันผวนสูงกว่า Product เดิมๆ เช่น หุ้น , Index ต่างๆครับ โดยส่วนตัวผมก็เลือกเทรด Bitcoin และ Ripple เป็นหลักครับ ซึ่งมันมีความผันผวนสูงกว่าหุ้น (จะดูง่ายๆก็ใช้พวก ATR วัดดูก็ได้ครับ) แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่าตามไปด้วย เลยใช้กำไรจากหุ้น ขยายพอร์ตไปเทรดครับ

.

2 วาง Money Management ให้ดี เพื่อให้เรามีโอกาสในการคุมพื้นที่เทรด ในระยะที่ราคามันจะวิ่งไปถึง เช่น อย่างใน Ripple ผมก็วางเงินเอาไว้ครอบคลุมพื้นที่ราคาตั้งแต่ 0 ถึง 24 บาท หากราคาวิ่งอยู่ในกรอบนี้ ก็สามารถเทรดซื้อ-ขาย เพื่อดึงกำไรในรูปของกระแสเงินสดออกมาได้อย่างสม่ำเสมอครับ

.

3 จุดเข้าออกที่สอดคล้องกับความผันผวน เพราะเราเทรดบน “ระยะทาง” ที่ราคามันวิ่งจากจุด A ไป B ซึ่งมันอาจจะวิ่งจาก A ไป B แล้ววิ่งย้อนกลับจาก B มา A สลับกันหลายๆรอบก็ได้ หาเราเข้าไปเทรด ดักเก็บระยะทางได้หลายๆรอบ กระแสเงินสดก็จะเกิดจากตรงจุดนั้น อย่าง Ripple ผมก็มีช่วง Take Profit ประมาณ 0.1 – 0.4 บาท ในกรณีปกติ ซึ่งสามารถเทรดซื้อ-ขายไปกลับได้จำนวนรอบที่ขึ้นครับ

.

4 ขยายให้มีหลายๆ Product ในพอร์ต ใช้ความผันผวนและ Correlation ของหลายๆ Product ให้เป็นประโยชน์ ตัวนึงขึ้นตัวนึงลง ตัวนึงวิ่งอีกตัวนึงนิ่ง สลับๆกันไปเรื่อยๆ แบบนี้พอร์ตของเราจะมี Activities สามารถสร้าง Cash Flow ได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบเลยครับ

.

5 ทำบัญชีให้ดี เพื่อดูว่า Product ไหนให้กระแสเงินสด เทียบกับเงินทุนทั้งก้อนเป็นอย่างไรบ้าง คุ้มค่าไหม รวมถึงจัดสรรกำไรในรูปกระแสเงินสดให้นำไปขยายพอร์เพิ่มได้เรื่อยๆด้วยครับ

.

นี่ก็เป็นคำแนะนำจากผมนะครับ ซึ่งเทรดในแนวทางที่ใช้พอร์ตสร้าง Cash Flow เป็น Multi Income มาโดยตลอด คุณคงไม่ปฏิเสธที่จะนำข้อแนะนำเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อสร้าง Cash Flow ได้ดีขึ้นตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ? 

.

.

Monday, December 28, 2020

0894 : Learn from your loss

 Learn from your loss

.

S : ไม่อยากขาดทุน แต่ก็ยังขาดทุนซ้ำๆอยู่ใช่ไหมครับ ?

.

.

P : การขาดทุนซ้ำๆ จากเหตุผลเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ เป็นเพราะเรายังไม่ได้เรียนรู้ว่าทำไมเราถึงขาดทุน ทำไมเราถึงพลาด เมื่อไม่ได้เรียนรู้ ความคิด พฤติกรรม ในการเทรดของเรา ก็ตอบสนองต่อตลาดเหมือนดั่งเช่นครั้งก่อนๆ จริงไหมครับ ?

.

.

I : หากเราขาดทุนซ้ำๆนอกจากเงินในพอร์ตที่จะลดน้อยถอยลงไป อารมณ์ด้านลบต่างๆ เช่น ความโกรธ ความกลัว ก็จะสะสมในใจเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนวันนึงมันอาจจะระเบิดออกมา การอาจจะตัดสินใจทำอะไรเสี่ยงๆ แบบว่า All in or Nothing ไม่รวย ก็ซวยไปเลยได้ง่ายๆครับ และเราก็คงจะรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆเลยใช่ไหมครับ ?

.

.

N : ทุกครั้งที่เราขาดทุน จะมีบทเรียนอยู่เสมอ มันเหมือนบททดสอบที่เข้ามาทดสอบเราเรื่อยๆ หากเรายังขาดทุนซ้ำๆ ด้วยพฤติกรรมการเทรดแบบเดิม เท่ากับว่าเรายังสอบไม่ผ่าน มันก็จะวนกลับมาทดสอบเราใหม่ในภายหลังอยู่ดี จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ ค้นพบบทเรียนของเราเอง ทำให้เราผ่านมันไปได้ จากนั้นเราก็จะไปเจอกับบททดสอบใหม่ๆต่อไป

.

ผมเรียกมันว่า “การล้มไปข้างหน้า” ทุกครั้งที่เราขาดทุน หรืออาจจะทำอะไรผิดพลาด (เช่น เคาะซื้อ-เคาะขาย โดยใส่ปริมาณ Asset ผิด หรือ ใส่ราคาผิด ทำบัญชีผิดพลาด อะไรพวกนี้ แม้ว่าจะไม่ขาดทุน แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงเช่นกันหากมันเกิดขึ้นซ้ำๆในอนาคต แล้วเราบริหารเงินที่มากขึ้น) เราลองย้อนดูตัวเองว่า เราได้ค้นพบบทเรียนอะไรบ้างจากเหตุการณ์นั้น แล้วเราจะไม่ผิดพลาดซ้ำอีก 

.

กระบวนการ ล้มไปข้างหน้า ก็มีดังนี้ครับ

.

1 กลับมา Review ดูว่า การขาดทุน หรือ ข้อผิดพลาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง อธิบายมันออกมาให้ละเอียด เช่น ผมเคยไปเทรดหุ้นตัวนึง ที่ราคาร่วงลงมากว่า 90% 

.

ผมก็ลองมาไล่ดูว่า มันเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แรกบ้าง แล้วผมก็พบว่า ผมเข้าไปเทรดเพราะแค่ว่ามันมี Volatility ที่ดี แต่ไม่ได้เข้าไปเจาะเรื่องพื้นฐานของบริษัท ว่ามันมีผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงทุกปี พอเทรดไปเทรดมาราคาร่วงลงเรื่อยๆ ก็ไม่ได้หยุดเทรด หรือ Switch ไปตัวอื่น แต่กลับทำโซนล่างเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนถัวเฉลี่ยในหุ้นขาลงนั่นเองครับ 

.

สุดท้ายพอราคาร่วงลงไปแทบไม่เหลืออะไรเลย ยังดีกว่ามีกระแสเงินสดที่ Feed ออกมาจากการเทรดได้ราวๆ 60% ของเงินทุน สรุปก็เจ็บตัวไปพอควรเลย 

.

2 ถามตัวเองดูว่า จากเหตุการณ์นั้น เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ลองไล่ออกมาเป็นข้อๆดูครับ มันจะเป็นบทเรียนที่เราค้นพบเอง แล้วมันมาจากประสบการณ์ของเราจริงๆ เรียกได้ว่าจำได้ไม่มีลืม แตกต่างจากความรู้ที่เราอ่านจากในหนังสืออย่างมากเลยครับ 

.

3 จะทำอะไรต่อไป เอาบทเรียนที่ได้ไปพัฒนาการเทรดได้อย่างไร พอเราได้ค้นพบบทเรียนของเราเองแล้ว การจะไปต่อก็คือการเอาไปปรับใช้ให้เข้ากับแนวทางการเทรดของเรา ให้มัน Work มากขึ้นนั่นเองครับ

.

ถ้าจากที่ผมยกตัวอย่างเหตุการณ์ในข้อข้างบน ผมมีสิ่งที่ได้เรียนรู้และสิ่งที่เอาไปพัฒนาการเทรดของผมเอง ก็คือ 

.

- เลือก Asset ให้ดี เทรด ETFs หรือ ไม่งั้นก็ต้องเลือกบริษัทที่ดี ในอุตสาหกรรมที่ดี และทำการบ้านพื้นฐานบริษัทก่อนทุกครั้ง

.

- หากจะเสี่ยงไปเทรดหุ้น ให้แบ่งกำไรไปเทรด อย่าเอาทุนไปเสี่ยง หากขาดทุนจะเป็นแค่ขาดทุนกำไร และเงินทุนหลักของเรายังอยู่ครบ 

.

- วาง Money Management ให้จบก่อนเทรด ไม่เพิ่มเงิน เพิ่มโซนเข้าไปทีหลัง เป็นการ Limit Loss

.

- หยุดให้เป็น หากเจอ Drawdown ถึงจุดที่ต้องหยุด ก็ให้หยุดเทรด

.

- มีแผนสำรอง หากเราไปเทรดในหุ้นที่ไร้อนาคต แล้วถึงจุดหยุด ก็หาตัวที่จะ Switch เพื่อ Cover Drawdown ให้เจอ

.

- หุ้นตัวไหนดูเสี่ยงสูง ช่วงที่จังหวะมันวิ่งขึ้นแรงๆ แล้วพอร์ตมีกำไร ให้ตัดขายทำหุ้นฟรีทิ้งไว้ในพอร์ตบ้าง แล้วชักทุนคืนให้ไว 

.

- ยอมรับในความผิดพลาด จะรู้สึกผิดบ้างก็ไม่เป็นไร และอย่าเสียใจให้นานนัก ชีวิตต้อง Move On

.

ก็ประมาณนี้ครับ เรียกได้ว่าจำได้แม่นเลยแหละ ช่วงหลังมาก็เลยไม่มีเจ็บตัวจากหุ้นเท่าไหร่ เหมือนเราสอบผ่านไปแล้ว ทีนี้เราก็จะไปเจอโจทย์ใหม่ๆแทนครับ

.

ทั้ง 3 Steps นี้ ทั้ง การ Review อธิบายข้อผิดพลาดออกมาให้ละเอียด , การที่เราลองถามตัวเองว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง และ เราจะเอาบทเรียนที่ค้นพบไปใช้พัฒนาการเทรดได้อย่างไร คือข้อแนะนำจากผมนะครับ 

.

คุณคงไม่ปฏิเสธที่จะนำมันไปใช้เพื่อค้นหาบทเรียนเฉพาะตัวของคุณเองที่ได้จากความผิดพลาดตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ?

Saturday, December 26, 2020

0893 : เทรดอย่างสบายใจ

 

S : อยากเทรดอย่างสบายใจ แต่ก็ยังกังวลอยู่บ่อยๆใช่ไหมครับ ?

.

.

P : ที่เทรดเดอร์มักจะมีความกังวล นั้น มีทั้งสาเหตุที่เกี่ยวกับ Positions ที่เทรด และเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับการเทรดโดยตรง อาจจะเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันแยกกันไม่ออก โดยจะมีสาเหตุ ดังนี้ครับ

1 เทรดหนักเกินกว่าที่ใจจะรับไหว จึงทำให้กังวลใจอยู่ข้างในลึกๆ 

2 มีความกังวลในด้านอื่นๆของชีวิต เช่น มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนรอบตัว ทะเลาะกับคนรัก หรือ มีเรื่องค้างคาที่รบกวนจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการงาน การเงิน สุขภาพ การจัดการเวลา รวมถึงความรักผิดชอบเรื่องอื่นๆในชีวิต

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่มีความสุข สมองคิดวนเวียนเต็มไปด้วยความกังวลจริงไหมครับ ? 

.

.

I : การที่สมองเราถูกแบ่งออกไปคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆมากมายนั้น ทำให้เราขาดประสิทธิภาพครับ การตัดสินใจก็จะแย่ลง ส่งผลให้ Performance การเทรด บางครั้งความหงุดหงิดที่สะสมไว้ ก็จะทำให้อารมณ์เข้าครอบงำเราได้อีกด้วย การจะเทรดหนักๆ หรือ ช่างแม่ง ล้มกระดาน ก็มีโอกาสเกิดได้มากขึ้น สุดท้ายเราก็จะมานั่งรู้สึกเสียดาย เสียใจมากๆกับการกระทำในช่วงที่เราทำตามอารมณ์อีกใช่ไหมครับ ?

.

.

N : การจะเทรดอย่างสบายใจ ต้องรักษาในมิติต่างๆของชีวิตให้มีความสมดุลครับ สำหรับตัวผมนั้น การสร้างรากฐานที่ดีให้กับการเทรดนั้นจะเริ่มจาก…

.

1 การเงินพื้นฐานต้องแน่น

- จัดการรายได้-ค่าใช้จ่ายให้สมดุล เพื่อมี Free Cash Flow Feed เข้าพอร์ตมาเรื่อยๆ

.

- สร้างแหล่งเงินทุนสำรองไว้อีกก้อน สัก 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน เช่นในช่วง Lock Down จาก Covid-19 ที่หลายๆคนมีสภาพคล่องที่ลดลง บางคนก็ต้องหยุดทำงาน ขาดรายได้

.

- ป้องกันความเสี่ยงด้วยประกันชีวิต ประกันภัยต่างๆให้พร้อม เพื่อถ่ายโอนความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ๆออกไป ทำให้ช่วยให้เราไม่ต้องไปดึงเงินทุน หรือ ดึงกำไรจากพอร์ตออกมาใช้ในยามที่จำเป็นครับ

.

- แยกพอร์ตเกษียณออกไปต่างหาก เป็นพอร์ตสำหรับเงินที่เราจะใช้หลังเกษียณจากการทำงาน วางแผน Feed เงินเข้าไปให้เพียงพอหากถึงเวลานั้น

.

ทั้งหมดนี้คือการเงินพื้นฐานที่เราต้องจัดการมันให้ดีครับ เพื่อให้เราเทรดได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องรีบร้อน รีบรวย สามารถทำตาม Process ได้อย่างใจเย็น 

.

ส่วนตัวผมเอง ช่วงที่เข้ามาในตลาดใหม่ๆ เคยสนใจแต่เรื่องเทรด แต่ละเลยเรื่องการเงินพื้นฐานไปเหมือนกันครับ เพราะคิดว่า เงินจากการเทรดมันหาง่ายมากๆ เรื่องการเงินพื้นฐานคงไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก เรื่องเล็กๆน่า แต่พอเทรดไปสักพัก ก็พบว่าการที่การเงินพื้นฐานของเราไม่พร้อม ไม่แน่นพอ มันทำให้มีเรื่องที่รบกวนเงินทุนในพอร์ตบ่อยๆ เดี๋ยวถอนๆ ถอนกำไรบ้าง ถอนทุนบ้าง การเทรดก็ทำตาม Process ได้ไม่ดี รีบทำกำไรตลอด พอติดดอยก็ทุกข์ กลัวเงินหาย ซึ่งมันมาจากการที่ใจเรารู้สึกขาด ไม่สมบูรณ์พูนสุข พอกลับมาจัดระบบการเงินพื้นฐานให้ตัวเอง ก็ทำให้มีความสุขมากขึ้นเยอะเลยครับ เทรดตามระบบ กำไรก็สะสมเพิ่มพูนขึ้นมาต่อเนื่องครับ

.

2 สุขภาพกายดี

“มีเงินมากมายเท่าไหร่ ก็เทียบกับสุขภาพที่ดีไม่ได้” หากเรามีเงิน แต่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงก็คงไม่มีความสุขเป็นแน่ การเทรดเป็นสิ่งที่ต้องใช้สมอง ใช้ความคิด ในการตัดสินใจ หากเราร่างกายแย่ สมองเราจะไม่อยู่ในโหมดที่พร้อมคิด พร้อมสร้างสรรค์ครับ เนื่องจากมีแต่ความกังวล ต้องการเอาชีวิตรอด ยิ่งหากเป็นช่วงที่ป่วย ก็แทบอยากพัก อยากนอน ไม่อยากทำอะไร เรื่องเทรดนี่ไม่ต้องคิดเลยทีเดียวครับ

.

สำหรับด้านสุขภาพหลักๆแบ่งเป็น 3 เรื่อง คือ การนอน การกิน การออกกำลังกาย

.

การนอน ก็จัดเวลานอนให้เพียงพอ บางคนอาจจะยอมแลกการนอนให้น้อยลง เพื่อที่จะให้มีเวลาเทรด มีเวลาทำงานมากขึ้น เพื่อหวังว่าจะได้ไปถึงความสำเร็จให้ไวขึ้น ซึ่งผมเคยโหมเทรด โหมทำงานหนัก ยอมนอนน้อย นอนวันละ 4 ชั่วโมง ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพเลย ทำให้ป่วยบ่อย ป่วยง่าย หงุดหงิดง่าย สุดท้ายการพยายามรีบเร่ง กลับกลายเป็นการทำให้เราไปได้ช้าลงเสียอีกครับ เนื่องจากเราต้องหยุดพักฟื้นร่างกาย ผมก็เลยค้นพบว่า การที่เดินหน้าไปในจังหวะของเรา รักษาสมดุลกายใจให้ดี จึงเป็นทางที่ไวที่สุดแล้วครับ 

.

วิธีการง่ายๆของผมก็คือ ตั้งนาฬิกาปลุกก่อนช่วงเวลาเข้านอนสัก 15 นาที เพื่อให้เราได้จัดการอะไรก็ตามที่ทำอยู่ให้เสร็จและก็เตรียมตัวเข้านอน แล้วก็ตั้งอีกครั้งในช่วงเวลาที่เราตั้งใจจะเข้านอน ลองคำนณจากเวลาตื่นของเราก็ได้ครับว่าเราสมควรจะเข้านอนตอนกี่โมง เช่น ชีวิตผมเป็นไฟต์บังคับอยู่แล้วว่าจะต้องตื่น 6:00 น. และ ผมต้องการนอนให้ได้ 7 ชม. เพราะงั้นผมต้องเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม ผมก็ตั้งเวลาปลุกรอบแรก 22:45 น. และอีกรอบตอน 23:00 น. เป็นต้นครับ

.

การกิน กินอาหารที่มีประโยชน์ ดีต่อสุขภาพในระยะยาว ลดพวกของทอด ของมัน ของหวาน โดยเฉพาะน้ำตาล ก็จะช่วยให้ร่างกายเราดีขึ้นครับ ส่วนตัวผมทำ IF 12-16 ชม. ประกอบด้วยครับ เพื่อให้ร่างกายได้มีจังหวะฟื้นฟูตัวเองบ้าง 

.

การออกกำลังกาย ผมเลือกเดิน , วิ่ง และ ยืดเหยียด เป็นหลักในการออกกำลังกาย เพราะมันเรียบง่ายดี วันไหนวิ่งก็ตั้งเวลาไว้ว่าจะวิ่ง 1 ชม. วันไหนพักจากการวิ่งก็เดินให้ครบ 10,000 ก้าว ช่วงดึกๆ หลังตื่นนอน และ ระหว่างวัน (ซึ่งต้องนั่งทำงานนานๆ) จะใช้การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อป้องกัน Office Syndrome ครับ

.

3 มีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม

ชีวิตเราจะมีความสุข จากความสัมพันธ์ที่ดีครับ ทั้งกับตัวเองและกับคนรอบข้าง หากความสัมพันธ์แย่ จะมีเรื่องให้ต้องปวดหัว รบกวนการเทรดอยู่ตลอด หรือไม่ก็ทำเป็นลืม เก็บซ่อนมันไว้ให้มิดชิดที่สุด แต่สุดท้ายก็จบระเบิดออกมาอยู่ดี หรือ ต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่ Toxic ก็รบกวนใจเราได้เช่นกันครับ หากอยู่ในสถานการณ์ประเภทนี้ก็ต้องหาทางสะสางมันให้ได้ ไม่งั้นก็จะต้องทนทุกข์แบบนี้ไปเรื่อยๆ 

.

ข้อแนะนำที่ผมพอจะแนะนำได้ก็คือ

1 มองสถานการณ์ตามความเป็นจริง ว่าอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง มัน Work ต่อชีวิตเราไหม

.

2 กล้าที่จะสื่อสาร เรื่องที่อึดอัด เก็บงำอะไรเอาก็ ก็หาโอกาสไปสื่อสาร พูดคุยกันตรงๆ ชีวิตจะได้เบาขึ้น ไม่ต้องแบกอะไรไว้ทั้งหมด

.

3 ทำให้ชีวิตไม่มีเรื่องค้างคา ให้มันจบสมบูรณ์ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะสมหวัง หรือ ผิดหวัง ก็ให้เรา Complete กับมัน วันดีคืนดี หากมีอะไรที่มันค้างคาโผล่ขึ้นมา เช่น เรื่องที่เราอาจจะบอกกับตัวเองว่า ช่างแม่ง ไปแล้ว แต่มันก็ยังโผล่ขึ้นมาในความคิดบ่อยๆ แสดงว่ามันยังค้างคาอยู่ครับ (ลองไปดูหนังเรื่อง How to ทิ้ง ก็ได้นะ อารมณ์ประมาณนั้นเลย) ก็ไปทำให้มันจบเสีย ใจก็จะเบาสบายครับ

.

4 กล้าที่จะสร้างกติกาในความสัมพันธ์ที่ไม่ OK หากสามารถทำได้ก็สื่อสารให้ชัดเจนว่าเราไม่ชอบอะไร มันมีผลกระทบอะไรต่อเราบ้าง ถ้าอีกฝั่งยอมรับก็ถือว่าดี สามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ หากไม่ OK ก็ลองดูว่าเรายอมรับได้ไหม หากความสมพันธ์มันจะเป็นแบบนี้ไปต่อ

.

5 ใส่ใจคนรอบข้าง จัดตารางชีวิตที่จะใช้เวลาร่วมกัน เช่น ผมจะนัดทานข้าวกับภรรยากัน 2 คน (ไม่พาลูกไปด้วย) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้พูดคุยกัน 2 คนเป็นเรื่องส่วนตัวกันบ้าง โทรหาพ่อแม่เป็นประจำ หรือ นัดโทรคุยกับอะไรแบบนี้ครับ โดยจะใช้ตัวช่วยก็คือปฏิทินในมือถือนี่แหละ ลงตารางนัดหมายไว้ล่วงหน้าเพื่อจะได้เห็นภาพของความสัมพันธ์ว่าเราจะติดต่อใครยังไงบ้างครับ

.

หากทำได้ตามนี้ ใจเราก็จะสบายขึ้น การเทรดก็จะไม่มีอะไรมาถ่วงให้หนักใจมากนัก ที่เหลือก็เป็นเรื่องของแผนการเทรด แผนการคุมความเสี่ยงแล้วครับ 

.

คุณคงไม่ปฏิเสธที่จะจะนำไปปรับใช้กับวิถีชีวิต วิถีการเทรดตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ?

Friday, December 25, 2020

0892 : New Year New You

New Year New You
.
.
S : อยากให้ New year’s resolution สำเร็จทุกๆปี แต่สุดท้ายก็แป็กมาเรื่อยๆอยู่ใช่ไหมครับ ?
.
.
P : การที่เราตั้งเป้าหมาย ตั้งปณิธานไว้ตอนปีใหม่ แล้วก็ล้มเหลว ล้มเลิกทุกที เป็นเพราะสาเหตุ…ประการ ดังนี้ครับ
.
1 ขาดวินัย จึงทำให้การลงมือทำไม่ต่อเนื่อง มีเหตุผลดีๆมาแทรกก็หยุด ก็เลิกทำ
.
2 ไม่ได้อยากได้มันมากพอ ตั้งเป้าหมายไว้เท่ห์ๆ หรือ ตามกระแส สุดท้ายก็ปล่อยมันไปกับกระแสนั่นแหละ
.
3 มีเป้าหมายหลายอย่างเกินไป ไม่ Focus สุดท้ายจึงไม่สำเร็จสักอย่าง เวลาและ Energy เรามีจำกัด หากมันถูกแบ่งไปทำอะไรหลายๆอย่าง ก็จะไม่มีพลังที่มากพอจะทำอะไรให้ลุล่วง สำเร็จ
.
4 ไม่ได้ติดตามความก้าวหน้า แรกๆก็เริ่มต้นด้วยดี ทำไปทำมา ไม่ได้มีการติดตามผล Review Process ที่เดินไปสู่เป้าหมาย ก็เลยเนียนๆเลิกทำไปซะงั้น
.
5 เก็บมันไว้กับตัวเอง ไม่ได้ประกาศ หรือ บอกให้คนอื่นรู้ จึงทำให้ไม่มีแรงส่งเสริมจากคนอื่นๆที่หวังดี พอจะล้มเลิกมันก็เลยทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องเขินกับใครมากนัก
.
.
I : หากเรายังตั้งเป้าหมายตอนต้นปีแล้วปลายปีก็มาตั้งใหม่เหมือนอีกทีอยู่เรื่อยๆแบบนี้ ชีวิตก็ไม่ก้าวหน้าไปไหนเป็นแน่ ความเชื่อมั่นในตัวเอง ความภูมิใจในชีวิตก็ลดน้อยถอยลงไป และก็คงรู้สึกว่าตัวเองปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์มากๆเลยใช่ไหมครับ ?
.
.
N : การตั้งเป้าหมายและทำให้เป้าหมายให้สำเร็จ สำหรับผมใช้วิธีประมาณนี้ครับ
1 ทำให้มันเป็นเกม เก็บคะแนนใน Process ที่เราลงมือทำ (ถ้าจะเอาเป็นหลักเป็นการ ก็ใช้ OKRs ก็ได้ครับ ฮ่าๆ) เช่น ผมตั้งเป้าว่าจะสอบเลื่อนตำแหน่งให้ได้อันดับที่ 1 (และก็ทำได้สำเร็จด้วยนะ 2 รอบติดกันเลย) ผมก็สร้าง Process การอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ วันละ 1 ชั่วโมง ทุกวัน ผมก็เก็บ Score จดไว้ในสมุดบันทึกเลย (หรือใครสะดวกจะใช้ App ก็ได้นะครับ แต่ผมเป็นพวกสาย Old School ครับ 555) รูปแบบมันก็จะประมาณนี้เลยครับ 
Day 1 อ่าน 1 ชม. เวลาสะสม 1 ชม.
Day 2 อ่าน 1 ชม. 15 นาที เวลาสะสม 2 ชม. 15 นาที
Day 3 อ่าน 1 ชม. 5 นาที เวลาสะสม 3 ชม. 20 นาที  
เวลาที่เราสะสม มันก็เปาเหมือนเราเก็บค่า Exp. ในเกม เพื่ออัพเลเวล เพียงแต่สิ่งที่เราทำ เป็นการอัพเลเวลในชีวิตจริงก็เท่านั้นเอง 
.
การบันทึก Process มันคือ การทำให้เป้าหมายของเรา “คงอยู่” สูญสลาย ล้มเลิกหายไปครับ ถ้าเราบันทึก Exp. ทุกวัน วันไหนที่เราไม่ได้เก็บเลเวล เราก็รู้สึกขาดอะไรไปสักอย่าง แล้วก็กลับมาทำมันต่อได้ครับ
.
2 ทำทีละเป้าหมาย เลือกเป้าหมายที่เราต้องการจริงๆ หยิบมันมาทำให้สำเร็จ เพราะเวลาเรา Lists เป้าหมายออกมาเนี้ย ไม่ได้มีข้อสองข้อแน่นอน บางทีก็ย๊าวยาวเป็นหน้ากระดาษ A4 แต่ก็นั่นแหละครับ เวลาและพลังงานของเรามีจำกัด เลือกข้อที่สำคัญ ข้อที่เราต้องการมันจริงๆมาทำดีกว่าครับ ข้อไหนที่หากทำมันสำเร็จแล้วชีวิตเราจะดีขึ้น ข้อไหนที่สำเร็จแล้วเราจะใจเต้นแรง ภูมิใจในตัวเอง เอาปากกาแดงวงมันไว้เลยครับ แล้วกำหนดไปเลยว่าเราจะทำมันสำเร็จภายในวันไหน ถ้าเราอยากได้มันมากพอ ก็จงทำให้มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายไปเล๊ยยยย!
.
3 Integrity จงให้เกียรติและรักษาคำพูดของตัวเอง พูดว่าจะทำอะไร ตอนไหน ก็จงทำตามที่พูด ความมีวินัยจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จครับ อย่างผมเอง ช่วงที่เตรียมตัวสอบ มีบางวันที่มีเรียน จะกลับบ้านดึกมาก กว่าจะถึงบ้านก็ราวๆ 5 ทุ่ม แต่ก็ยังรักษาคำพูดที่ว่าจะอ่านหนังสืออยู่ หรือ วันไหนที่กลับดึกแล้วอ่านไม่ไหว ก็ต้องไปหา Slot เวลาในวันหยุดเพื่ออ่านชดเชยช่วงที่ Skip ไว้ครับ เพราะผมต้องการให้เกียรติและรักษาคำพูดของตัวเองนั่นเองครับ!
.
4 สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เราไม่ได้อยู่ในโลกนี้ด้วยตัวคนเดียว ยังมี ภรรยา ลูก พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน การจะมุ่งทำแต่เป้าหมายจนหลงลืมความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไป ก็เป็นเรื่องที่ไม่ Work เท่าไหร่ครับ เราตั้งเป้าหมายอะไรไว้ เราควรสื่อสารให้คนรอบกาย (ที่ไว้ใจได้ด้วยนะ ไม่ใช่พวก Toxic หรือ Dream Killer) รับทราบด้วย บอกกับเค้าว่าเราทำไปเพื่ออะไร อย่างตอนที่ผมจะเตรียมตัวสอบเลื่อนตำแหน่งผมก็ไปบอกภรรยาเลยว่า ผมตั้งใจทำเพื่อครอบครัวนะ ถ้าทำสำเร็จ รายได้เราจะเพิ่มเป็นประมาณนี้นะ ซึ่งมันก็เป็นการโน้มน้าวให้เค้า Support เราไปโดยปริยายครับ อีกทางนึงมันก็เป็นการบังคับตัวเราเองด้วยว่า มึงล้มเลิกไม่ได้นะ เพราะมึงไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแล้ว มึงทำเพื่อคนที่มึงรัก วันที่เหนื่อย วันที่ท้อ อยากล้มกระดาน ก็จะมีคำถามว่า เค้าเชื่อใจเรา แล้วเราจะพอแค่นี้หรือ มันจะกลายเป็นพลังที่ทำให้เราไปต่อจนสำเร็จได้อีกแรงหนึ่งครับ
.
5 หาก Process มันมีความก้าวหน้า ให้กลับมาชื่นชมตัวเองด้วย อย่ามองแต่ว่าไกลจากจุดหมายแค่ไหน แต่ให้ดูว่าเราขยับมาจากจุดเริ่มต้นไกลแค่ไหนแล้ว จงอย่าลืมชื่นชมตัวเองล่ะ!
.
6 ข้อสุดท้ายแล้วครับ หาก “ทำเต็มที่แล้ว” ยังไม่สำเร็จ ไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ก็ให้ปล่อยวาง และ ให้อภัยตัวเอง ลองย้อนกลับมาดูว่า เราพลาดอะไรไป มีอะไรที่เราควรจะทำแต่เรายังไม่ได้ทำหรือไม่ ปีหน้าเราจะลุยอย่างไรให้มันสำเร็จ!
.
นี่ก็เป็นข้อแนะนำจากผมนะครับ คุณคงไม่ปฏิเสธที่จะนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้กับ New year’s resolution ในปี 2021 ของคุณตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ?
.
.

0891 : Start your Trade

Start your Trade

 

S : อยากเทรดเป็นงานเสริม แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มสักทีอยู่ใช่ไหมครับ ?

.

.

P : ที่ยังไม่ได้เริ่มเทรดสักที เป็นเพราะสาเหตุ 5 ประการ ดังนี้ครับ

.

1 คิดไปก่อนว่ามันยาก กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน ทำให้ไม่กล้าลงมือทำสักที

.

2 ติดภาพว่าการเทรดจะต้องดูยุ่งๆแบบในหนัง ในซีรีย์ นั่งจ้องจอเยอะๆ ใช้เวลาทั้งวันไปกับการเทรด จนทำให้รู้สึกว่า ไม่มีเวลามากพอที่จะทำได้ขนาดนั้น

.

3 ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ก็เลยเลื่อนมันออกไปก่อน

.

4 อาจจะไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเทรด เพื่อสร้างรายได้อีกทาง รายได้หลักก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว หรือ ทำอย่างอื่น คุ้นค่า คุ้มเวลากว่า ก็เลยได้แค่สนใจ แต่ไม่ได้เริ่มสักที 

.

5 เงินทุนไม่พร้อม จึงทำให้ไม่ได้ฝากเงินเข้าพอร์ตไปลงสนามเสียทีจริงไหมครับ

.

.

I : การที่เราไม่ได้เริ่มเทรดสักที ทำให้เราเสียโอกาสอย่างมากในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงในตลาด ในเกมการเงินนั้นบอกได้เลยว่าเริ่มก่อนได้เปรียบครับ (แต่ต้องเริ่มแบบที่ถูกที่ควรนะครับ) เพราะมันสู้กันด้วยจิตใจ และ กลยุทธ์การเทรด หากเราประสบการณ์น้อย โอกาสที่จะโดนเค้าโจมตีก็สูงครับ และสำหรับคนที่มีความตั้งใจ แต่ไม่ได้เริ่มลงมือทำ ก็คงรู้สึกไม่เติมเต็ม ค้างๆคาๆ เพราะโดนหยุดแต่ว่าอยาก แต่ไม่ได้ทำมันสักทีใช่ไหมครับ ?

.

.

N : สำหรับคนที่อยากเทรด เพื่อสร้างรายได้ทางที่ 2 แต่ยังไม่ได้เริ่มสักที ผมมีคำแนะนำ ดังนี้ครับ

.

1 สำหรับคนที่เงินทุนไม่พร้อม ให้กลับมาจัดการเรื่อเงิน ของตัวเองให้ดี วางแผนจากสมการ รายได้-เงินออม = รายจ่าย ค่อยๆออมเงินไว้ทำพอร์ต 

.

ส่วนใครที่ร่ายจ่ายสูงกว่ารายได้ ต้องกลับไปจัดการให้มีเงินเหลือก่อนนะครับ เพราะถือว่ายังไม่ผ่าน Step ที่ 0 ครับ

.

2 ศึกษาแนวทางการเทรด ของ Trader ที่มี Life Style ใกล้เคียงกับวิถีชีวิตของเรา เช่น บางคนทำงานประจำ บางคนทำงานพาร์ทไทม์ บางคนทำ Freelance บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจ ก็มีแนวทางการเทรดที่แตกต่างกันไป แต่คนละมี Time Frame การเทรดเป็นของตัวเองครับ 

.

อย่างผมทำงานประจำ ก็ไม่ได้เทรดแบบดูกราฟมากนักครับ หรือ หากจะดูก็เลือกดูในกราฟ Time Frame 4 ชั่วโมง (4 ชั่วโมง = กราฟ 1 แท่ง) หรือ 1 วัน (1 วัน = กราฟ 1 แท่ง) เป็นหลักครับ 

.

คิดดูว่า หากผมประชุม ตั้งแต่เช้ายันเย็น กราฟ 4 ชั่วโมง เพิ่มไปเคลื่อนที่ไป 2 แท่งเอง เข้าไปดูกราฟหลังเลิกงานก็ยังทัน มันจึงมีจังหวะให้เราได้คิดได้ตัดสินใจได้อย่างสบายๆเลยครับ 

.

นี่ก็เป็นความสำคัญของการที่เราต้องหาจังหวะที่เหมาะสมกับตัวเราให้เจอครับ

.

3 ทดลองด้วยเงินจำนวนน้อยๆ อย่างผมเคยเขียนถึงเรื่อง Sandbox of Trading ไป ว่าผมทดลองเทรด Crypto แข่งกับเพื่อนๆด้วยเงิน 1,000 บาท ซึ่งทำให้ได้ประสบการณ์และทักษะใหม่ๆเพิ่มขึ้นอย่างไวเลยครับ 

.

.

สำหรับคนที่จะเริ่มต้น ก็ลองศึกษา วางแผน แล้วก็ลงสนามจริง ในแนวทางของ Sandbox ไปก็ได้ครับ หากสามารถอยู่รอดได้ ก็ค่อยลุยต่อไปในเงินก้อนที่ใหญ่ขึ้นอาจจะ Copy Model เดิมที่เราทำแล้วได้ผลดีมาเทรดต่อครับ 

.

.

ในมุมมองของผมนั้น ผมมองว่า “ เวลา มีค่ามากกว่าเงินครับ” เพราะเงินทองเพิ่มได้ลดได้ แต่เวลาไม่มีเพิ่มแล้วแหละ มีแต่ลดลงไปเรื่อยๆ หวังว่าคุณคงไม่ปฏิเสธที่จะเริ่มต้นเทรดตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ?