Pages

Sunday, October 30, 2011

0029 : Trading Diary

ในช่วงที่ตลาดผันผวน
จนทำให้จิตใจเราแกว่งไปกับการเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงของราคาหุ้นจนเกินไป
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ
เช่น ช่วงที่ผ่านมา วันนึงตลาดขึ้น 10-20 จุด
พอมาอีกวัน หุ้นตกอีก 30 จุด
สลับกันไปมาสัก 2 รอบ
ถ้าวันที่หุ้นขึ้น 20 จุด เรากลัวตกรถ เข้าไปซื้อ
แต่มันดันไม่ได้วิ่งไปแล้วไปเลย
อีกวันดันตก 30 จุด เราก็กลัวหุ้นมันรูดลง ปล่อยไปอีก
อีกวันดันขึ้นไปใหม่ 10 กว่าจุด แล้วเราเข้าไปรับอีก...

แบบนี้สภาพศพไม่สวยแน่ครับ
ผมเองมีช่วงที่มึนๆแบบนี้เหมือนกัน
เจอไปรอบนึงรู้ซึ้งเลย เงินหายไปหลายหมื่นบาท
ต้องเขกกะโหลกตัวเอง แล้วก็ออกมายืนนอกวง
สูดหายใจลึกๆ วางแผนการลงทุนใหม่

แล้วก็เลยไปซื้อสมุดมาเล่มนึงครับ
ก็เอามาทำ Trading Diary นั่นเองครับ
กะเอาไว้จดแผนการลงทุนที่เราวางไว้
แล้วก็จดสิ่งที่จิตใจเรา Action ต่อตลาด
จดลงไปให้หมดว่า ตลาดมาสภาพนี้ ใจเราคิดอะไรบ้าง
เราอยากทำอะไร แล้วมันขัดกับแผนการลงทุนที่เราวางไว้หรือไม่
ถ้ามันขัดกัน ก็ต้องมาวิเคราะห์ดูว่า หาก Action ออกไป
จะเกิดผลดีต่อพอร์ตหรือไม่ ถ้าไม่ก็ต้องสงบใจไว้

โดยการจดบันทึกการลงทุนนี้ นักลงทุนระดับโลกต่างก็ทำเช่นกันครับ
เคยได้ยินมาว่า จอร์จ โซรอส เองก็จดบันทึกการลงทุนไว้ตลอดเช่นกัน

ประโยชน์ของมันก็คือ ทำให้เราได้เรียบเรียงความคิดที่กระจัดกระจาย
ให้เป็นระเบียบ ส่งผลให้เราใช้ความคิดอย่างเป็นระบบมากขึ้นด้วยครับ
อีกอย่างก็คือ การจดแผนการลงทุนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้เรา
เฉออกนอกแผนได้ยากขึ้น ( อย่างน้อยก็มีหลักยึด )

บางทีเราอาจจะตั้งกฏไว้ว่า ก่อนจะซื้อ-ขายหุ้น ให้เปิดสมุดเล่มนี้อ่านทุกครั้ง
แบบนี้ก็ช่วยเตือนสติเราได้เป็นอย่างดีอีกทางหนึ่งครับ

ตลาดหุ้นที่ผันผวน เต็มไปด้วยความโลภและความกลัว
บางทีมันก็ทำให้ใจเรารวนเรเอาง่ายๆ
เราจึงต้องพยายามเอาชนะความโลภและความกลัวให้ได้
ถ้าทำได้ สุดท้ายแล้วเราจึงจะชนะตลาด...

ขอให้ทุกท่านโชคดี และ " มีสติ " ในการลงทุนครับ

Thursday, October 27, 2011

0028 : นี่คือสิ่งสำคัญ...

จั่วหัวไว้เหมือนจะร้องเพลงสิ่งสำคัญของ ดา เอนโดฟิน เลย
แต่วันนี้ผมไม่ได้จะมาร้องเพลงให้ฟังหรอกครับ
แต่จะมาพูดถึงสิ่งสำคัญที่สุด ที่ในชีวิตของเรานั้นจะเสียมันไปไม่ได้เด็ดขาด

เนื่องจากผมได้ดูรายการทางช่อง 5
ซึ่งสัมภาษณ์คุณต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ หรือเจ้าของ สาหร่าย เถ้าแก่น้อย ครับ
มีอยู่คำนึงเค้าให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่เราไม่ควรเสียไปนั่นก็คือ กำลังใจ นั่นเอง
หลายคนอาจท้อแท้ หุ้นก็ตก น้ำก็ท่วม (แถมยังโดนขโมยขึ้นบ้านช่วงน้ำท่วมอีก)
สิ่งเหล่านี้เราจะผ่านมันไปได้ หากเรามีกำลังใจในการก้าวต่อไป

กำลังใจเหมือนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อสู้
หากไม่มีกำลังใจ โอกาสชนะก็จะหายไป
หมายถึงเราถอดใจ ยอมแพ้ไปแล้ว

ในการเรียนรู้ก็เหมือนกันครับ
บางทีมันอาจจะยากแสนยาก ( เช่น เรื่องบัญชีอะไรงี้ )
จะพึ่งใจรักอย่างเดียวบางทีมันไม่พอ
แต่มันต้องมีแรงบันดาลใจ รวมถึงกำลังใจ
ที่ทำให้เราตั้งใจศึกษา เรียนรู้ด้วย มันถึงจะไปรอด

อีกอย่างนึงก็คือ คนเรามักหวังพึ่งกำลังใจจากผู้อื่น
หวังพึ่งมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะจากแฟน จากเพื่อน จากพ่อแม่
บางคนอกหัก รักคุด แฟนทิ้ง ถึงกับไม่มีกำลังใจทำอะไร
แบบนี้ก็เท่ากับว่า คุณแทบไม่เหลืออะไรเลย
ปล่อยให้คนที่ทิ้งไปนั้น เอาหัวใจ เอาชีวิตคุณติดไปด้วย ห่อเหี่ยวท้อแท้อยู่อย่างนั้น

อันที่จริงกำลังใจนั้นไม่จำเป็นต้องมาจากคนอื่นก็ได้ครับ
สร้างเองก็ได้ โดยการหาความฝัน หรือ แรงบันดาลใจ
เอามาสร้างเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิตเพื่อมุ่งสู่สิ่งนั้น
กำลังใจที่เกิดจากใจของเราเองนั้น จะแข็งแรง มั่นคงกว่ากำลังใจจากคนอื่นครับ

คนเราถ้าหาที่ชาร์จแบตฯตัวเองไม่เจอ
ก็ได้แต่ต้องปั่นไฟให้ตัวเองแหละครับ
ชีวิตมันก็แบบนี้แหละครับ
อยู่ที่ตัวเราเลือกว่าจะอยู่แบบไหน
อยู่แบบนักสู้ หรือ แบบไอ้ขี้แพ้...

Wednesday, October 26, 2011

0027 : โลกนี้ไม่มีอะไรง่าย

โลกนี้ไม่มีอะไรง่าย

อะไรที่ดูเหมือนง่ายๆ มักจะนำมาซึ่งคาวมลำบากในภายหลังเสมอ
แต่อะไรที่มันยากเย็นแสนเข็ญในตอนแรกๆ
หลังๆก็มักจะไม่ค่อยยุ่งยากอะไรสักเท่าไหร่
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการลงทุนหรือเรื่องอะไรในชีวิตเราก็ตาม

ก่อนที่เราจะเก็บเกี่ยวผล
ก็ต้องผ่านการลงทุนลงแรง(รวมถึงลงไอเดีย)กันก่อน
หลายคนก็ลำบากมาเยอะกว่าที่จะมาประสบความสำเร็จ
ดูอย่าง "เถ้าแก่น้อย" เอาก็ได้
(โปรโมตให้เค้าหน่อย ช่วงนี้หนัง Top Secret วัยรุ่นพันล้านกะลังลงโรง)

ผมเห็นหลายคนเข้าตลาดหุ้นมาแบบคิดจะจับเสือมือเปล่า
มาแบบกำมาแต่เงิน , บางคนเงินก็ยังไม่มีด้วยซ้ำไป
มาถึงก็มาไล่ถามคนนั้นคนนี้ว่าซื้อหุ้นตัวไหนดี
ไม่ก็แอบไปลอกหุ้นกันตามเวบบอร์ด
ได้ชื่อหุ้นมา เห็นเค้าว่าหุ้นดี อัพไซด์เยอะ ก็ซื้อเข้าพอร์ต
โดยไม่ได้มีการลงทุนลงแรงหาหุ้น วิเคราะห์หุ้นเองเลย

สถานการณ์หลังจากที่ซื้อหุ้นตามโพยเด็ด
จะเป็นอย่างไรต่อไปพอเดาออกใช่ไหมครับ
พอหุ้นวิ่งต่อไปได้อีกหน่อยก็เริ่มโดนแรงขายทำกำไร
จากการที่พอหุ้นเด็ดกระจายออกไปราคาก็ค่อยๆวิ่งขึ้นมา
คนที่ซื้อไว้คนแรกๆ ก็กำไรมากโข ขายทำกำไรนิ่มๆ
พวก "มักง่าย" เพิ่งเข้าไปรับของตามโพยเด็ดก็ติดค้างอยู่กลางดอยตามวัฏจักรต่อไป

ในชีวิตเราส่วนใหญ่ สิ่งดีๆ นั่นไม่ค่อยได้มาง่ายๆหรอกครับ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิตเรายากๆนะครับ
อย่างเรื่องการเรียน ทำงาน ธุรกิจ หรือ การลงทุน
คงไม่มีอะไรง่ายแน่ๆ หากจะหวังผลที่ดีเลิศอย่างน้อยก็ต้องใส่ใจและให้เวลากับมัน
เพราะถ้าโลกนี้ง่ายเกินไป ก็คงไม่มีคนที่ผิดหวังหรอกครับ แต่นี่ไม่ใช่!
พระเจ้าจึงสร้างอุปสรรค บททดสอบ ขึ้นมา
เพื่อวัดว่าใครสมควรที่จะได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จ...

เพราะมี "การลงทุน" เกิดขึ้น
จึงเกิด "ผลตอบแทน"
แต่ถ้าไม่ยอมลงทุนลงแรงอะไร
ผลตอบแทนจะมาจากไหน จริงไหมครับ ?
ชีวิตเราจะหวัง Leverage อย่างเดียวคงไม่ไหวมั๊งครับ
หายใจผ่านจมูกคนอื่นมันไม่คล่องหรอกครับ
หาทางหายใจด้วยจมูกของเราเอง มันดีกว่ากันเย๊อะ ^ ^

Sunday, October 9, 2011

0026 : เซฟกำไรให้ไกลขาดทุน

เซฟกำไรให้ไกลขาดทุน

ช่วงที่หุ้นค่อยๆซึม แบบราคาปรับตัวลงทีละนิด
บางวันก็เด้งขึ้นมาหน่อย วันถัดไปก็ลงอีกนิด
หุ้นลงแล้วเด้ง แบบไม่ผ่านไฮเดิม
ช่วงเวลาแบบนี้เป็นช่วงที่ผมอึดอัดมาก
เพราะมันเป็นช่วงที่ใจเราต้องต่อสู้ระหว่างความโลภกับความกลัว
ใจหนึ่งก็อยากได้ผลตอบแทนเพิ่ม
(เพราะหุ้นยังไม่ถึง Target Price ที่ตั้งไว้ในใจ)
อีกใจหนึ่งก็กลัวว่ามันจะซึมลงเรื่อยๆ กำไรหายวันละหน่อย
ก่อนที่จะโดนชักโครกทีเดียว(ตกแบบรูดร่วงกราว)

ผมเองก็เจอมากะตัว พอร์ตของผมตอนแรก
กำไรราวๆ 60% เจอเหตการณ์แบบนี้เข้าไป
กำไรหายวันละ 1% บ้าง บางวันก็ 0.5%
จนกระทั่งเหลือ 55% เอาไปเอามาลงหนักขึ้นทีละหน่อย
เหลือ 40% จนกระทั่งผมเริ่มรู้ตัวว่าเรากำลังผืนตลาดอยู่
ก็เลย Take Profit ออกมาที่ราวๆ 30กว่า %
ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ผมตั้งเป้าหมายเอาไว้

เหตุการณ์แบบนี้ทำให้ผมรู้ซึ้งว่า
หากมีกำไร หรือได้กำไรเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละปีแล้ว
ก็อย่าโลภมาก หัดชักกำไรออกจากตลาดให้เป็นด้วย
เพราะหากเราปล่อยกำไรของเราอยู่ในตลาด
มันก็ยังไม่ใช่กำไรของเรา และตลาดจะมาทวงคืนเมื่อไหร่ก็ได้

ดังนั้นผมจึงต้อง คิดใหม่ ทำใหม่ (แหม พูดซะอย่างกะเป็นนักการเมือง)
เพื่อไม่ให้กำไรหดหายไปกะสายลม การลงทุนของผมต่อจากนี้ไป
ก็ต้องหัดมีจุดล็อคกำไร Take Profit ออกจากตลาดด้วย
จุดนี้ก็หมายถึง การที่เราตั้งเป้าไว้ว่าหากราคาหุ้นตกจากจุด High
กี่ % เราถึงจะขายทำกำไรออกมา ส่วนจะกี่ % นั้นก็แล้วแต่ แต่ละบุคคลครับ

ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเราตั้งเป้าในแต่ละปีว่าจะทำกำไรให้ได้ 30%
(ช่วงที่พอร์ตเล็กๆ ไม่ถือว่ามากเกินไปนะครับ แต่ถ้าพอร์ตใหญ่ก็อีกเรื่องนึง)
แล้วปีนี้พอร์ตดันมาโต 40-50% แล้ว แต่ก็เหมือนไปไม่ถึงฝั่ง
ยังไม่ทันจะปลายปี อาจจะเกิดวิกฤติหรือต่างประเทศ ยุโรป อเมริกา ขาดสภาพคล่อง
ฝรั่งเทขายหุ้นไทยอย่างหนัก (เอ๊ะ เนื้อเรื่องคุ้นๆ)
พอร์ตเราจากที่กำไร 40-50% ก็ค่อยๆหดลงๆ วันละ 2-3%
เด้งบ้างแดงบ้างสลับกันไปทุกวัน แต่ SET Index เตี้ยลงเรื่อยๆ
ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น เราควรใช้จุดล็อคกำไร
Take Profit หนีเอาตัวรอดออกจากตลาดที่กำลังสับสน
เพื่อรักษาตัวรอด ไม่ให้พอร์ตจมน้ำ กำไรที่สร้างมาต้องโดนเรียกคืนไป

ช่วงที่ตลาดกำลังสับสนแต่ไหลลงเรื่อยๆนั้น
อย่าเพิ่งไปโลภ อย่าเพิ่งคิดเรื่องเอากำไร
ให้หนีไว้ก่อน ไหนๆคุณก็กำไรแล้ว ชักใส่กระเป๋าไว้ก่อนดีที่สุด
ดีกว่าต้องมาปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุนจนชอกช้ำระกำทรวง...

อันที่จริงจุดนี้ก็คล้ายๆกับจุด Cut Loss นั่นแหละครับ
เพียงแต่ Cut Loss นั่นเป็นจุดป้องกันการขาดทุน
( หมายถึงกำไรยังไม่เกิด แต่ดันจะเข้าเนื้อเราซะงั้น )
เพราะงั้นสามารถประยุต์ใช้กับการ Cut Loss ได้ด้วย
เช่นอาจจะตั้งไว้ว่า หากหุ้นลงกี่ % จากราคาทุนที่เรารับมา
เราจะปล่อยหุ้นทิ้งไปก่อน เพื่อออกมารอดูสถานการณ์
อย่างคุณฮง hongvalue ก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
ตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 8% ซึ่งจุดนี้ก็แล้วแต่บุคคลเช่นกัน
บางคนอาจจะตั้ง 5% บางคนอาจจะ 10
หรือบางคนอาจจะ 15 , 20% (แต่ผมว่ามากเกินไปนะ 15 , 20% เนี่ย)

ที่สำคัญ ก็คือ เราควรจะ Set จุดนี้ไว้ในแผนการลงทุนของเรา
เพราะมันจะช่วยให้เรารอดชีวิตจากเหตุการณ์ร้ายๆ ที่อาจร้ายแรงกว่าที่เราคิดได้...

0025 : Value Visions 26-09-2011

วันนี้เป็นวันที่ตลาดแดงเดือนติดต่อกันเป็นวันที่ 3 แล้ว
หุ้นหลายตัวเริ่มราคาลดลงจนอัตราเงินปันผลแตะ 10% บ้างแล้ว
แต่ตลาดในสภาพนี้เรายังไม่ควรเข้าไปยุ่ง
แม้ตลาดจะเด้งจาก -80จุด ขึ้นมาเหลือ -50จุด และ
ยอดฝรั่งจากตอนกลางวันที่ขายสุทธิ สี่พันกว่าล้าน
แต่ตอนปิดตลาดช่วงเย็นเหลือยอดแค่ขายสุทธิ สามพันกว่าล้าน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเค้าจะกลับมาซื้อหนิ

ตอนนี้พอร์ตผมก็ยังโล่งอยู่ ไม่ได้รีบร้อนเข้าเก็บหุ้นแต่อย่างใด
เพราะผมตั้งใจว่า หากหุ้นยังไม่ถึงจุดกลับตัวผมจะเป็นแค่ผู้ชม
เมื่อไหร่ที่หุ้นถึงจุดกลับตัว แล้วเปลี่ยนเทรนด์เป็นขาขึ้น
ผมจะเริ่มเก็บหุ้น แม้จะไม่ได้หุ้นในราคาถูกสุด
แต่ถ้าเป็นราคาที่มี MOS 30 - 50% ก็ยังถือว่าเราได้เก็บของถูกอยู่ดี

บางทีเราอาจจะใช้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล
ในการดูความถูกแพงของหุ้นก็ได้นะครับ
อย่างเมื่อตอนปี 2008 หุ้นใหญ่ หรือ หุ้นดีๆหลายตัว
ให้ผลตอบแทน 10-15% up เสียส่วนใหญ่
ส่วนหุ้นระดับพระรอง ก็มักให้ผลตอบแทนราวๆ 20% up

ในตอนนี้หุ้นตัวใหญ่หลายตัวแม้ราคาจะปรับตัวลงมา
แต่ก็ยังถือว่าให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลน้อยอยู่ดี
ส่วนหุ้นตัวเล็กก็ยังไม่ได้ให้ Div. Yield สะใจเท่าไหร่นัก
อย่าง CSL Div. Yield ตอนนี้คิดเป็น % ตกราวๆ 10% เท่านั้นเอง

หากเราเอาไปเทียบกับ Subprime จะเห็นได้ว่า
โอกาสที่หุ้นจะถูกลงก็ยังมีอยู่อีกมาก (ในสภาวะที่ฝรั่งยังไม่หยุดขาย)

ภาวะตลาดที่ผันผวนแบบนี้
หลายคนสติแตกไป เที่ยววิ่งไล่ตามหาผู้ที่จะพยากรณ์ตลาด
ซึ่งผมมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
และควรเอาเวลาไปทำอย่างอื่นจะเป็นประโยชน์กว่า

มีคำที่นักลงทุนระดับเซียนกล่าวไว้ว่า
" การคาดเดาตลาดเป็นเรื่องไร้สาระ "
เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าพรุ่งนี้ตลาดมันจะเป็นยังไง
จะขึ้น จะลง จะขึ้นแล้วโดนตบลง จะเปิดลบปิดบวก
ไม่มีใครเดาได้หรอกครับ ถึงคุณจะเดาถูกวันนี้ พรุ่งนี้ก็เดาผิดได้

สิ่งที่ควรทำก็คือ การเร่งศึกษาหาข้อมูลบริษัทที่จะลงทุนให้มากที่สุด
วัดมูลค่า , วางแผนการลงทุน เพื่อคว้าโอกาสในวิกฤติ
ในช่วงที่ตลาดมันลงไปสุดๆแล้ว
คุณต้องใช้จังหวะที่ของถูกเต็มตลาดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต
เพื่อเตรียมเกาะไปกับ Cycle ขาขึ้นอีกครั้ง...

ในภาวะตลาดที่ผันผวน เราต้องเป็นผู้เลือก ว่า Mr. Market เป็นอะไรกับเรา
เป็นผู้รับใช้เรา หรือเราตกเป็นเหยื่อของ Mr. Market
อยู่ที่ตัวเรานั่นแหละครับ ว่าเราจะเลือกเป็นอะไร...