Pages

Sunday, July 10, 2011

0011 : เล่นหุ้นตามโพย

จั่วหัวว่า เล่นหุ้นตามโพย แต่เนื้อหาในวันนี้
ไม่ได้จะมาบอกให้เล่นหุ้นกลุ่มชินฯ หรือเกี่ยวกับ
คุณยิ่งลักษณ์แต่อย่างใดนะครับ ^ ^

แต่เป็นการพูดถึงการลงทุนตามแผนการลงทุนที่เราได้วางเอาไว้
โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนที่ดี ควรจะมีการบันทึกแผนการลงทุนไว้
ด้วยครับ เนื่องจากจิตใจของเรานั้นไขว้เขวได้ง่ายเหลือเกิน


หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดเกี่ยวกับการลงทุนที่กล่าวว่า
" ซื้อเพราะอะไร ขายเพราะอย่างนั้น " กันใช่ไหมครับ
ประโยคนี้บอกให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ในการซื้อและขายหุ้น
เราจะซื้อหุ้นสักตัวนี้เพื่ออะไร ?

บางคนอาจจะซื้อเพราะว่า เห็นว่าเป็นกิจการที่ดี และราคายังมี MOS
แล้วก็ตั้งใจว่าจะถือหุ้นไปจนกว่าพื้นฐานกิจการเปลี่ยน หรือ
ราคาปรับตัว ขึ้นไป Over Value แล้ว ( มาแนว VI )
แบบนี้เราก็ควรจะขายหุ้นตามเหตุผล ที่เราได้ตั้งไว้ในใจ หรือ

บางคนอาจจะซื้อหุ้นเพราะเก็งผลประกอบการรายไตรมาสว่าจะออกมาดี
( อาจจะไปใช้บริการบริษัทแล้วเห็นว่าลูกค้าเยอะ งบต้องโตแน่ๆ )
แบบนี้ถ้างบออกมาดี และ ราคาปรับตัวขึ้นมาพอสมควร
ก็ควรขายตามที่ ตั้งใจไว้เช่นกัน หรือ

มีหุ้นบางตัว ราคาปรับตัวลงมา เพราะนักลงทุนต่างชาติเทขาย
เราก็เข้าไปซื้อเก็บไว้ เพราะเดาได้ว่าหากต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ
หุ้นตัวนี้จะปรับตัวขึ้น หากเราวางแผนแบบนี้แล้ว เมื่อต่างชาติ
กลับมาซื้อและราคาหุ้นปรับตัวขึ้น เราก็ควรขายทำกำไรไปเสีย


ที่พูดๆมานี่คือการ " ซื้อเพราะอะไร ขายเพราะอย่างนั้น "
แต่บางคนคือ ตั้งใจว่าอย่างนั้นก็จริง แต่พอไปๆมาๆดันไปทำอีกอย่างนึง

เช่น ซื้อหุ้นกะถือยาว พอวันสองวัน ราคาปรับตัวขึ้น ดันขายทำกำไรไป
หรือ หุ้นบางตัวซื้อเพื่อกะเก็งกำไร ตั้งใจว่า กำไร10% จะขาย หรือ

ขาดทุน 10% จะ Cut Lost แต่พอหุ้นตก 10% 15%
ดันบอกว่าตัวเอง เป็น VI ต้องถือยาว และ ทนเห็นหุ้นตกได้ซะงั้น
( แหม ถึงตอนนี้ละทำเป็น อ้างคำพูด บัฟเฟตต์ มาใช้เชียว ,
"ถ้าคุณเห็นหุ้นในพอร์ตปรับตัวลงมา 50% ไม่ได้ ก็จงอย่ามาลงทุน" )


ที่พูดมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องปกติของคนเราครับ
จิตใจคนเราใช่หินผานี่หว่า เหมือนอย่าง...
บางคนเป็นคนเรียบร้อย รักครอบครัว แต่ถ้าเจอน้องๆโคโยตี้เอ็กซ์ๆ
มันก็ต้องมีใจสั่นกันบ้าง แต่ก็แก้ได้โดยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู
รูปเมียกะลูก อาการมันก็จะทุเลาลงไปเอง


เล่นหุ้นก็เหมือนกันครับ ไม่ว่าจะเล่นสั้นเล่นยาว , VI หรือ เก็งกำไร
ผมว่าถ้าจะประสบความสำเร็จในการลงทุน
เราควรจะต้องเล่นตามแผนที่เราวางไว้ นั่นก็คือการ...
" ซื้อเพราะอะไร ขายเพราะอย่างนั้น " นั่นเอง

ปัญหาก็คือ เราจะแก้นิสัยใจรวนเรของเราได้อย่างไร
คำถามนี้คุณยิ่งลักษณ์ฯ ตอบไว้บนเวทีปราศัยครับ
นั่นก็คือ การพึ่ง " โพย " นั่นเอง

( โพยหุ้น ไม่ใช่โพยหวย จึงไม่ต้องห่วงเรื่องตำรวจ )

การเล่นหุ้นตามโพย ก็คือ การจดบันทึกไอเดียการลงทุนของเราไว้ครับ

เหตุผลที่เราซื้อหุ้น เพราะอะไร ?
แล้วเรากะจะขายหุ้นเมื่อไหร่ ?
เราได้ข้อมูลอะไรมา เราถึงตัดสินใจจะซื้อหุ้นตัวนี้
มูลค่าที่แท้จริงเป็นเท่าไหร่ คำนวนวิธีไหน

จดไว้ดีๆครับ เอาไว้อ้างอิงหากวันหลังมาเปิดดูอีกรอบ
ถ้ารู้สึกคันมืออยากขายหุ้น หรือ อยากปรับพอร์ต
ให้เรากลับมาเปิดดูอีกครั้ง จะช่วยให้เรามี "สติ" มากขึ้นครับ


แต่ใช่ว่าแผนเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เพราะเราสามารถ update ข้อมูลมันได้ตลอด
หุ้นบางตัวที่กิจการธรรมดาๆ เราอาจซื้อไว้เพราะมัน under value
แต่พอเราศึกษาข้อมูลมันจริงๆ เราอาจจะพบว่ามันเป็นกิจการที่ดี
หรือ มีข้อได้เปรียบคู่แข่ง เราก็อาจจะเปลี่ยนมุมมองในการลงทุนได้
อาจจะเปลี่ยนมาเป็นถือระยะยาว เพราะเห็นว่ามันจะโตได้อีกหลายปี


ได้ข้อมูลอะไรมาก็จดลงโพยไว้ครับ
ก่อนซื้อ - ขาย - ปรับพอร์ต ก็พลิกอ่านโพยสักหน่อยนึง
มันจะทำให้ทุกท่านมีสติในการลงทุนมากขึ้นครับ

Monday, July 4, 2011

0010 : ผลตอบแทนที่ควรคาดหวัง

ผมเคยโพสไว้แล้วใน Facebook กะ exteen นะครับ
วันนี้เอามาขัดเกลาสำนวนเพิ่มนิดหน่อย แล้วก็ขอเอามา
โพสลงใน Blog นี้อีกรอบนะครับ ขออภัยคนที่เคยอ่านแล้วด้วยเน้อ



ผลตอบแทนที่ควรคาดหวัง


ในโลกของการเงิน การลงทุนนั้น
คำพูดที่ได้ยินบ่อยที่สุดคำหนึ่งคงหนีไม่พ้นคำว่าผลตอบแทน
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ต้องการผลตอบแทนสูงๆจากการลงทุน
แต่คำว่าผลตอบแทนนั้นมักจะแฝงคำว่า ความเสี่ยง มาด้วยเสมอ
ไม่ว่าเราจะมองเห็นความเสี่ยงนั้นหรือไม่ก็ตาม


แล้วในการลงทุน เราควรคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนเท่าไหร่ดี ?
ถึงจะพอดีและไม่ต้องแบกรับกับความเสี่ยงที่สูงเกินไป


สำหรับการลงทุนแบบที่ความเสี่ยงไม่สูงนั้น
ผลตอบแทนที่คาดหวัง เรามักจะยอมรับมันอยู่แล้ว
เช่น การฝากเงิน ก่อนเราจะฝากเงิน
เราก็ต้องยอมรับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยอาจจะ 2% , 3% ก็ว่ากันไป
หรือว่าการซื้อหุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล
เราก็ต้องยอมรับและรับรู้ผลตอนแทนที่จะได้รับก่อนที่จะลงทุนอยู่แล้ว


แต่ถ้าหากเป็นการลงทุนแบบเสี่ยงสูงขึ้นมาหน่อย
เช่นกองทุนที่ลงทุนในตราสารทุน หรือ หุ้น ล่ะ
เราควรคาดหวังผลตอบแทนเท่าไหร่ดี
เพราะบางทีมันก็เป็นการลงทุนที่คาดเดาอนาคตไม่ได้


ในการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น
ผลตอบแทนที่คาดหวัง ว่ากันว่าไม่ควรวาดหวังไปเกิน 10 - 15% ต่อปี
ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
หากว่ามีความรู้ความเข้าใจในหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าพอสมควร


แต่ผมเคยอ่านเจอในจดหมายจากคุณครรชิต ถึง ลุงขวด ว่า
ผลตอบแทนของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น
ในระดับ 10 - 15% หากทำได้ถือว่าสอบผ่าน
ส่วนหากจะถือว่าได้เกรด A นั้น ก็ควรทำให้ได้ 30% ขึ้นไป



ส่วนหลักคิดจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้น
การตั้งเป้าผลตอบแทนที่คาดหวังนั้นมีแค่ 2 ข้อ คือ

1. อย่าขาดทุน
2. กลับไปอ่านข้อที่ 1. ให้จำขึ้นใจ

จะเห็นได้ว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้นถือเรื่องไม่ขาดทุนเป็นเรื่องใหญ่ครับ
เพราะหากขาดทุนแล้ว การจะเอาคืนยิ่งยากขึ้นเป็น 2 เท่า
เช่น หากปีแรกเราลงทุน 100,000 บาท
ขาดทุน 50% เหลือพอร์ตอยู่ 50,000 บาท
หากจะเอาคืน จากทุนที่เหลืออยู่ จาก 50,000 ให้กลับเป็น 100,000
เราต้องสร้างผลตอบแทนให้ได้ 100% เลยทีเดียว

อีกกรณีนึงก็คือ ที่เงินทุน 100,000 บาทเท่ากัน
หากปีแรกเรากำไร 20% พอร์ตเราจะกลายเป็น 120,000 บาท
ปีที่ 2 กำไรอีก 30% พอร์ตจะกลายเป็น 156,000 บาท
แต่แล้วปีที่ 3 เราขาดทุน 50% พอร์ตเราจะลดลงเหลือเพียง 78,000
เท่ากับว่าลงทุนมา 2 ปีสูญเปล่า แถมเงินต้นยังหายอีก ช้ำ 2 ต่อเลย

ดังนั้นการไม่ขาดทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญมากครับ
ในการที่พอร์ตเราจะเติบโตในระยะยาว...





แล้วเราควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่คาดหวังไว้เท่าไหร่ดี
ผมก็เลยสรุปออกมาง่ายๆ ไม่กี่ข้อ
ในหลักการตั้งเป้าผลตอบแทนที่คาดหวังครับ

1. อย่าขาดทุน


2. หากเอาตัวรอดได้แล้วก็ค่อยมาทำกำไร
โดยตั้งเป้าให้ได้ผลตอบแทนประมาณ 15% ต่อปี ( รวมเงินปันผล )


3. พอมีประสบการณ์ในการลงทุนมากขึ้น
ก็ค่อยหาความรู้ เพื่อทะยานสู่ผลตอบแทน 30% ต่อปี ( คว้าเกรด A มาให้ได้ )


4. ชนะตลาดให้ได้ทุกปี
ผลตอบแทนที่ดีต้องชนะตลาด

ไม่ใช่ว่าได้ผลตอบแทนปีละ 100%
แต่ตลาดดันปรับตัวขึ้นไป 200% อย่างนี้ไม่ถือว่าเจ๋ง

แต่ยังไงก็อย่ายึดติดกับตลาดมากนักครับ
เพราะเราลงทุนในตัวบริษัท ไม่ได้ลงทุนทั้งตลาด
หุ้นของบริษัทที่เราลงทุน อาจจะปรับตัวขึ้นไม่มากก็ได้

แต่ถ้ามันสร้างผลตอบแทนให้เราได้เป็นที่น่าพอใจ
เราก็ควรมีความสุขแล้วหล่ะครับ
แค่ดูๆไว้เป็นตัวเปรียบเทียบเฉยๆก็พอ
อย่างตัวอย่าง กำไร 100% ตลาดปรับตัวขึ้น 200%
ถามว่ากำไร 100% เราอิ่มไหม ? ผมว่าโคตรอิ่มเลย
ไม่ต้องไปโลภ 200% เท่าตลาดเราก็มีความสุขแล้ว

แต่ให้เก็บมาคิดเล่นๆดูเฉยๆครับ ว่าทำไมเราถึงแพ้ตลาด
บางทีหุ้นที่เราลงทุนอาจจะเป็นหุ้นกลุ่มที่ไม่สนตลาดก็ได้
( เช่น กลุ่มโรงพยาบาล ) แต่ทำไมล่ะ ก็เรามีความสุขที่จะถือนิ จริงไหมครับ ?



ข้อ 3. นั้นอาจจะค่อนข้างลำบากพอสมควรในการก้าวข้ามเข้าไป
แต่ถ้าคุณสามารถทำผลตอบแทน 15% ต่อปี ไปหลายๆปีติดต่อกัน ( ลองดูสัก 10 ปี )
แค่นี้ผลตอบแทนก็ทบต้นจนท่วมหัวไม่รู้จักจบสิ้นแล้วหล่ะครับ
ข้อ 3. จึงอาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่ หากคุณไม่ได้รีบร้อนไปไหน
( เพราะรีบมากอาจจะพลาดลื่นล้มก็ได้ จริงไหมครับ ? )


สุดท้ายนี้ผมแถมให้อีกข้อ
5. ทั้งหมดทั้งมวลให้ถือข้อ 1. เป็นสำคัญ นั่นก็คือ อย่าขาดทุน ! ครับ


ขอให้ทุกท่านโชคดี และ " มีสติ " ในการลงทุนครับ!

Sunday, July 3, 2011

0009 : ย้อนมองตัวเอง Q2/2554

ไม่ทันอะไรปี 2554 นี้ ก็ผ่านไปครึ่งปีแล้วหรือเนี่ย
วันเวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน
การลงทุนนั้น เราควรลองย้อนมองตัวเองบ่อยๆ
( แต่บ่อยเป็นรายวันก็ไม่ดีนะครับ เพราะมันจะทำให้คิดมาก )
ผมเองก็มักจะนั่งทบทวนตัวเองทุกๆไตรมาสเสมอครับ
ว่าแต่ละไตรมาสที่ผ่านไป เราทำผลตอบแทนได้เท่าไหร่
ห่างจากที่คาดหวังไว้ไหม แล้วออมเงินได้ตามที่ตั้งใจมั๊ย ?


ผมว่า การย้อนมองตัวเอง ช่วยให้เรียก "สติ" ให้เราได้มากเลยครับ
ช่วยให้เรารู้ตัวว่าเราทำแะไรผิดพลาดตรงไหน
ออกนอกลู่นอกทางที่เราตั้งใจจะเดินรึเปล่า
เสร็จแล้วก็นำสิ่งที่เราคิดว่าเรายังทำได้ไม่ดี
มาเป็นแนวทางในการที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป
จะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้นครับ


ที่นี้ลองมาดูผลประกอบการพอร์ตผมบ้าง
พอร์ตผมโตขึ้น 25.10% ( รวมเงินปันผล )

SET ขึ้นมาเท่าไหร่ ผมไม่รู้
เพราะผมไม่ค่อยได้ตามตัวเลข SET เท่าไหร่ > <"
( ใครรู้ช่วยบอกทีแล้วกันนะครับ )

โดยในพอร์ตผมมีหุ้นอยู่ทั้งหมด 6 ตัว
น้ำหนักส่วนใหญ่ไปอยู่กับหุ้น BLA เสียหมด
ซึ่งพอร์ตก็เลยปรับตัวขึ้นเยอะตาม

ติดลบอยู่ 1 ตัว คือ KK ( แต่มีจำนวนน้อยมาก ไม่ถึง 4% )
แต่ต้นทุนจริงของหุ้น KK ผมต่ำมาก
คิด % เงินปันผลที่ได้รับในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 20%
ผมก็เลยเฉยๆ ถือไว้เป็นเครื่องผลิตเงิน ^ ^

นอกนั้นก็บวก ประมาณ 4 - 9 % ครับ
โดยเป็นหุ้นเติบโตที่ผมกะลงทุนแบบยาวๆ
( ถือข้ามปีมาตั้งแต่ปี 2552 - 2553 )

แต่ยังไง ผลตอบแทนเค้าก็วัดกันปลายปีอยู่แล้ว
เด๋วค่อยมาว่ากันอีกทีตอนไตรมาส 3 ครับ



แต่ที่สำคัญกว่านั้น เรามาพูดถึงข้อผิดพลาดกันดีกว่า
ว่าผมผิดพลาด ผิดแผน อะไรยังไงบ้าง

1. ข้อนี้สำคัญมากสำหรับคนที่พอร์ตยังเล็กๆอยู่ นั่นก็คือ...
การออมเงินไม่ได้ตามเป้า นั่นเองครับ อันที่จริงผมตั้งใจจะออมเงิน
ให้ได้เดือนละ 5,000 บาท + รายได้พิเศษต่างๆ จะเอาเข้ามาใส่ในพอร์ตให้หมด
แต่ผมก็ทำไม่ได้ เนื่องจากชอบคันไม้คันมือ ซื้อของเล่นนั่นนี่
( เค้าว่าผู้ชายกะเด็กไม่ต่างกันหรอก แต่ต่างกันที่ ผู้ชายมีตั้งซื้อของเล่นเท่านั้นเอง )
ซื้อกล้องถ่ายรูป มือถือใหม่ เครื่องดนตรี รวมๆก็หมดไปหลายบาท
ทำให้พอร์ตผมนิ่งอยู่กบัที่พอสมควรเลย
เรียกได้ว่า โตจากเงินออมเพียงนิดเดียว
ครึ่งปีหลังเอาใหม่ครับ คราวนี้จะทำให้ได้ตามเป้าเลย !


2. ผมไม่ค่อยทำการบ้าน (ศึกษาข้อมูลหุ้นรายตัว) ไว้เตรียมรอโอกาสที่จะมาถึง
ผมไม่ค่อยทำความรู้จักกับหุ้นตัวใหม่ๆเท่าไหร่ คือ ติดตามข้อมูลแค่หุ้นที่รู้จัก
หุ้นที่ไม่รู้จักก็จะไม่ค่อยสนใจ พอหุ้นลงมาโอกาสในการที่จะเจอหุ้นราคาถูก
ก็เลยน้อยกว่าชาวบ้านครับ เพราะรู้จักหุ้นน้อยตัวนั่นเอง
หลังจากนี้ก็ต้องเต็มที่กับการศึกษาข้อมูลหุ้นหน่อยละครับ


3. ข้อนี้สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว จากการที่ผมตามหุ้นน้อยตัวเกินไป
ผมก็เลยไม่ได้บันทึกหุ้นลง Watch List เลย อาศัยจำเอา และก็ไม่ได้
บันทึกข้อมูลต่างๆ หรือ ข่าว เกี่ยวกับหุ้นไว้เลย เรียกได้ว่าอ่านแล้วก็อ่านเลย


4. ความรู้ด้านการลงทุนของผมพัฒนาอย่างช้ามาก
อ่านหนังสือไม่ค่อยเข้าหัวเท่าไหร่ ( อ่านแล้วอ่านเลนเช่นกัน )
จากนี้คงต้องหาวิธีเรียนรู้ที่ดีกว่าเดิมแล้วล่ะครับ


5. ไม่ค่อยตั้งใจ Valuation หุ้นเท่าไหร่
ส่วนใหญ่ใช้ P/E แบบคร่าวๆล้วนๆเลย
ซึ่งถ้าผมติดนิสัยนี้ต่อไป อันตรายกับพอร์ตการลงทุนแน่ๆ
ต่อไปจะตั้งใจมากกว่านี้ค้าบ - -"

6. อดทนรอ Perfect Pit ไม่ค่อยได้
เรียกได้ว่าเอาเงินเข้าพอร์ตเมื่อไหร่
ต้องคันมือหาหุ้นซื้อทุกทีสิน่า
ทำให้บางทีเราก็ซื้อหุ้นที่ Upside มันเหลือน้อย
เสี่ยงต่อการที่พอร์ตจะไม่ไปไหน หรือ ราคามันอาจจะปรับตัวลงก็ได้
ต่อไปต้องอดทนให้มากกว่านี้ และ
ต้องใช้อารมณ์ของ Mr.Market ให้เป็นประโยชน์
รอวันที่เค้าอารมรณ์ไม่ดีและมาเสนอราคาต่ำๆเอาจะดีกว่า


ข้อผิดพลาดอื่นๆมีอีกเยอะครับ
แต่นึกไม่ค่อยออก ค่อยมาเพิ่มมาเติ่มทีหลังแล้วกันนะ
แค่นี้ก็ "เม่า" โคตรๆแล้วล่ะมั๊งครับ

แต่ก็นั่นแหละ เงินเรา เราต้องดูแลเอง ดังนั้นเราต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
เพื่อที่จะรักษาเงินของเราไว้และทำให้มันเติบโตต่อไปครับ !


สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านโชคดีและมี "สติ" ในการลงทุนครับ