Pages

Saturday, May 28, 2016

0465 : Note การดู Mudley Channel ตอน Grid & PAMM

 
Note การดู Mudley Channel ตอน Grid & PAMM
 
 
 
Grid Trading มีที่มาจาก Hedge Fund แห่งหนึ่ง จากนั้นเมื่อแนวคิดเริ่มแพร่หลาย ก็มีการนำไปต่อยอดเป็น HFT (High Frequency Trading) ... Concept ดั้งเดิมคือสนใจใน continuous function (ความต่อเนื่องระหว่างจุด)

จุด A
.
. (ระยะทางระหว่างจุด = ค่า L (Length)
.
จุด B
.
. (ระยะทางระหว่างจุด = ค่า L (Length)
.
จุด C
.
. (ระยะทางระหว่างจุด = ค่า L (Length)
.
จุด D
 
แล้วเราก็วาง action ของเราไว้อย่างต่อเรื่องระหว่างจุด
ราคา = การเคลื่อนที่ระหว่างจุด
แต่การที่จะ take action ทุกจุดก็ต้องใช้งบประมาณเยอะ

หากระหว่างจุดมีค่า L มาก ก็จะใช้ทุนน้อยลง
ถ้าระหว่างจุดค่า L แคบ ก็ใช้ทุนสูงขึ้น

Grid = เราเอาเงินไปซื้อ Asset ทุกๆจุด เราหาระยะของ L ได้ แล้วก็คำนวนงบประมาณ total capital ออกมา
 
=> KZM ก็คือ Grid trading แบบหนึ่ง 
 
 
Grid เชื่อว่าราคาเคลื่อนที่ระหว่างจุด (ทางเดินระหว่างจุด) ... ราคาต้องเคลื่อนตัวผ่านจุดแน่นอน ไม่ว่าจะเกิด pattern ใดก็ตาม
 
จุดอ่อนของระบบการเงินคือ มี gap ทางเดินระหว่างจุด ทุกครั้งที่ราคาขยับจะเกิด capital ส่วนเกินเสมอ จากจุด A ไป จุด D จะเกิด Capital ส่วนเกิน หากเราเอาเงินไปวางไว้ในแต่ละจุด
 
 
ที่มาของ Grid ก็คือ ทุกจุดที่ราคาเคลื่อนตัวผ่าน ... แต่พอ Grid แพร่หลาย รายย่อยเอามาใช้ ก็จะขยายระยะห่างระหว่างจุด ประสิทธิภาพของมันก็เลยลดลง เพราะไม่ได้มีเงินมากพอจะซื้อทุกจุด ทุกราคา
 
 
โบรคฯ ที่เล่นแบบ HFT ได้เปรียบเพราะไม่มีค่าคอมฯ มีแต่ค่า exchange fee แถม Server ยังต่อตรงกับตลาด ทำให้เก็บได้ทุก pattern ทุก movement ของราคา
 
เช่น ทางเดินของราคา 9.00 => 9.10
1 รอบ = 0.1 
หากเทรด 90 รอบก็จะได้มาฟรี 1 จุดของ Grid

HFT วาง bid-offer ตลอดเวลา => ลงทุนในระบบครั้งเดียว เขียนโปรแกรมวางไว้ ใช้ได้ตลอด
ข้อเสีย => หากไม่มีเงินวางเต็มจำนวน เวลาตลาด Crash ก็จะตายก่อน
 
Robot ไม่ได้อยู่ในหุ้นรายตัว แต่อยู่ใน Index ใช้เป็น grid ฝั่ง long วางเงินเต็มไว้ก่อน แล้วก็ค่อยต่อยอด grid ฝั่ง short
 
หากมีเงิน 100 ล้าน ก็ทำ Grid = passive income ของคนรวยระดับ premium
มันเป็นเรื่องของทุน แต่บางคนทนเห็น NAV ลบไม่ได้ จริงๆมันเหมือนการเปิดบริษัท ซื้อคอมฯมา เราก็ mark NAV ไว้แล้ว
 
 
โบรคทั่วไป ทำ Grid ไม่ค่อยได้ ต้องเป็น Grid แบบห่างๆ เพราะถูกจำกัด positions
 
คนเงินน้อยก็ close system , kzm กันไป
 
 
 
PAMM
 
เราเทรดระบบเราไปใน PAMM Account => หากผลงานดีก็มีคนมาลงทุน
 
ควรเริ่มจาก close system ให้มัน stable ก่อน แล้วแบ่ง CF จาก Close system ไปสร้าง PAMM  อาจจะใช้ leverage ในการวาง close system ใน PAMM ต่ำๆหน่อย  เช่น 1:3 , 1:5 (ซึ่งจะมี CF จากระบบหลักมาเติมได้ทัน)
 
PAMM มันจะเหมือน ETF ที่เราทำขึ้นมาเอง จากนั้นเมื่อมีคนมาเล่นกับเรา (มา invest กับ PAMM เรา) เราก็จะเล่นกับ NAV ตัวเองได้อีกต่อนึง เพราะเวลาที่คนขาย PAMM เราออกมันจะเป็นช่วงที่เจอ DD แต่เราเข้าใจระบบของเราเองอยู่แล้ว เราก็เข้ามาเก็บของ พอมันตีกลับขึ้นไปก็ขายให้คนที่กลับมา Invest ใหม่ซะ 
 
การทำ PAMM ต้องไม่ take risk ทำ NAV ให้ smooth ต้องทำ close system ให้เข้าใจก่อน เพราะอันดับแรกคือเรื่องของการลดความเสี่ยง
 
 
Environment มีผลกับระบบ
=> หากไม่ใช่ close system
=> หรือเจอหุ้นรายตัวเพิ่มทุน มันเป้นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้
 
 
การพิสูจน์ตัวเอง
=> สิ่งแรกที่จะพิสูจน์ตัวเราเองก็คือ การหาทุนมาพิสูจน์ตัวเองว่าระบบใช้ได้
 
 
Order
=> ส่วนใหญ่ order เรามักจะตัดสินใจใกล้เคียงกับคนอื่นๆ 
=> Logic ที่เป็นผู้ได้เปรียบในตลา จะยิงในจุดที่ไม่เหมือนคนอื่น
 

Transactions
=> พี่ต้าน Target นับเป็นชั่วโมง และ transactions
=> เราจะรู้ว่า Logic ของเราใช้ได้หรือไม่ได้ ก็คือ Transactions ที่เรา Control
=> เราจะรู้ความน่าจะเป้นของเรา เมื่อเราทำมันมายาวนานพอ ไม่ใช่แค่ 1,000-2,000 transactions
=> Transactions = EXP. 
=> Outcome มีทั้งทาง + , ทาง -
=> หา Transactions โดยการใช้ Demo ช่วย เทรดโดยใช้ Logic ของเราจริงๆ
=> ถ้าบอกว่าเทรดพอร์ตจริง ไม่เหมือน Demo แสดงว่าเทรด Demo ไม่นานพอ
 
 
จงตั้ง Principle ขึ้นมา => ไม่ว่ายังไงจะไม่เจ๊ง!
 
 
ส่วนใหญ่เทรดเดอร์มักจะไม่กล้ามีแผนชัดเจน เพราะกลัวจะมองว่าไม่ยืดหยุ่น
แต่จริงๆ เทรดเดอร์ต้องมี EXP. ก่อน แล้ว Gut จะมาทีหลัง

Control process การทำงานของเราให้สามารถตรวจสอบได้
ต้องคิดก่อนเลยว่า
1. ซื้อ ... เพราะอะไร เท่าไหร่ ยังไง ?
2. ขาย ... เพราะอะไร ยังไง ? แล้วดูผลลัพท์ => ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับผลลัพท์ด้วย!
 
 
Logic มาก่อน Gut มาทีหลัง
 
 
ความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์ คือ Leverage และ การไม่มีสินค้าส่งมอบจริง
 
 
Active Trading = การทำ close system มานานพอ (นานจนซึมเข้าไป) + การฝึกร่างการและคุมอาหาร
 
 

 

Friday, May 27, 2016

0464 : ประสบการณ์การเข้าเก็บหุ้น

 
ประสบการณ์การเข้าเก็บหุ้น , วันนี้ลองนั่งนึกดูว่า ช่วงแรกๆตอนที่เพิ่งหัดเล่นหุ้น เรามีพฤติกรรมเข้าซื้อหุ้นยังไงกันนะ เท่าที่จำได้ก็คือ มีโอนเงินเข้าพอร์ตเท่าไหร่ ก็ซื้อหุ้นตัวที่เล็งไว้จนเกลี้ยงเลย เหลือเงินสดติดพอร์ตแค่ไม่กี่สิบบาท ... พอหุ้นขึ้นก็ลิงโลด ดีใจ หุ้นลงก็เริ่มเครียด สุดท้ายกลายมาเป็นนักลงดอยระยะยาวซะงั้น

อีก step ต่อมา คือฟังเขาว่า การอยู่ในตลาดต้อง cut loss ให้ไว แล้ว let profit run ให้ได้ ... นี่ตรูก็เลย cut loss ไปมาๆ cut แล้วเด้ง กลับมา follow buy แล้วก็ดอยต่อ ... พอดอยก็ cut ... โอ้ย เมาหมัดเหลือเกิน เป็นแมงเม่ามันเหนื่อยนะว่าไหม ... คือมันรู้จักคำว่า cut loss แต่มันไม่ได้รู้จักการ cut loss ที่มีประสิทธิภาพ สักแต่ว่า cut ไปอย่างนั้น มีไว้ทำเท่ ไม่ได้มีไว้ป้องกันตัว ป้องกันพอร์ตเลย ปัดโถ่

แต่ที่ทำมานั้นคือ มีเงินเท่าไหร่เข้าทีละหมด ออกทีละหมด ไม่รู้จัก mm ไม่รู้จักแบ่งสัดส่วนของเงิน บางจังหวะถือหุ้นแค่ตัวเดียวอัดหมดพอร์ต มองว่าถ้าหุ้นไปที่ราคานั้น พอร์ตจะโตขนาดนี้ คือมองในด้าน return ก่อน ลืมเรื่อง risk ไปซะนี่


ปัจจุบันน่าจะดีขึ้นนะ เข้าทีละนิด ถ้าถูกทางก็ค่อยๆเก็บทีละหน่อยเฉลี่ยขาขึ้นไป แต่ถ้าผิดทางก็ปล่อยมันลงมา รอ signal ถัดไป แต่ก็ยิ่งชอบนะ ทำให้ประหยัดต้นทุนในการเก็บหุ้นขึ้นไปอีก ทยอยเก็บจนกว่าจะครบตามจำนวนที่ตั้งเป้าไว้ โดยมากก็ 10,000 หุ้น แล้วก็ทวีคูณทีละ 10,000 ขึ้นไป

จำนวน 10,000 หุ้นก็เพื่อใช้ในการ run full model ของ grid trading ของเรานั่นแหละ เพราะงั้นไม่รีบ หุ้นลงก็ยิ่งชอบด้วย ให้มันลงมาเถอะ รอได้ รอจนกว่า buy signal จะมาค่อยเข้าเก็บทีละนิด

ส่วน buy signal จะใช้อะไรมากล่ะ ก็ p/l indicator บ้าง ง่ายดี ถ้าว่างดู Charts ก็ใช้ EMA 10,50 ง่ายๆนี่แหละ ไม่ต้องพึ่งคะแนนท่ายาก เอาที่เราชอบละกัน


แต่เอาเข้าจริงๆมันก็อยู่ที่ mindset ด้วยนะ ว่า เรามองมุมไหน อย่างตัวผมในช่วงแรกๆของการเข้ามาในตลาด ผมจะมองที่กำไรก่อน พอเจ็บจนรู้ซึ้งแล้วก็เริ่มกลับมามองที่ความเสี่ยง ซึ่งความคิดมันก็เปลี่ยนไปเยอะ ตอนนี้คิดว่า เราก็ผิดได้ แต่ผิดยังไงให้เจ็บตัวน้อยๆหน่อย มีแผนแก้ไขมันเสมอ ทำยังไงให้ต้นทุนเราต่ำๆ ทำยังไงจะชักทุนเราออกมาจากตลาดได้ มันเปลี่ยนไปๆ


ความผิดพลาดเป็นครูที่ดี ถ้าเรารู้จักเรียนรู้จากมันนะครับ อิอิ

Thursday, May 26, 2016

0463 : Diary 26 พ.ค. 2559


สวัสดี , วันนี้แทบไม่เจ็บคอแล้ว ดีจัง ฟีลลิ่งวันนี้ก็ ok นะ รู้สึก Active ดี เวลางานเข้าเยอะๆแล้ว Focus มันจะทำงานดีเป็นพิเศษ 555 เลยไม่ค่อยได้คิดเรื่องอื่นมากนัก

หุ้นไทยวันนี้ ไม่ค่อย match ทำ CF อีกแล้ว รู้สึกได้เลยว่ามันเริ่มผันผวนลดลง ก็มีบางตัวมากขึ้น บางตัวลดลงนั่นแหละ แต่โดยรวมแล้วมันลดลง (ไม่งงนะ)

วันนี้มาจัดกระบวนการเทรดของหุ้นรายตัวเพิ่มนิดหน่อย ให้มัน balance มากขึ้น เพราะมีหลายโซนที่ลงมาจนรับคืนได้ SAP ไป 100 กว่าวัน กว่าจะรับกลับได้ 555 กำไรก็ 6-7% คิดเป็นต่อปีก็ 18% นะ แต่แค่ไม้-2ไม้ไง ถถถ ถ้าได้แบบนี้บ่อยๆก็ลดต้นทุนได้ไวมากอ่ะดิ จงมาๆ (มันอยู่ที่จังหวะด้วยอ่ะเนอะ)

เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติมหน่อยนึงละ ตอนนี้อาจจะเพิ่ม bet trading รายสัปดาห์เข้าไปสักนิด (ขอยืม bet trading จากพี่ลัทมาใช้หน่อย 555) เนื่องจากจะมาดูทุกวันก็ไม่ค่อยสะดวกเช่นกัน ลุยรายสัปดาห์ดูก่อน เพราะไอ่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้ดูกราฟหุ้นมาประมาณชาติเศษ อาศัยวาง grid หากินลดต้นทุนไปเรื่อยๆ มันให้ความ stable ได้นะ แต่ effective ไม่ค่อยมีนี่สิ 555

สิ่งที่มองคือ ตอนนี้เรามีอะไร (ตามหนังสือ how to ที่เค้าบอกกันก็คือ การค้นหาว่าเรามีทรัพยากรอะไร มีไพ่ในมืออะไรบ้าง แล้วเล่นมันให้ดีที่สุด) สิ่งที่เรามีก็คือ 1.วินัย (หราา?) 2.เวลาว่างช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ 3.เอาเวลานั้นมาวางแผน bet trading

จริงๆต้นตอปัญหาเราคือ (Ray บอกให้มองหาต้นตอของปัญหาใช่ม่ะ) วันธรรมดาเนี่ย ไม่ค่อยมีระเบียบด้านการใช้เวลาเท่าไหร่ พอทำงานกลับมาแล้ว Energy มัน low battery ก็เอนกายลงนอนดูซีรีย์ซะงั้น ฮ่าๆ เปิดนั่นเปิดนี่ดู ดู EA Forex บ้างนิดหน่อย รอช่วง 2 ทุ่มกว่า e-mail ของ statement หุ้นจะเข้ามาใน inbox ก็เอามาลงบัญชี excel อาบน้ำ อ่านหนังสือ แล้วก็เข้านอน ... เอาเข้าจริง มันก็มีช่วงเวลาที่จะเอามาสร้าง productive เพิ่มได้อยู่อ่ะนะ แต่มันต้องเจอกับความเหนื่อย ความทรมาณนี่สิ แต่นั่นมันคงเป็นสิ่งที่พาเราไปข้างหน้าได้อีกก้าวมั๊ง ไปก็ไปวะ!


วันนี้พยายามเลิกงานให้ไวหน่อย มีเซอร์ไพรซ์เนื่อจากประชุมเลิกไวแล้ว 1 ดอก จริงๆจะกลับไปนอนบ้านก็ได้ แต่เราเลือกกลับเข้า office ดีกว่า เพราะเตรียมตัวทำงานของวันพรุ่งนี้ แต่ก็คิดถูกนะ งาน flow ได้อีกหลายเรื่องเลย แล้วก็เลิกงานประมาณ 17.30 น. กะว่าจะไปวิ่ง กลับมาห้อง หากางเกงวิ่งไม่เจอ เลยไปกินข้าวดีกว่า กลับมาอีกที อ้าว ก็แขวนอยู่แถวๆนั้นนี่หว่า เอ้อ เราขาดความใส่ใจและตั้งใจนะวันนี้ พลาดเลย อดวิ่ง

Wednesday, May 25, 2016

0462 : Diary 25 พ.ค. 2559


สวัสดี , วันนี้อาการป่วยเริ่ม ok ขึ้น คัดจมูกอยู่บ้าง แต่สภาพจิตใจ ok นะ เริ่มผ่อนคลาย ไม่เครียดเท่าไหร่แล้ว งานประจำวันนี้ก็ยังคงประชุมทั้งวัน แต่ได้แลกเปลี่ยนความคิด ไอเดียอะไรไปเยอะแยะเลย ช่วยให้เราเห็นมุมมองใหม่ๆในการแก้ปัญหามากขึ้น ขอบคุณๆ


วันนี้พี่สหายเราเดินทางไปอเมริกาแล้ว เป็นจุด start ในการไปยึดครอง productivity ขโมยเวลาของคนอเมริกา ถามว่าทำไมต้องไป ก็เพราะถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว คนอเมริกามีเวลาเยอะกว่าคนไทยไง อิอิ ตอนนี้เราก็เรียนบัญชี ฟื้นฟูความรู้เดิม(ที่ไม่ค่อยจะมี)ไปก่อน เตรียมพร้อมๆ รอรับ transactions

คำแนะนำก่อนขึ้นเครื่องวันนี้ คือ อย่าเครียดๆ ... เราก็คงเครียดๆกับงานไปมั๊งช่วงนี้ จริงๆเครียดไปก็ทำอะไรให้มันดีขึ้นไม่ได้ แต่บางทีมันก็ไม่รู้เท่าทันใจตัวเองนั่นแหละ การยิ้มเข้าไว้ก็ใช้บ้างนะ ทุกครั้งที่รู้ตัว เราจะยิ้มให้ตัวเอง เพื่อดึงความสุขกลับเข้ามา ว่ากันว่าถ้าเรายิ้ม มันจะเป็นการยิ้มเพื่อนำความรู้สึก คือ ใจเราอาจจะไม่ยิ้มหรอก แต่ถ้าหน้าตา ปากเรามันยิ้มนำ มันก็จะดึงฟีลลิ่งกลับมาตามได้ แต่ลองบ่อยๆก็ไม่ค่อยได้ผลหรอกนะ มันอาจจะต้องใช้เวลาในการดึงความรู้สึกอ่ะนะ ฟีลลิ่งเราเปลี่ยนช้า แต่ก็ถือว่าเร็ว Mood , Tone ของเรา ซึ่ง Bad Feeling ของเรามันอาจจะโดนคุมด้วย Mood , Tone ของเราในช่วงนั้นก็ได้ ... อย่างช่วงนี้เราก็รู้เลยว่า mood ของเราอยู่ในช่วงความเครียดและกังวล เวลามันดีใจ อิ่มเอิบใจ มันก็จะไม่ค่อยยาวนานเท่าไหร่ แต่พอห่อเหี่ยวละมาไวจัง อะไรงี้ เหมือนกราฟขาขึ้นใน TF เล็กๆ สวนทางกับ TF ใหญ่ๆละมั๊ง

แต่เอาจริงๆแล้วการเขียน blog นี้ก็เป็น 1 ในกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายหัวใจเราเหมือนกัน มันเหมือนเป็น Space ของเรา อยากบ่น อยากเขียน อยากระบาย อะไรก็ใส่มันลงมาในนี้เนี่ยแหละ ซึ่งก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้น หรือ การเทรดเท่าไหร่ 555 เพราะสำหรับเรามองว่า การเทรดมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต วางระบบแล้ว flow ไปกับมันนั่นแหละ


หุ้นไทยวันนี้ก็ไม่มีอะไรอีกละ (มึงจะไม่มีอะไรทุกวันเลยหรือไง ห๊าาา) ก็ทำตามระบบไป ไม่ค่อยมีเวลาดูด้วยนั่นแหละ ก่อนนอนก็ลงบัญชี วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ ก็เท่านั้น

Forex วันนี้ยังไม่ยิงอะไร ที่เปิดไปเมื่อวานก็ยังไปไม่ถึง TP อ้อ วันนี้ EA Ulver Prime เปิดไป 1 ไม้ เนื่องจากเมื่อวานเราเปลี่ยนฝั่งไป sell EU วันนี้มันก็เลยเล่นหน้า sell ละ เปิดแล้ว เราเห็นราคามันดีดขึ้น cross ma 10 กลับมา ก็เลยปิดเอา CF ออกมา


อาหารการกินวันนี้
มื้อเช้า : ข้าว 1 จาน , โบโลน่าทอด , ไข่เจียว , แกงส้ม
มื้อกลางวัน : ข้าวคลุกกะปิ
มื้อเย็น : ข้าว 1 จาน , ยำโบโลน่า , ต้มจืด , ผัดผัก
วันนี้ไม่ใช้เงินสักบาท อิ่มจังตังค์อยู่ครบ ฮ่าๆ
อ๋อ ลืมๆ เมื่อวานมีทำบุญงานศพพ่อเพื่อนไป 500 บาท

Tuesday, May 24, 2016

0461 : Diary 24 พ.ค. 2559


วันนี้เลิกงานแล้วรู้สึกป่วย เป็นหวัด คัดจมูก เจ็บคอ รู้สึกไม่มีแรงเลย หงุดหงิดด้วย เลยไม่อยากทำอะไร ช่วงกลางวันก็เริ่มแสบๆคอละนะ คาดว่านอนดึกนั่นแหละ ไม่เป็นไร คือนี้นอนไวไวหน่อยนึง ให้ Healing Factor ของร่างกายทำงาน อิอิ ... ฟีลลิ่งวันนี้คือ เรื่องงานประจำผ่อนคลายลงไปเยอะ เพราะมีคนมาช่วยแบ่งเบางานไป คุยกันปรับทุกข์หัวอกเดียวกัน ฮ่าๆ รู้สึกมีคนเข้าใจเรา โดยรวมก็สบายใจนะ แต่มารู้สึกแย่ หงุดหงิดจากการป่วยนี่แหละ หายๆๆ เพี้ยง!


วันนี้ bet หุ้นไทยไปบางตัว เพราะเห็นมันเริ่มติดฝั่ง sell พอมันติดฝั่ง sell 3-4 bullets เราก็เลยเปลี่ยนฝั่งเล่นมั่ง แต่ก็ bet ไปนิสเดียวเท่านั้นแหละ Test ตลาดดูว่าพอเราเปลี่ยนฝั่งมันจะไปต่อไหม ... วันนี้ CF ค่อนข้างน้อย เพราะไม่ค่อย match buy - sell กัน แต่มันเป็นการวางโซนไว้มากกว่า อย่าง bwg , tnp ก็วิ่งไปหลายโซนเลย เราก็ปล่อยโซน alpha ไว้ต่อ ซึ่งหุ้นพวกนี้มันจะสร้าง cf ได้น้อย แต่... มันก็ช่วยเรื่องมูลค่าพอร์ต ไป support ตัวที่ดอย 555

ตอนนี้มีบางตัวที่เริ่มวางโซนแบบซื้อแล้วขาย เพิ่มเข้าซ้อนในกลยุทธ์ของ Core System ซึ่งเป็น Grid แบบ ขายแล้วซื้อคืนได้ (ไม่เรียกว่า DSM ดีกว่า เพราะว่ามันห่างไกลจาก DSM ของท่านจ้าวสำนักเหลือเกิน กลัวจะเข้าใจผิดกัน ฮ่าๆ)

ไอเดียเราคือ Core System ของเรามันจะเป็น Grid แบบแบ่งสัดส่วนพอร์ตเป็นหุ้นหลายๆตัว ( 10 ตัวขึ้นไป ) แต่ละตัวก็แบ่งสัดส่วนกลยุทธ์ อีกที คือ SAP 30% ไว้รับมือขาลง , Zone Trading 30% ไว้เทรดหา CF , Alphe 30% ไว้เพิ่มมูลค่าพอร์ต และอีก 10% คือ หุ้นฟรี ไว้กินปันผล ถ้าหลุดจนเหลือหุ้นในมือ 10% ก็ไปหาตัวอื่น 555 (แต่จริงๆไปหาตัวอื่นก่อนหน้าแล้วแหละ มันมีเรื่องของ การ Sharing ทรัพยากร Cash Reserve ที่กองๆไว้โซนล่างๆไม่ได้เอาไปทำอะไร ก็ดึงมาบางส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ)

Forex วันนี้ Mudley Final Exam เข้าไป 1 bullet โดยเลือกตัว NZDCHF เข้าจาก MA Cross over แต่โดน spread เข้าไปซะดอยเลย ... แต่ก็ต้องรอดูต่อไป ที่ตาเห็น คือ Day , H4 มันยืนได้ H1 price ทะลุขึ้นมาละ TF 30min ขึ้นมาด้วย ส่วนเรานั้นเข้าจาก TF 15min ไปละ ตั้ง TP ไว้แถวๆยอดเดิม ไม่รู้จะถึงไหม ฮ่าๆ




อาหารการกินวันนี้
มื้อเช้า : ข้าวราดปลาโอผัดพริก+หมูทอด (40 บาท)
มื้อกลางวัน : ข้าวผัดปู (0 บาท)
มื้อเย็น : ข้าว 1 จาน , แกงส้ม , ปลาสลิดทอด , ปลาผัดคื่นช่าย (0 บาท)

Monday, May 23, 2016

0460 : Diary 23 พ.ค. 2559


วันนี้ได้ฟัง Live พี่ต้านเรื่อง Quantitative Capitalism for Life แม่มตรงใจมาก เป็นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่เลย แต่พี่ต้านช่วยขยายความให้เราได้เก็บรายละเอียดได้ครบขึ้น ทุนนิยมนี่มันน่ากลัวเนอะ แต่เราไม่กลัวมันหรอก เราจะแหกคุกไปให้ได้ อิอิ เด๋วไว้มาเขียนเรื่องนี้เต็มๆ

อารมณ์วันนี้ ตอนเช้ารู้สึกเฉื่อยๆเบื่อๆ ไม่อยากไปทำงานเลย แต่พอไปถึงโต๊ะ เริ่มทำงานก็ลุยเต็มที่จนลืมความเบื่อไป วันนี้เหมือนเวลาผ่านไปไวมาก ออกไปทำงานตอนบ่ายกว่าๆ กลับเข้ามา Office เกือบ 6 โมงเย็น ช่วงบ่ายไม่มีเวลาเปิดพอร์ตเติม order เลย 555 แต่ CF ที่ได้จากการ match วันนี้ก็ ok นะ

ดูจาก trade log ตอนนี้เหมือนหุ้นเริ่มรับคืนๆได้เยอะละ Cash Reserve เริ่มหดๆไปหน่อยๆ บางตัวเริ่มมี Zone Low แล้ว ก็ขาย Mark Zone ตามน้ำไปก่อน

Forex วันนี้ EA เงียบเลย ส่วน Port Exam ยังไม่มีจังหวะยิง เลยเงียบเช่นกัน


อาหารการกินวันนี้
มื้อเช้า : ข้าว 1 จาน , ไข่ดาว , ผัดกระเพราวุ้นเส้นหมูสับ , ยาคูลท์ (7 บาท)
มื้อกลางวัน : บะหมี่น้ำตกพิเศษ , แคบหมู (50 บาท)
มื้อเย็น : ข้าวผัดกุ้งพิเศษไข่ดาว (55 บาท)
Cost of Living = 112 บาท

Sunday, May 22, 2016

0459 : Diary 22 พ.ค. 2559


ฟีลลิ่งวันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย รู้สึกโกรธ กับบางเรื่องตั้งแต่เช้าเลย พาลทำให้วันนี้ไม่ค่อยอยากจะทำอะไร หนังสือก็ไม่ได้อ่าน ฮ่าๆ เลยเอางานประจำมานั่งทำคืบหน้าไปอีกนิดหน่อย ถือว่าเบาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้ล่ะกัน เพราะ 24-25-26 นี้ประชุมสัมมนา 3 วันติด อืม ไม่รู้ว่าอะไรนักหนาเหมือนกัน

วันนี้ก็ลองเปิดคลิป ทรานซ์ ของครูอ้อยฟังดู หลับตาแล้วก็ปล่อยใจล่องลอยไป พบว่ามันก็ช่วยผ่อนคลายได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เรากลับเข้าสู่โซนของอารมณ์ปกติ (ซึ่งจะมีสภาวะ Active นิดๆ) เราพบว่ามันคือการคิดถึงความสนุกของการเทรดหุ้นไทยนะ ตอนอาบน้ำเราคิดว่าพรุ่งนี้จะเทรดอะไร ยังไงดีน้อ แค่นี้มันก็ทำให้เรารู้สึกสนุก และดึงเรากลับมาสู่อารมณ์ปกติของเราอีกครั้ง

สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้ก็คือ เราไม่ควรจมอยู่กับอารมณ์โกรธนานนัก แม่งโคตรเสียเวลา เอาเวลาเบี่ยงเบนไปทำในสิ่งที่ทำให้เราเลิกคิดถึงมันชั่วคราว ผลกระทบทางอารมณ์จะได้จางลงไป แล้วเราจะได้กลับมามีสติเพิ่มขึ้นอีกครั้ง


อ้อ วันนี้ฟังคลิปพี่เอก ชัยภัทรฯ เรื่องการจินตนาการภาพ 5 ปีข้างหน้า เราจะเป็น Trader สายไหน ... เราคงเป็น part time trader แหละ คงเลี้ยงลูก หรือ ถ้ายังไม่มีลูกก็คงท่องเที่ยว เล่นกีฬา หรือ เรียนรู้สิ่งต่างๆแหละมั๊ง (เราชอบพวกศิลปะป้องกันตัว ไม่ก็เดินทางชิมนั่นชิมนี่ไป 555 สายแดกๆ) ไม่ได้คิดจะเป็นเทรดเดอร์ใน Fund อะไรหรอก เพราะเราชอบชีวิตอิสระมากกว่า ถ้าต้องไปเป็นลูกน้องเขาโดนเขาด่าตอนที่ทำกำไรไม่ค่อยได้ มันคงไม่มีความสุขมั๊ง


สะสมทุนๆ เข้าสู่ Level 1 ให้ได้ก่อน
เราวาง Level ของอิสรภาพทางการเงินไว้แบบนี้
Level 0 คือ CF น้อยกว่า รายจ่าย
Level 1 คือ CF เท่ากับ รายจ่าย (ซึ่งจะทำให้จิตใจมีความปลอดโปร่ง รู้สึกเป็นอิสระ)
Level 2 คือ CF มากกว่า รายจ่าย 10% (เข้าสู่อิสรภาพ เทรดพอกินพอใช้ เหลือออมเพิ่ม 10% ต่อเดือน)
Level 3 เด๋วค่อยมาบอกละกัน 555


อาหารการกินวันนี้
มื้อเช้า : ข้าว 1 จาน , ขาหมูพะโล้
มื้อกลางวัน : ยำยำหมูสับ ไข่ต้ม 2 ฟอง
มื้อเย็น : ข้าว 1 จาน , น้ำพริก , ไข่ลูกเขย


Plank : 1 นาที 20 วิฯ

Saturday, May 21, 2016

0458 : Diary 21 พ.ค. 2559


วันนี้พักผ่อนอยู่บ้านทั้งวัน อ่านหนังสือ Principle ของ Ray Dalio ซึ่งพี่สหายก็โทรมาคุยเรื่องแนวทางการดีไซน์วัฒนธรรมองค์กร มันก็คล้ายๆกับใน Principle นั่นแหละ ซึ่งมันเข้ากับ culture ของฝรั่งมากกว่าคนไทยมาก ฮ่าๆ แต่ก็ใช่ว่าคนไทยจะทำไม่ได้นะ เพียงแต่ต้องเข้าใจบางอย่างที่ฝังในหัวเรามาแต่เด็กอ่ะ ... สิ่งที่กลับมาครุ่นคิดในวันนี้อีกทีก็คือ การลงมือทำเพื่อไปสู่เป้าหมายชีวิต เรารู้สึกว่ามันขยับไปได้นิดเดียวเองหว่ะ พอเปิด Facebook ไปเจอ Status นึงของพี่โจ ก็เลยขอ Save เก็บไว้หน่อย แบบว่ามันใช่เลยอ่ะ!


คุณจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ หากคุณไม่เปลี่ยน อะไรบางอย่าง ในชีวิตประจำวัน เคล็ดลับของความสำเร็จ คือการเปลี่ยนแปลง ตารางในชีวิตประจำวัน

เช่น บางคนต้องการลด นน. ก็ต้องเสริมตารางออกกำลังกาย และตารางควบคุมอาหาร หรือ ต้องการเทรดเก่งๆ ก็ต้องเพิ่มตารางเวลาให้กับการฝึกฝนบนกราฟ หรือต้องการแกะงบการเงินเก่งๆ ก็ต้องเพิ่มตารางเวลาให้กับการศึกษาบัญชี และควรเพิ่มเป็น daily routine


สิ่งที่เราทำอยู่ปัจจุบันมันไม่ค่อยเพิ่มจากที่ผ่านมาเท่าไหร่ เอาน่ะ ลุยกันใหม่ๆ สู้ๆ


แล้ววันนี้ก็ Save เรื่องเกี่ยวกับการบริหารองค์กรจาก พี่หมอ มานพฯ มาอีก 


เกี่ยวกับการบริหารองค์กร

1. งานที่ดีต้องตัดสินกันที่ผลลัพธ์ (outcome-based performance) ไม่ใช่กระบวนการ  
2. การหาเหตุผลและอุปสรรคมาอธิบายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ความล้มเหลวของตนเอง เป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ ถ้าทำไม่ได้ก็หาคนอื่นมาทำแทน 
3. เป็นไปไม่ได้ที่ทำให้ทุกคนเป็นคนเก่ง หน้าที่ของ ผบห คือส่งเสริมคนเก่งให้ก้าวหน้าและให้รางวัล ไม่ใช่ให้กระจายกันไปให้ทั่ว ความผิดพลาดของ ผบห คือเลือกใช้คนผิด
4. ลูกน้องในองค์กรเก่ง ๆ เยอะ แต่หัวหน้าชอบ block ลูกน้องไม่ให้ก้าวหน้า ดังนั้นต้องมีช่องทางให้ลูกน้องเข้าถึง ผบห ได้โดยตรง
5. พนักงานในองค์กรถูกขับเคลื่อนด้วย incentive (ไม่ว่าจะเป็น financial และ  non-financial incentive) แต่การพิจารณา incentive ที่ยุติธรรมต้องมีเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน 
6. การให้คนในองค์กรช่วยกันทำเพราะ for the greater good อย่างเดียวเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ

องค์กรที่ขาดความสามารถในการแข่งขัน
1. องค์กรที่วัน ๆ เอาแต่ประชุม
2. องค์กรที่วัน ๆ เอาแต่ทำรายงานเอกสาร 

พนักงาน 4 ประเภทขององค์กร และวิธีจัดการ 
1. เก่ง + ขยัน  >> มีคนพวกนี้เป็นบุญขององค์กร ต้อง delegate สนับสนุนให้เขาทำงานเอง ส่งเสริมให้ก้าวหน้า อย่าไปจู้จี้สั่งโน่นนี่ คนกลุ่มนี้จะทนไม่ได้ ลาออก
2. เก่ง + ขี้เกียจ >> คนพวกนี้ต้องเน้น participation มีการตามจี้ ติดตามงานเป็นระยะ มีเป้าย่อยให้ achieve เป็นขั้น ๆ
3. โง่ + ขยัน >> คนพวกนี้ให้ทำงาน routine ต้องทำงานแบบมี  instruction เป๊ะ ๆ จะทำได้ดี ทำงาน back office หัวหน้าต้องเน้น coaching แบบละเอียด 
4. โง่ + ขี้เกียจ >> คนพวกนี้อย่าปล่อยไว้ ให้ไล่ออก ถ้าไล่ออกไม่ได้ ให้เอาไปทำงานที่ไม่มี value added ใด ๆ 
Reward/Incentive system ต้องแบ่งตามกลุ่มไม่เท่ากัน

วิทยา จารุพงศ์โสภณ


1. สิ่งกีดขวางทำให้ช้าลง แต่ไม่ใช่เหตุที่ทำให้ทำงานไม่สำเร็จ
2. องค์กรจ้างท่านให้มากำจัดอุปสรรค ไม่ใช่ให้แค่มาบอกว่ามีอุปสรรคอะไรบ้าง 
3. งานของเรา เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ จะมีคนทำแทน! 

อุปสรรคในการสื่อสาร
1. ปัจจัยด้านบุคคล : ความสัมพันธ์ระหว่างกัน, การรับรู้และความลำเอียง
2. ปัจจัยโครงสร้างองค์กร : สายการบังคับบัญชา โดยเฉพาะการบังคับบัญชาแนวดิ่งหลายขั้นตอน (bureaucracy)
3. ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก : ระยะห่างทางกายภาพ, ความแตกต่างทางวัฒนธรรม 
วิธีแก้ bureaucracy คือต้องมี dashboard กลางสำหรับหน่วยงานหรือองค์กร + balanced scorecard 

นริศ ธรรมเกื้อกูล 


เกี่ยวกับผู้บริหาร

ผู้นำมีหน้าที่ต้องตัดสินใจแค่ 3 เรื่อง
1. กลยุทธ์ทางธุรกิจ (ทิศทาง, วิสัยทัศน์, ภารกิจ, เป้าหมาย, วิธี)
2. ทรัพยากรบุคคล (เลือกคนทำงาน, การสื่อสาร, การบริหารจัดการคน)
3. การจัดการในภาวะวิกฤติ (คาดการณ์, วางแผนป้องกัน, แก้ปัญหา, ฟื้นฟู)
อย่ามัวแต่ทำงาน routine งานพวกนี้ยกให้ลูกน้องทำ

สิ่งที่ผู้บริหารควรทำ
1. เป้าหมายหรือภารกิจกำหนดแค่ 3-4 เรื่อง อย่าเยอะ แต่ต้องเลือกเนื้อ ๆ เน้น ๆ 
2. หัวหน้ารับงานเยอะ ๆ ยิ่งงานเยอะ ลูกน้องยิ่งเติบโต 
3. บารมีไม่มีขาย อยากได้ต้องสร้างเอา  

วิธีสร้าง trust (บารมี) ของผู้นำ
1. ยึดมั่นหลักการ "คิด-พูด-ทำ ต้องสอดคล้องกัน"
2. สามารถเป็นที่พึ่งได้
3. คงเส้นคงวา
4. ปกป้องคุ้มครองลูกน้องได้
5. เปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น

นริศ ธรรมเกื้อกูล


เกี่ยวกับการตลาด

1. การตลาดโคตรเลือกปฏิบัติเลย การตลาดไม่มีคำว่าแฟร์ อยากหาความแฟร์ไปเรียนนิติศาสตร์ 
2. "If you don't have a competitive advantage, don't compete" 
3. โฆษณาที่เลือก target group ไม่ได้ = เปลือง
4. องค์กรต้องเลือกลูกค้า เลือกเฉพาะลูกค้าที่สร้างผลตอบแทนให้องค์กร ลูกค้าคนไหนไม่ได้เรื่อง ส่งให้ไปเป็นลูกค้าของคู่แข่งแทน 
5. ถ้าเลือกเป้าหมายการตลาดได้ดี ราคาจะไม่ใช่ประเด็น 
6. การลดราคา ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายในการขาย 
7. การตลาดเป็น outside-in ต้องคิดเหมือนลูกค้าคิด ไม่ใช่คิดมโนเอาเอง 


วิทยา จารุพงศ์โสภณ


เราเคยเรียนกับ อ.นริศ ธรรมเกื้อกูล ตอนที่แบงค์ส่งไปสัมมนา แกเก่งโคตรเลย โครงการ CP Retail Link ก็เป็นโครงการของแกแหละ มันส่งผลให้แกได้โปรโมตจากเจ้าสัวเลย



ต่อที่ความรู้สึกวันนี้ วันนี้รู้สึกสบายๆ ไม่ค่อยเครียดอะไร มีเรื่องงานประจำที่แว๊บขึ้นมากวนใจนิสหน่อย แต่ก็ปล่อยมันไป วันหยุดเว้ย วันหยุด แต่ก็กะจะทำพรุ่งนี้อ่ะแหละ ที่วันนี้ฟีลลิ่งแบบสบายๆก็เพราะได้อ่านหนังสืออยู่บ้านมั๊ง มันเป็นการพักผ่อนที่เรารู้สึก ok ที่สุดเลย อยู่บ้านเนี่ย แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่ชอบเที่ยวนะ แต่ช่วงหยุด 3 วันแบบนี้ ไปไหนมาไหนทีสยองเลย ส่วนภรรยาก็ซ้อม DOTA ทั้งวัน 555


อาหารการกินวันนี้
มือเช้า : ข้าว 1 จาน , ปลานิลทอด , ต้มมะระ , เลย์โนริสาหร่าย
มื้อกลางวัน : ราดหน้าเส้นไวไวไข่ต้ม (60 บาท)
มื้อเย็น : ข้าว 1 จาน , ไข่ต้ม , ปลาผัดพริกกระเทียม , ต้มมะระ

0457 : Note การดู Mudley Channel ตอน Final Exam เดือน 2


Note การดู Mudley Channel ตอน Final Exam เดือน 2

Link Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=he1wgBv90ps


เพิ่งว่างมานั่งดูย้อนหลังครับ จดไว้หน่อยเพื่อเตรียมตัวสำหรับเดือนที่ 2 (NAV ติดลบบาน กระสุนติด 2 นัด T T)


สิ่งที่ต้อง Focus ในเดือนที่ 2

1. ต้องเทรดโดยการใส่ TP (Take Profit หรือ Target Profit) โดยต้องตั้ง TP ไม่ต่ำกว่า 25 pips
2. ทำ Transactions จาก TP ตามข้อ 1 ใหได้ อย่างน้อย 4 transactions (order ที่ปิดแล้วต้องมีสีเขียว) ... ถ้าอันไหน TP แต่ไม่ถึง 25 pips ก็จะไม่นับ transactions ให้

การที่ให้เทรดโดยตั้ง TP ก็เพื่อให้ฝึกมุมมองในการ monitor เป็นการฝึกมองเป้าหมาย

เดือนแรก ให้เทรดมือ เพื่อเป็นการฝึก monitor
เดือนที่ 2 ให้ตั้ง TP เพื่อเป็นการฝึกเล็งเป้า (ทำ Risk/Reward ได้ ซึ่งสำคัญในการทำ model)


เพิ่มเติมคือ เมื่อจบ 6 เดือนของการสอบ คนที่มี NAV เป็นบวกเท่านั้นถึงจะสอบผ่าน (ถ้า NAV ติดลบ ก็เท่ากับที่ผ่านมา 6 เดือน เราเหนื่อยฟรี) ... เพราะงั้นสิ่งที่เราต้องคิดก็คือ จะทำยังไงที่จะเอาทุกอย่างที่เรารู้มาทำให้ NAV เป็นบวกได้

คนที่สอบผ่าน รางวัลคือ ได้สิทธิ์เข้าสอบ bluepoint
(มีบางคนแอบสมัครสบแบบเสียตังค์ ใช้ทางลัด ซึ่งก็เหมือนเอาเงินไปให้เค้าเปล่าๆ เสียตังค์ฟรี)

ก่อนจะสอบ มันต้องซ้อมจนคล่องก่อน ไม่ซ้อมลัดคิวจ่ายเงินสอบ ก็เสียเงินฟรีไป
ระบบ floor ของเค้าคือเทรดสวนคนที่เข้าสอบ เพราะ model ของโบรค คือ market maker ซึ่ง base บนความเชื่อที่ว่า คนส่วนใหญ่ขาดทุน และ limit profit โบรคก็จะเทรดตรงข้าม ซึ่งจะเท่ากับ กำไร + limit loss ... เก็บ position ไว้ไม่ส่งตลาดจริง เทรดเดอร์ก็จะแพ้ภัยตัวเอง ทุกครั้งที่ล้างพอร์ตเงินก็จะไหลเข้ากระเป๋าโบรค

ระบบของ bluepoint คือให้สมัครสอบ แล้วหารายได้จาดค่าสมัครและการเทรดตรงข้ามกับคนสมัครสอบ ซึ่งอัตราสอบผ่านก็แค่ 20% กำไรเน้นๆ

เทรดเดอร์แคนาดา สอบผ่านเยอะมาก ต่ไม่ได้พรีเซ้นต์ตัวเองว่าเป็น TA จ๋า ขณะที่คนไทย เน้นว่าเป็นเทพ TA แต่อัตราสอบผ่าน = 0%

จริงๆ TA มันใช้สร้างความได้เปรียบ (การตัดสินใจ , ระยะเวลา ฯลฯ)
ส่วน Fundamental คือ พื้นฐาน

เวลาเราทำอะไรสักอย่าง เราจะเน้น tools ก่อนเสมอ เช่น รองเท้าวิ่งเทพ , ไม้แบด ไม้กอล์ฟเทพ , จอเทพ 4-6 จอ แต่เราไม่ค่อยฝึกซ้อม เราทนที่จะฝึกสิ่งสำคัญไม่ได้

อุปกรณ์นั้นมีได้ แต่ต้องรู้ว่าจะมีไปเพื่ออะไร

ฝรั่งเน้นทักษะ ไม่เน้นอุปกรณ์ ถ้าใช้ทักษะได้ดี ในอุปกรณ์ที่ด้อยกว่าจะได้รับการสรรเสริญ


สิ่งสำคัญที่สุดคืออะไร ?
แคนาดา เค้าปูพื้นฐานก่อน ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของ Trading คืออะไร

พื้นฐานของการเทรด ต้องรู้ก่อนว่า Product ไหน ก็จะ trading หน้าไหน ?
ค่าเงินไหน ควรจะเทรดหน้าไหน ควรจะหยุดเมื่อไหร่ ?

ก่อนสอบเค้าให้เทรดเดอร์ซ้อมจนคงเส้นคงวาก่อน ทำจนชินแล้วค่อยส่งไปสอบ พอสอบก็มั่นใจว่าผ่าน ทำจนเป็นปกติ รู้ทุกอย่างจนพร้อมก่อน



Mudley World
ใช้ skill แลก Productivity คล้ายๆ bitcoin ที่เอาคอมฯมาตั้งแล้วขุดเหมือง (แต่เสียค่าไฟ) ... แต่ mudley world จะเป็นการปั่น mudley coins เป็นทีม

การบ้านที่ต้องคิดกันก็คือ
- เราแต่ละคนต้องรู้เวลาที่จะ monitor ได้
- เวลาที่จะ monitor ต้องเหลื่อมกัน (จัดเวลา ตารางเข้าเวร)
- ผลัดกัน monitor เพื่อ build asset



คนเราผิดกันได้ แต่ผิดก็หยุด
คนไทยมักจะชอบแข่งกันพูด ใครพูดดี พูดสวยหรูก็มีคนเชื่อ ทำไมเราไม่มาแข่งกันตรงๆ


การกลัวความผิดพลาด มันเกิดจาก...
- ระบบที่ผิดพลาดไม่ได้
- ผิดแล้วโดนด่า โดนหักคะแนน สอบตก
- เราไม่ได้ learning จากความผิดพลาด (แต่ No pain No gain นะ)



ความคิด
- คนส่วนน้อยจะสนใจความจริง ... คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเทรดจะสนใจเงิน , กำไร
- ปัญหาจริงๆของตลาดนี้คืออะไร ทำไมคนส่วนน้อยถึงได้เงิน คนส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะเราไม่เคยยอมรับว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้พลาด หรือ เสี่ยง เช่นไม่ได้วางแผนไว้ก่อน , copy โดยไม่ได้คิด
- จะให้ดี ต้องเอาแนวคิดไปพัฒนาต่อ
- ความจริงของคนที่ success มีอะไรบ้าง อย่างแรกก็คือการไม่เจ๊ง แล้วทำยังไงถึงจะไม่เจ๊ง ก็ต้องไปคิดต่อเอา
- เราต้องคิดว่า เราเจ็บปวดในปัจจุบันเพราะอะไร เช่น ติดดอยเพราะ ความประมาท , ไม่คิดถึงความเสี่ยง ?
- พี่อ้วน KFC_M ฝึกในสิ่งที่เป็นพื้นฐาน ไม่คิดอะไรมาก แม้จะไม่เทพ แต่ก็สบายกว่าหลายๆคน



การเปรียบเทียบ
แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าเราเทรดได้แล้ว แต่พอไปเทียบกับคนที่ระดับสูงกว่า เราจะรู้สึกกาก (เพราะการเปรียบเทียบ) ถ้าเรายอมรับในความต่างชั้น เราจะเอามันมาเป็นพลังในการพัฒนา แต่... ถ้าเราไม่ยอมรับ ก็จะเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ก็คือการโทษนั่นโทษนี่ ข้ออ้างต่างๆนานา



การเทรดไม่ใช่แค่เรื่องของความเก่ง แต่มันเป็นเรื่องของความ stable ด้วย



mentor มีหลายแบบ เช่น mentor ทางด้านจิตใจ , ร่างกาย



จะเทรดต้องตอบให้ได้ก่อนว่าจะไปสายไหน ?
เช่น ถ้าอยากเก็บ exp นานๆ ก็ต้องเริ่มจากการไม่เจ๊ง (ไม่เสีย productivity ออกไปนอกประเทศด้วย) , คนที่จะเน้นสร้างพอร์ต ก็ต้องไปเน้นที่ความเสี่ยง



เราต้องรู้ว่าเราควรเล่น position (ขนาด)ไหน แต่ปกติเรามักจะไม่ค่อยประมาณตนเท่าไหร่

การเลือกสนามก็เป็นเรื่องนึงที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องพิศูจน์ว่าเราเก่ง โดยไปเล่นสนามระดับสูงสุด เล่นสนามที่เราได้เปรียบ


พัฒนาตัวเอง รู้จักปรับตัว อย่าลดกำลังใจตัวเอง
เราจะไม่มีวินัยไปขนาดไหน จนทำให้เราเจ๊ง ?


คนเราทุกคนมีความเจ๋งอยู่ เก็บข้อดีของคนมาเรียนรู้ (Copy Ninja)


เกมการเงิน จะชนะได้ ต้องวางแผนให้ดีที่สุด


ควรมองย้อนไปว่า ที่ผ่านมาเรา take risk เพราะอะไร (มันอันตรายหากเรานำมันไปใช้ในชีวิตจริงด้วย)


Knowledge เกิดจากการกระทำ ทำมากๆ ก็จะเกิดความฉลาด


Trader ทั่วไป Cut loss ง่ายเกินไป เพราะคิดว่า เดี๋ยวก็หามาใหม่ได้
มือสมัครเล่น จะ cut loss จากทุนที่มี
แต่ มืออาชีพ จะ cut loss จากกำไรที่หามาได้


จบ.



อ่านตอนก่อนหน้าตรงนี้นะครับ
Note Mudley Channel ตอน การพัฒนาตัวเองกับปลาหมึก
Note Mudley Channel ตอน เทรดเดอร์ยุคใหม่และโอกาส
Note Mudley Channel ตอน Principle ของเทรดเดอร์
Note Mudley Channel ตอน How to observe market from micro account
Note Mudley Channel ตอน เฉลยข้อสอบกลางภาค 2016
Note Mudley Channel ตอน Mudley Live พี่ KFC_M


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

Friday, May 20, 2016

0456 : Diary 20 พ.ค. 2559


วันนี้ช่วงเช้าไปทำบุญกับครอบครัว กลับมาก็พักผ่อนอ่านหนังสือ ดูซีรีย์ ดูหนัง งีบ อ่อ เริ่มทำโปรเจคใหม่อันนึงล่ะ ลองเขียนงานใน google drive ดู ใช้การเขียนจากเสียงพูด เออ มันก็สะดวกดีเว้ยแก หน้าที่เราก็แค่เคาะเว้นวรรค จัดบรรทัด นิดหน่อย แหล่มเลย

แล้วก็มีลองทำคลิปแนะนำเกี่ยวกับ Trade Log ที่ใช้อยู่ เพราะเห็นคนไม่ค่อยทำบัญชีเทรดกันเลย ฮึ่มๆ มันสำคัญมากเลยนะ ทำไมไม่ทำกันว้าาาา การเทรดก็เหมือนทำธุรกิจ ทำการค้าอ่ะ ไม่ทำบัญชีแล้วมันจะรอดได้ยังไงล่ะ จริงไหม ? ... แต่ Draft แรกยังไม่ ok เท่าไหร่ เพราะว่าพูดติดๆขัดๆ มี เอ่อๆ อ่าๆ เยอะเลย เกรงว่าคนดูจะรำคาญนะ เด๋วขอเทค 2 ละกัน 555


ช่วงนี้กระแสเรื่องหุ้น SOLAR เยอะเลยเนอะ ในฐานะที่เล่นหุ้นตามเซียนตัวพ่อ (ลอกการบ้านชาวบ้านซะส่วนใหญ่) เราคิดว่าคนที่ดอยก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่ควรไปด่าไปโทษเซียนหรือรายใหญ่เขาหรอก แต่เขาจะนิสัยดีไม่ดียังไงก็อีกเรื่องนึง (ผมก็ไม่รู้จักเขาหรอกนะ) การที่เขาเคยเชียร์ ให้ข่าว หรือ ขายหุ้นออก ก็สิทธิ์ของเขา ส่วนการซื้อหุ้นตัวเดียวกับเขา มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเช่นกัน เขาไม่ได้เอาไลท์เซเบอร์มาจ่อที่คอให้เราเคาะขวานี่หว่า

การที่เราจะซื้อตามเขา สิ่งที่ควรมีไว้ก่อนเลยก็คือ Exit Strategy อย่างผมหลักๆก็จะมีการชิ่งก่อน ถ้าตัวไหนซื้อตามเซียน จะดึงทุนออกก่อนให้ได้เป็นอย่างแรกเลย เหลือกำไรไว้ let profit run ไปกับเขา ถ้าเขาลากไปต่อก็สบาย ถ้าโดนเชือดก็เจ็บตัวแค่กำไรหด คิดจะเล่นตามเขาก็ต้อง take risk ให้ได้ด้วย

เราเข้าตามเขา เท่ากับว่าเราเสียเปรียบเขาที่ต้นทุนแล้ว อย่าลืมกฏของการอยู่ในตลาด ... ปกป้องทุนให้ได้ก่อน อิอิ ถ้าดึงทุนออกได้ไม่หมด อย่างน้อยก็พยายาม ปรับต้นทุนหุ้นของเราให้อยู่ในระดับต่ำกว่าเขาให้ได้ เขาลากให้มีกำไรแล้วก็ตัดขายเอากำไรมาลดต้นทุนบ้าง ไม่ใช้ let profit run หวังเป็นสิบเด้ง ร้อยเด้ง ... ถ้าตัวไหนที่คุณทำการบ้านเอง ค่อย let profit run ละกัน นี่แม่งลอกเขาก็ต้องรักษาตัวรอดให้ดีหน่อย ติดเกราะ ตั้งการ์ดให้สูงหน่อย หุหุ


อาหารการกินวันนี้
มื้อเช้า : ข้าว 1 จาน + ไข่เจียว ( 0 บาท )
มื้อกลางวัน : ราดหหน้าเส้นไวไว + เลย์โนริสาหร่าย + ปลาหมึกเบนโต๊ะ ( 65 บาท )
มื้อเย็น : ข้าว 1 จาน + ต้มมะระกระดูกหมู + น้ำพริกกะปิ + ชะอมไข่ + ขนมขาไก่


การพักผ่อนวันนี้ : ดูซีรีย์ Arrow . หนัง Iron Man 1

Thursday, May 19, 2016

0455 : Diary 19 พ.ค. 2559


วันหยุดยาวมาถึงแล้ว สัปดาห์นี้มีไปทำบุญแล้วก็พาภรรยาไปหาหมอนิดหน่อย เกี่ยวกับเรื่องหน้าผากปูดๆนิดๆ อยากให้หมอลองตรวจดู ไม่รู้ว่าเป็นเหมือน พีค ภัทรศยา ไหม

การงานวันนี้เคลียร์งานไปได้อีก 1 แต่ยังมีข้อสงสัยติดใจอยู่ 1 ประเด็น ไว้วันจันทร์ค่อยหาคำตอบ หอบงานมาทำต่อที่บ้านหน่อยนึง จริงๆไม่ควรหรอกนะ แต่ที่ต้องทำเพราะอยากจะให้ชีวิตกลับเข้าสู่โหมดปกติไวๆ ตอนนี้มันค่อนข้างโหลดไปหน่อย ก็เลยต้องสู้กันนิดนึง


หุ้นไทยวันนี้ CF ค่อนข้างดีเลยแหละ บวกกะมีปันผลเข้าพอร์ตด้วย ชื่นใจๆ ต้องดูว่าปีนี้จะทำ CF + Dividend Growth เท่าไหร่ ส่วนการเทรดวันนี้ก็แทบไม่ได้ยิง Follow Buy เลย แค่ซื้อขายตามโซนเหมือนทุกวัน ฮ่า ชีวิตการเทรดเราแม่งช่างน่าเบื่อจุง แต่ผลตอบแทนก็อยู่ที่เรารับได้นะ คือ CF + Dividend รวม 12% ต่อปีขึ้นไป แต่ที่ตั้งเป้าไว้ต้นปีคือเฉลี่ย 3% ต่อเดือน อันนี้ยังคงต้องค่อยๆปรับระบบต่อไป แต่เท่าที่มอง มันน่าจะเกิดจากการดึงค่าเฉลี่ยขึ้น หากตลาด Crash มากกว่า ซึ่งมันจะทำให้ Zone Alpha ที่เราไปขายหุ้นไว้ที่สูงๆ กลับมารับคืนได้ที่ต่ำๆ ซึ่ง CF ตรงนี้จะเยอะมาก มันก็จะช่วยดึงค่าเฉลี่ยของ CF ต่อเดือนขึ้นไป

การที่เทรดไปเทรดมา ทิ้งโซนไว้เยอะๆ มันเหมือนการเพาะปลูกแบบหนึ่งล่ะมั๊ง ยิ่งที่ฐานข้อมูลมากเท่าไหร่ ในอนาคตก็มีโอกาสเก็บเกี่ยว CF ได้มากขึ้น


Forex วันนี้ ผิดทาง EU เมื่อวาน ตัดสินใจ cut loss ออกไป 2 ไม้ ทำให้กำไรที่สร้างมาหมดตูดเบย ไม่เป้นไร หาใหม่ แต่ก็ได้คำแนะนำจากพี่ลิงมาให้ได้คิดตาม ทั้งเรื่องของการ Focus แค่ทีละตัว ทีละฝั่งพอ เอาให้ถูก Trend  กับการวางแผนจัดการเรื่อง Loss จริงๆอาจจะไม่ต้อง Cut Loss ก็ได้นะ เลือกเปลี่ยนฝั่งเล่นแทน แต่เราก็เลือกหยุด ulver prime กับ EU ไว้ก่อนอ่ะนะ เมาหมัด 555


อาหารการกินวันนี้
มื้อเช้า : ข้าวราดปลาโอผัดพริกแกง + ผัดยอดฟักแม้ว + ไข่ต้ม + ยาคูลท์ = 47 บาท
มื้อกลางวัน : ข้าวเหนียว + ส้มตำ + ไก่หมุน = 0 บาท (มีคนเลี้ยง)
มื้อเย็น : ข้าว 1 จาน + ยำไข่ต้มกุ้งแห้ง + ต้มยำปลาทับทิมน้ำใส  = 0 บาท


การพักผ่อน : ดูซีรีย์ Agents of S.H.I.E.L.D. 3 EP. 22 ตอนจบ

Wednesday, May 18, 2016

0454 : Diary 18 พ.ค. 2559


วันนี้หุ้นไทยจับคู่ Uncorrelated กันพอดี 1 ตัว นั่นก็คือ BWG และ TMB ตัวนึง +4% อีกตัวนึง +3% ฮ่าๆ ถือว่า ok เลยสำหรับการหา Beta ส่วนตัวอื่นก็ซื้อขายตามปกติของมันไปนั่นแหละ


พอร์ต Forex ที่ run ea Ulver Prime ก็ติด EU ไป 3 นัด ดูกราฟ Day แม่มกำลังจะทะลุลงมาเบย ยอมมอบตัวปิด EA ที่รันคู่ EU ชั่วคราว ขอนั่งดูอีกสักพัก ค่อยกลับไปเลือกทางเปิดใหม่ ส่วน UC ก็ Long Only ต่อไป






คิดอะไรบางอย่างตอนที่ไปออกกำลังกาย ...
คนเรานี่เวลาเจ๊งในตลาด มักจะเจ๊งเพราะอยากรวยเร็วเกินไป
เข้าใจว่าเข้าตลาดมาก็เพราะอยากรวย แต่... มันก็ต้องใช้เวลากันบ้าง
บางทีเราไปเซียนเค้าพูด มันเหมือนเป็นความสำเร็จแค่ข้ามคืน
แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ เซียนเค้าก็มีวิธีพูดของเค้า
ประเภทว่า Bet หนักๆ All-in มั่นใจมาก แล้วกำไรหลายร้อยล้าน
อันนั้นมันเป็น step ของกำไรต่อกำไร
ต้องดูให้ลึกๆลงไปหน่อย


งานประจำ ... วันนี้ต้องออกไปทำงานกับคนที่เหยิมพอดู เออ ก็เข้าใจเค้าอยู่ คนเรา productivity ไม่เท่ากันอ่ะนะ คราวหลังก็ต้องเรียนรู้ที่จะ control เค้าให้อยู่ในแนวทางเราขึ้นอีกนิด ปรับหากันที่ตรงกลางละกัน เค้าเร็วขึ้นหน่อย เรารอเค้าหน่อย เพราะต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานอยู่

เมื่อคืนอ่าน The 4 Hour Workweek เริ่มเอามาปรับใช้ คือ Focus ในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดทอนสิ่งรบกวน กับเลิกงานให้ตรงเวลา ... แต่วันนี้ก็ออกจาก office 6 โมงนะ ก็เพราะออกฟิลด์กับคนเหยิมเนี่ยแหละ เหอๆ


อาหารการกิน
มื้อเช้า : ข้าว 1 จาน + ยำไข่ต้ม + เกาเหลาเลือดหมู + ยาคูลท์
มื้อกลางวัน : ข้าวหมึกผัดไข่เค็ม + ไข่ดาว
มื้อเย็น : ข้าวผัดกุนเชียงพิเศษ + โรตีธรรมดา 2 แผ่น
... มาตายมื้อเย็นเนี่ยแหละ ที่วิ่งมาหายหมด ถถถ


การออกกำลังกาย : วิ่ง 5 km กว่าๆ


การพักผ่อน : ดู The Flash EP. 22 ระหว่างที่กินข้าวเย็น

Tuesday, May 17, 2016

0453 : Diary 17 พ.ค. 2559


เทรดเดอร์ทุกคนต้องดูตัวเองว่าจะทำ DD ได้ต่ำขนาดไหน... ไม่ใช่กำไรสูงขนาดไหน เพราะตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินคือ ระยะทางเฉลี่ย แล้วก็อัตรากำไรต่อ DD

กำไร 100% , DD 50% = คุณได้แค่ 2
กำไร 19% , DD 1% นี่สิน่าสน


วันนี้คุยกับพี่ลิง เรื่อง EA Ulver prime ซึ่งวันนี้กำไร ok เลยแหละ ฮ่าๆ เกือบๆ 1% ละ ไม่มีไม้ดอยค้างในพอร์ต เราก็เลยบอกว่า เราตั้งเป้ากำไรค่อนข้างต่ำนะ แต่พี่เค้าบอกว่า พี่ไม่ได้มองเรื่องกำไรเลย พี่มองเรื่อง DD แล้วก็ให้มุมมองแบบที่จั่วหัวไว้นั่นแหละ


วันนี้ EA มันยิง UC , EU ซึ่งเราเลือกฝั่ง Long Only ไว้ จังหวะที่ EU กระชากขึ้นไป เราก็เลยปิดออก 1 นัด เหลือไว้ 2 พอมันร่วงลงมาก็เลย Trailing stop ออก เก็บกำไรยึดครองพื้นที่


ไอ่การใช้ EA ช่วยยิงนี้มันดีนะ ลดงานของเราลงได้เยอะเลย จากเดิมแม่งกว่าจะได้ยิง ต้องเฝ้าแล้วเฝ้าอีก พอเผลอ จังหวะมันก็ผ่านไปแล้ว เคยส่งการบ้านให้อดีต mentor ตรวจ แม่มก็ด่าตรูอีก ฮ่าๆ ก็จังหวะนั้นตรูไม่ว่าง นี่หว่า ก็เลยเข้าแพงไปหน่อย 555 ... เออ แต่นี่มี Robot เฝ้าให้ก็ดีนะ เราแค่ Focus ตอนปิดอย่างเดียว จะปิดขาดทุน(ยอมมอบตัว) จะปิดกำไร ก็อยู่ที่แผนเรา


หุ้นไทยวันนี้ ASIMAR ร่วงลงมาให้เก็บที่ sap เข้าพอร์ต แต่ ANAN วิ่งขึ้น เออ ขอบคุณ ถ้าหุ้นในพอร์ตวิ่งสลับกันแบบนี้บ่อยๆก็ดีเนอะ 555



การทำงานวันนี้เช้าเคลียร์เอกสาร บ่ายประชุม ฟีลลิ่ง เริ่มมีความกดดันเข้ามาบ้าง แต่ก็ยังดีที่รวมทีมงานใหม่มาละ อะไรๆน่าจะดีขึ้น


ธุรกิจ ยึดครอง Productivity ที่อเมกา Funding ไปให้พี่สหายแล้ว เพื่อใช้เป็นค่าธรรมเนียมจดทะเบียนเปิดบริษัทแรกของเรา สู้ต่อไป


อาหารการกินวันนี้
มื้อเช้า   ข้าวราดแกง , ยาคูลท์
มื้อกลางวัน   ผัดซีอิ้ว , บะหมี่ต้มยำ
ของว่างช่วงบ่าย   น้ำขิง , ขนมเบรก
มื้อเย็น   ข้าว 1 จาน , ผัดผักบุ้ง , เกาเหลาเลือดหมู


Plank : 1 นาที 20 วิฯ

Monday, May 16, 2016

0452 : Diary 16 พ.ค. 2559


ฟีลลิ่งวันนี้ รู้สึกท้าทาย จะว่ามีความกลัวก็มีบ้าง แต่ไม่ถึงกับกลัวจนอยากจะหนี ความอยากเอาชนะมีมากกว่า เรื่องงานประจำนั่นแหละ จริงๆ ตื่นแต่เช้าไม่ค่อยอยากลุกไปทำงานเท่าไหร่ ฮ่าๆ เพราะรู้สึกว่างานมันทำให้สมองเราต้องคิดตลอดเวลา ไม่มีเวลาว่างเป็นของตัวเองเท่าไหร่เลย ... จำได้ว่าเมื่อก่อนมันไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า แต่ก็นั่นแหละ มันอยู่ที่เราวางแผนมากกว่า ถือว่าเป็นการฝึกเพิ่ม Productivity ของเราก็แล้วกัน อย่างเมื่อคืนเราก็วางแผนทำงานของวันนี้ ... คืนนี้เราก็จะวางแผนล่วงหน้า ทำ To do list ไว้ ... ช่วงนี้เราก็เลยหยิบหนังสือ The 4-Hour Workweek ของ Tim Ferriss ติดมาอ่านอีกรอบ เค้าแนะนำวิธีเพิ่มเวลาไว้ ok อยู่นะ แม้บางข้ออาจจะทำไม่ได้ในงานของเราก็ตาม เช่น งดรับโทรศัพท์บางช่วงเวลา อะไรงี้ (บางทีทำงานเคลียร์เอกสารอยู่ ถ้าสายเข้ามือถือก็รับแล้วบอกเด๋วโทรกลับแทน พอทำงานเสร็จก็ค่อยโทรกลับ ไม่งั้นโดนดึงออกจาก Focus บ่อยๆ ก็ทำงานไม่ไปถึงไหนสักที)


การเทรดตลาดไทยวันนี้แทบไม่ได้เข้าดูเลยจ้า มีเข้าไปเติม order ช่วงบ่าย เห็นข่าวเค้าทุบ SOLAR ซะฟลอร์กัน แต่เราไม่มีส่วนกับเขาเลยไม่อะไร ปล่อยผ่าน อิอิ


ส่วน Port Forex วันนี้ server ที่ใช้ Run EA Re-start ตั้ง 2 รอบ ฮ่าๆ แต่ก็ปิด order ได้ CF มาจึ๋งนึงอ่ะ เรายังตั้งตัวไม่ถูกเท่าไหร่ว่าจะออกจุดไหนดี บางทีก็รีบปิดเกินไป (ติดมาจากการเทรด grid นั่นแหละ) ลองดูว่าเดือนนึงจะได้กี่ % ตอนนี้ได้มา 0.1% หล่ะ ถถถ


การพักผ่อนวันนี้ : ดูซีรีย์ Legend of Tomorrow ตอนล่าสุด จากนั้นก็อ่านหนังสือ
Plank : 1 นาที 15 วิฯ

Sunday, May 15, 2016

0451 : Homework For Develop Trading Skill


อันนี้ Copy มาจาก Note ใน Facebook ของน้องBANK CHUTIDECH BOONPAPHAWIT เขียนไว้เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2015 เราเซพไว้ใน word นานแล้วแหละ วันนี้มาเคลียร์ Desktop ก็เลยเอามาไว้ใน blog ดีกว่า ซึ่งน่าจะมาจากการแนะนำของพี่สหายเรานี่เอง เพราะเนื้อหาคล้ายมาก เลยขอก็อบมาแปะเลย สะดวกดี แหะๆ


การรับรู้เป็นฐานของการคิด และพฤติกรรม  ถ้าการรับรู้ถูกปิด ข้อมูลที่จะได้รับก็จะไม่สมบูรณ์  เมื่อข้อมูลไม่สมบูรณ์  กระบวนการคิดของเราก็จะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ทำให้เราตัดสินใจคลาดเคลื่อนกับความต้องการได้

ทักษะสำคัญในการพัฒนาความคิดแบ่งได้เป็น 3  อย่าง

1 ทักษะในการจดจำความผันผวน  (ใจเราต้องรู้ว่า มันมีความผันผวนไม่ใช่ไปคาดเดาความผันผวนนั้นขึ้นมาเอง )

2 การรู้จักความสามารถของตัวเอง  ว่าเราทำงานได้ดีแบบไหน สภาวะไหน  และแบบไหนเราทำได้ไม่ดี  ต้องจำแนกออกมาให้ละเอียดชัดเจน เพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่าเราเข้าใจตัวเราเองแล้วจริงๆ

3 สภาวะตลาด  เมื่อเราเทรดไปนานๆ แล้วจะรู้ว่า  ตลาดมันเล่นยังไง และสภาวะตลาดแบบไหนที่   เมื่อเราเจอเเล้ว มันจะเสร็จเรา ถึงแม้ว่าปกติเราจะเสร็จมันก็ตาม

เมื่อเราแบ่งทักษะออกมาได้แล้ว จากนั้นใช้ทักษะของ  จิตวิทยาคลินิคมาวิเคราะห์  แล้วใช้จิตวิทยาการเรียนรู้เข้าไปเสริม
 

สิ่งที่ต้องทำ    ความรู้สึก  ความคิด    พฤติกรรม

1 บันทึกการเทรดของเราทุกออเดอร์แบบ Real Time   แบ่งออกเป็น
- เทรดดี
- เทรดกลางๆ
- เทรดแย่
 เรารู้สึกอะไร เราคิดยังไง ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบไหน

2 หาข้อเสียของตัวเองออกมา

3 บันทึกความสุข

4 ฝังความรู้ลงไปในสัญชาตญาณให้ได้


Saturday, May 14, 2016

0450 : Diary 15 พ.ค. 2559


สัปดาห์นี้เป็นอะไรที่ไม่ค่อย ok เลย รู้สึกว่าไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเท่าไหร่ งานแม่มเยอะมาก ไม่ได้ออกไปวิ่งสักวัน กลับมาห้องก็ทานข้าว + ดูซีรีย์ เพื่อเป็นการผ่อนคลายจิตใจ หลักๆก็ดู The Flash , Arrow , Agents of S.H.I.E.L.D ดูหนังไป 2 เรื่อง คือ The Big Short , Cap 3 : Civil War (แบบ HD มาไวชิบเป๋ง ดีเลย ได้มาเก็บรายละเอียดอีกรอบ) พอถึงวันเสาร์-อาทิตย์ จิตใจมันก็คลายความเครียดลงไป อาจจะเพราะว่าได้บ่น ได้ระบายให้ภรรยาฟังด้วยแหละมั๊ง มันเป็นการปรับ mental ที่ดีแบบหนึ่งของเราเลยแหละ ถ้าคิดอยู่ในหัวอย่างเดียวแม่มโคตรเครียดเลย

จากการกรำงานหนัก ก็เริ่มมีอาการปวดหลังขึ้นมานิดหน่อยละ ร่างกายเตือนแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มกลับมา Plank , Sit-up อีกครั้ง ตั้งใจว่าจะจัดเวลาสำหรับ Yoga ด้วย ... รักตัวเองให้มากๆ อิอิ


การเทรดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ก็ไม่มีอะไรมากเลย Key Order ก่อนไปทำงาน พักเที่ยงก็แว๊บเข้ามาดูว่ามัน match ไหม ถ้า match ก็ Key เพิ่มแค่นั้น คือ แม่มปล่อย grid ทำงานไปแค่นั้น ไม่ได้มี Bet จากมุมมองอะไรเลย เน้นปั่น CF ล้วนๆ

แต่มี Alert ตัวนึงคือ S ที่ลงมาแถว 5 บาทเราก็เก็บของที่ SAP ไว้เข้าพอร์ตจนครบ จากนั้นมันก็วิ่งเลยไป 5.5 - 5.6 เราก็ทยอยปล่อยออก เพื่อ mark zone ไว้ เออ ดีเว้ยเห้ย ต้นทุนเราก็เริ่มลดลงแระ สู้กับเค้าสบาย ถ้าเอาลงเราก็ลดทุนได้อีกรอบ ถ้าเอาขึ้น ก็เป็น Lock in profit ล้วนๆ หุหุ แต่จ้าวนี้เค้าดูแลราคาดีนะ เห็นกรอบชัดเจน แต่ก็ยื้อจนทนแทบไม่ไหวเหมือนกัน เอาจนเม่าถอดใจอ่ะ


การเรียนรู้สัปดาห์นี้ค่อนข้างน้อย มีแค่โหลด Principle แปลไทย มาอ่าน อ่านไปได้ครึ่งเล่มละ ... แต่ สัปดาห์นี้เราเริ่มหัดใช้ EA ครั้งแรกนะ เนื่องจากที่สั่งซื้อหนังสือ ฤดูหนาวของหมาป่า จากเพจ เรื่องสั้น ซึ่่งก็ทำให้ผมได้รับ Lifetime License ของ EA ที่พี่เค้าทำขึ้น ชื่อ Ulver Prime มันคล้ายๆเป็นระบบขับกันดั้ม เพราะแม้จะเป็น EA แต่ก็ยังต้องพึ่งพา skill ของคนขับร่วมด้วย หลักๆก็คือการวิเคราะห์ Trend หรือ Scenario ของตลาด รวมถึงการ Exit Positions เช่น ปิดกำไรตรงไหน หรือมอบตัว cut loss ตรงไหน ก็อยู่ที่มุมมองของ Pilot ... สัปดาห์นี้ก็ทำการเช่า server เรียบร้อยสัปดาห์หน้าคงได้ลุยกันเต็มๆล่ะครับ อิอิ


ด้านธุรกิจ Project การยึดครอง Productive ที่อเมกาของพวกเรา สัปดาห์หน้าต้อง Funding เงินก้อนแรกละ หน้าที่เราตอนนี้คือหาความรู้เรื่องทำบัญชี กับ อัพ skill เรื่องของ leadership


จบ.

Monday, May 2, 2016

0449 : Note การดู Mudley Channel ตอน Mudley Live พี่ KFC_M


Note การดู Mudley Channel ตอน Mudley Live พี่ KFC_M

Link Youtube : https://youtu.be/Kf9Q8VorZyQ


ตอนนี้มีแขกรับเชิญคือ P' KFC_M หรือ พี่อ้วน ผู้ที่ทดลองทำ KZM คนแรกๆ แล้วก็ Post บอกเล่าเรื่องราวในกระทู้ pantip ให้แมงเม่ารุ่นใหม่ๆอย่างผมได้ศึกษาครับ ผมก็เลยต้องติดตาม อิอิ

Link กระทู้ในตำนาน (ยังเข้าได้อยู่นะ) : MudleyGroup Model Real Lab Version


เริ่มต้น Live มาก็จะเป็นการพูดคุย โดย P' KFC_M เริ่มเทรดตอนปี 2551 ตอนแรกจะเทรดทองแท่ง เพราะคิดว่าทองปลอดภัยสุด แล้วก็ปรึกษาพี่ต้าน กลับได้รับคำตอบว่า มีสิ่งที่ปลอดภัยกว่าทอง ซึ่งก็คือหุ้น แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าหุ้นมันเสี่ยง เป็นการพนัน

พี่ต้านก็อธิบายเรื่องการแบ่งเงินเป็นส่วนย่อยให้ฟัง คือ ถ้าเทรดทอง เงิน 70,000-80,000 คงซื้อได้ไม้เดียว ซื้อแล้วหมด แต่ถ้าเป็นหุ้นก็สามารถแบ่งซื้อ-ขายทีละน้อยๆ หลักร้อยหุ้นได้ แล้วก็ได้เข้าไปอ่านกระทู้แนวคิดแรกๆใน pantip (พี่ต้านไม่ได้สอนหรอก ให้ไปอ่านเอง)

ตอนเรียนเคยเห็นพี่ต้าน ขายแล้วหุ้นลง ซื้อแล้วหุ้นขึ้น แต่ก็งงๆไม่รู้ว่าทำยังไง

จากนั้นพี่ต้านให้พี่อ้วนไปเปิดพอร์ต กับโบรคที่ไม่มีขั้นต่ำ เปิดพอร์ตด้วยเงิน 5,000 บาท แล้วก็วางแผน ทำ mm ตามเงินที่มี ช่วงนั้นก็มีข้อสงสัยเยอะมาก แต่พี่ต้านก็ช่วยตอบข้อสงสัยด้วยเหตุผลได้หมด

-> แรกๆมีความกลัวอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มากเพราะเริ่มด้วยเงินจำนวนไม่เยอะ
-> ผลตอบแทนต่อไม้ 3-5 บาท คนทั่วไปจะถามว่าทำไปทำไม เสียเวลาหรือเปล่า ?
-> แต่สิ่งที่คิดก็คือ แล้วเราจะเทรดด้วยเงิน 5,000 ไปตลอดชีวิตไหม ?
-> เงิน 5,000 ได้กำไร 5 บาท
-> เงิน 50,000 ได้กำไร 50 บาท
-> เงิน 500,000 ได้กำไร 500 บาท
-> แต่สิ่งที่ได้จากเงิน 5,000 นั้นจริงๆแล้วมันคือ ความเข้าใจ ... ทุกอย่างมันเริ่มมาจาากตรงนั้น
-> ในระหว่างทางที่ทำ หุ้นมันก็ลงๆๆ ก็มีความสงสัย ความระแวง แต่พอหุ้นมันฟื้นก็คลายข้อสงสัยออกไป
-> KZM เวลามันลงมา หรือ มันลงตลอดไป ไม่กลัวเจ๊งเหรอ ... ก็ทำตามระบบ แล้วก็ดีที่ประหยัดทุนในการวางโซน


เด็กรุ่นใหม่ เอา KZM ไปใช้กับหุ้นเลย คิดยังไง ?
-> เริ่มแรกต้องทำบน product ที่ไม่เป็น 0
-> เล่นกับหุ้นได้ แต่... ต้องดูพื้นฐานหุ้นด้วย (เลือกหุ้นให้ดีๆ)
-> สำหรับพี่อ้วน จะดู P/BV ต่ำๆ (ต่ำกว่า 1 ด้วยยิ่งดี) , มีกำไร , มีโอกาสเป็น 0 น้อยกว่าตัวอื่น
-> เล่นกับหุ้นปั่น ไม่ควร เพราะดอยแล้วจะดอยนานน


ตอนที่เริ่มทำ เจอ Sub-prime พอดี (เริ่มก่อน Sub-prime) แรกๆทำทั้งกอง A,B,C,D แต่หลังๆก็ลดลงเหลือกอง A คือ เล่นตามโซนอย่างเดียว เพราะรู้สึกว่า ok สุด
-> แค่รู้ว่าต้องขายแพงกว่าซื้อ ถ้ามันจะขึ้นต่อก็มี Zone ต่อไปให้เล่น
-> ตลาดมันมักจะไม่เป็นไปตามที่เราคิด หากเราคิดว่า เรายังไม่อยากซื้อคุมโซน หวังว่ามันจะลงแล้วเราจะได้ต้นทุนที่ถูกกว่า ตลาดก็มักจะวิ่งขึ้นไปจนทำให้เราได้ต้นทุนที่แพงกว่าเดิมเสมอ ... เจอมาบ่อย จนหลังๆ ก็ทำตามแผนไปนั่นแหละ ... พอคิดว่ามันจะขึ้น มันดันลง ... คิดว่ามันจะลง มันดันขึ้น
-> ความเสียหาย จะเป็นแค่การเสียโอกาส แต่พอร์ตไม่เสียหาย
-> คนที่ทำ kzm ควรจะเป็นคนที่ ไม่รู้อะไรมาก่อนเลย


ตอนที่หุ้นหมดมือ หลุดโซนบน ก็แอบไปเล่นหุ้นแบบอื่นมาเหมือนกัน เอา kzm ไปทำในหุ้นปั่น (เพราะได้ข่าววงในมา) พอมาย้อนดู ... ไม่รู้ว่าตอนนั้นซื้อเข้าไปได้ยังไง (เพื่อนเชียร์ล้วนๆ) ... แล้วการเทรดตอนนั้นก็ไม่ได้วางแผนไว้ ไม่ได้วางโซนไว้ว่ามันจะลงไปได้ถึงตรงไหน อาศัยความอึดอย่างเดียว ... การออกนอกระบบครั้งนั้น ผลก็คือโดนทำโทษทันที แต่ก็ได้บทเรียนกลับมา ... สุดท้ายหุ้นมันก็กลับมา แต่จิตใจพังหมดแล้ว ใจเสียทุกอย่างก็พังตามไปด้วย


สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเลือก Product ให้ถูก


ปัญหาความคิดที่ว่า... ทำแล้วได้น้อย ?
-> จริงๆแล้วมอง kzm เป็นรายได้เสริม ไม่ได้จะต่อยอดไประดับอาชีพ
-> kzm เป็นเกราะป้องกันทุนของเรา จะเล่นแบบอื่นก็ได้ เช่น ใช้เทคนนิคคอล แต่เอา kzm มาช่วยในการ mm


ถ้าไม่ได้เริ่ม kzm ตอนวิกฤติ จะทำยังไง ?
-> พี่อ้วนก็ไม่ได้เริ่มตอนวิกฤติ แต่เริ่มตอนก่อนวิกฤติ
-> หากเริ่มตอนที่หุ้นดี ปัญหาคือ เวลาเห็นเพื่อนได้กำไรเยอะๆ เราจะทนได้ไหม ?
-> หากไม่ได้เริ่มตอนวิกฤติ ก็ต้องคำนวนเงินจนถึงวิกฤติให้ได้ และหากวิกฤติมาเราทนได้ไหม ?
-> ตอนวิกฤติจะใช้เงินน้อยกว่า
-> ตอนที่ทุกอย่างมันดูดี ใช้อะไรมันก็ได้ดี ตอนนั้นเราจะมานึกถึง kzm ไหม ?
-> ทุกระบบ ต้องดูให้ครบ cycle


ทำไมหลายคนทำ kzm ไม่ได้ ?
-> เริ่มจากเงินน้อยๆ เพื่อหาความรู้
-> บางคนอยากได้ทางลัด จ่ายค่าคอร์สเป็นแสน ก็จะมีความคาดหวังที่จะอยากได้เงินแสน (หรือมากกว่า) คืน
-> mindset ของพี่อ้วนคือ ลงทุนให้ได้มากกว่าฝาก bank ก็ happy เน้นปลอดภัยสุดๆก่อน
-> การลงทุนด้วยเงินก้อนเดียว (ไม้เดียว) มันยากมาก พอยิงไปแล้วก็ใจเสีย เพระจะ action ไม่ได้แล้ว
-> kzm ถึงจะได้น้อย แต่ก็ได้มากกว่าฝาก bank
-> คนส่วนใหญ่ ลงทุน 5,000 ก็อยากได้คืน 5,000 ... การหวังเท่าตัว มันก็เสี่ยงเท่าตัวเหมือนกัน
-> ตอนที่เริ่มทำ kzm แรกๆ ก็เฝ้าตลาด แต่ปัจจุบัน ดูแค่ครั้งเดียว ขอแค่มีเวลา key order เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า เราจะซื้อหรือขายอะไรที่เท่าไหร่ แล้วก็ดูว่ามี match บ้างไหม ... ถ้า match ก็ key เพิ่มไป ... จากนั้นก็ทำบัญชี ก็จบ
-> ถ้าดูตลาดก็อาจจะมีโอกาสทำรอบได้ แต่ถ้าไม่ดูเราก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกมาก kzm เป็นเพียงตัวเสริมให้เรา
-> kzm พัฒนาต่อยอดได้หลายแบบ เช่น ใช้กราฟ , ใช้ future
-> kzm ระดับพื้นฐานก็ ok ในแง่ของรายได้เสริม ที่เหลือก็อยู่ที่ทุนของเรา เทรดอย่างเดียวก็อยู่ได้ แบบไม่ฟุ่มเฟือย
-> เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญ เก็บทุนไว้ให้ได้ ที่เหลือก็มีแต่ดอกผลให้เรา


KZM ควรไปฝึกทำในหุ้นก่อนไหม ? (ทำในทองคำ , Forex ได้ไหม ?)
-> ก็อยู่ที่เราเลือก...
-> เลือกตัวที่พื้นฐานดีๆ , ไม่เป็น 0
-> ในหุ้นมันต้องใช้ความอดทนสูง (ใช้เวลานาน) , ต้องใช้เงินเยอะ
-> แนะนำให้ทำ kzm ให้ครบ cycle ของตลาด


-> คำถามต่างๆจากการทำ kzm จะถูกตอบโดย action ของตลาด
-> อยู่ในโซน ก็มี cash flow ได้ตลอด
-> หลุดโซน = ไม่มีรายได้
-> kzm ชอบหุ้นลง หรือ โดดลง เพราะได้ของถูก ประหยัดตังค์ในการซื้อหุ้น
-> การทำบัญชีสำคัญมากกกกก เพราะเราเล่นโซนตามราคา ไม่สนตัวเขียวๆแดงๆใน streaming
-> บัญชี ต้องคิดเอง ออกแบบเอง เราจะรู้ว่าทำแบบไหน เราเข้าใจ
-> คนที่อยากทำ kzm มีเยอะ คนที่ทำจริงมีน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะใช้เวลาทำนาน
-> kzm = สิ่งง่ายๆ แต่ทำยาก คนส่วนใหญ่จะหวังผลเลยว่าทำแล้วต้องได้มากๆ
-> kzm = close system หลักการเดียวกัน ต่างกันแค่ชื่อ
-> เจอ DD = เก็บหุ้นได้ที่ต้นทุนต่ำ
-> kzm แรกเริ่มควรทำ 4 กอง จะได้รู้ว่ากองไหนเหมาะกันตัวเรามากกว่า
-> การเทรด bridge บน Future ต้องมีพื้นฐาน kzm เพราะ bridge มันไม่ได้บอกว่าจะขึ้นหรือลง แต่ถ้าเรามี zone kzm ณ ราคาที่เกิด bridge เราจะรู้ว่า zone นี้เราต้องซื้อหรือขาย


การ key ผิด สำคัญมาก เพราะมันทำให้เราใช้เงินเกินงบ มันเป็นเรื่องของ สติ
เมื่อเรา key ผิด ต้องย้อนกลับมามองว่า ทำไมเราถึง key ผิด ... เราขาดอะไรไปบ้าง ? ... ดู , ทวน หลายๆรอบ ไม่รู้ว่าเราจะรีบไปไหน ?


เงินของเรา ต้องมีที่อยู่
-> อยู่ในหุ้น
-> ฝากธนาคาร
ก็ปรับไปตามตลาด หุ้นลงก็ปรับมาซื้อหุ้น หุ้นขึ้นก็ขายหุ้นมาถือเงิน


Port Margin
-> มี port margin แต่ไม่ได้ใช้
-> การทำ kzm บนพอร์ต margin ก็คือ ไม่ได้ใช้เงินเต็มจำนวนตลอด แต่มีเงินสำรองเต็มจำนวนอยู่
-> Margin ช่วยให้เราวางโซนได้กว้างขึ้น

Step
-> วางเต็มจำนวน
-> ใช้ margin ขยายโซนให้กว้างขึ้น
-> ใช้ Future คือ เล่น future ให้เหมือนหุ้น ( 1 สัญญา = 1,000 หุ้น ) ... วางเงิน kzm เหมือนเดิม แต่เงินไม่จำเป็นต้องอยู่ในพอร์ต 100% ที่เหลือคือเอาไปฝากแบงค์กินดอกได้อีกต่อ

KZM Future
-> kzm future หมดอายุ ก็ roll over ไปซีรีย์ถัดไป ใช้การจดบัญชีในการคุมต้นทุน
-> หากมีค่าธรรมเนียม หรือ ส่วนต่างในการ roll over ก็ใช้วิธีบวกเพิ่มกำไรในโซนไปอีกหน่อย
-> เล่น future ซีรีย์ไกลไว้ก่อน
-> ที่เล่น Future เพราะกราฟมันวิ่งไว
-> อาจจะแบ่งเป็นหุ้นกอง A แต่ Future เป็นกอง C,D
-> อาจจะเก็บโซนบนด้วยหุ้น แต่โซนล่างที่ Active เทรดด้วย Future


-> การที่หุ้นมีสภาพคล่อง มันให้กำไรที่สม่ำเสมอกว่า (ออกของง่ายกว่า)
-> หากหลุดโซนล่าง = หยุดดู
-> หากหลุดโซนบน = น่ากลัว เพราะไม่มีอะไรทำ ไม่มีรายได้ แต่จะไม่ follow ไปหาตัวใหม่ดีกว่า
-> หุ้นขึ้นๆลงๆ ก็ทำตามระบบ


-> คนเราชอบอะไรที่มันง่าย และเห็นผลไวไว
-> ปัญหาของเด็กไทยคือ การรีบขึ้นไปเล่นในเลเวลถัดไป โดยที่ยังไม่มีความเข้าใจ

จบ.



อ่านตอนก่อนหน้าตรงนี้นะครับ
Note Mudley Channel ตอน การพัฒนาตัวเองกับปลาหมึก
Note Mudley Channel ตอน เทรดเดอร์ยุคใหม่และโอกาส
Note Mudley Channel ตอน Principle ของเทรดเดอร์
Note Mudley Channel ตอน How to observe market from micro account
Note Mudley Channel ตอน เฉลยข้อสอบกลางภาค 2016


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

Sunday, May 1, 2016

0448 : Note การดู Mudley Channel ตอน เฉลยข้อสอบกลางภาค 2016


Note การดู Mudley Channel ตอน เฉลยข้อสอบกลางภาค 2016

Link Youtube : https://youtu.be/uZd54MTxX1o
Link Youtube : https://youtu.be/NlhQRixf2qk


อันนี้ผมดูค้างไว้นานมา ตั้งแต่ช่วงหยุดสงกรานต์ พอเปิดทำงาน งานเยอะเลยไม่ได้ดูต่อ เพิ่งมาดูจบเมื่อวาน ฮ่าๆ ช่วงต่อจากนี้ก็อาจจะไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ เพราะต้องเรียนบัญชีของรามคำแหง อีก 160 ชั่วโมง (รู้เลยว่าเวลามีค่ามาก In Time สัสๆ) แต่ก็อาจจะแบ่งๆเวลาเอานั่นแหละครับ

สิ่งที่เราเลือก สิ่งที่เราใช้เวลามันก็มีผลกับเราอ่ะเนอะ


มาเข้าเนื้อหาดีกว่า ในคลิปนี้จะพูดถึงเรื่องการสอบกลางภาค ที่ให้แปล Principle ของ Ray Dalio

การทำ Live ของ Mudley คือ ต้องการสอนคนที่ต้องการเป็น expert

การสอบ = การทดสอบว่าเรามีความพยายามในการเรียนรู้ขนาดไหน

การอ่าน = ความพยายามที่เราไม่ต้องลำบาก ไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ

การอ่านมีหลายแบบ ... แต่คนทั่วไปจะอ่านแบบเดียวคืออ่านให้จบ มีสรุปบ้าง ... ถ้าเราอ่านได้แบบเดียว แสดงว่าการอ่านของเรามีปัญหา อาจจะทำให้ไม่ได้ความรู้มากนัก

หากอ่านแบบทั่วๆไปก็จะได้ความรู้แบบ Average Knowledge จำได้บ้างไม่ได้บ้าง และ มักจะคิดว่าเราเข้าใจ

ยกตัวอย่างการอ่าน ... อ่านหนังสือ 1,000 เล่ม ถ้าเจอหนังสือที่ชอบ 5 เล่ม ก็ต้องไปลงรายละเอียด นี่คือการอ่านที่เหมาะสม อันไหนที่เราชอบ ต้องลงลึก หรือ อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับอาชีพของเรา ความรู้ของเรา ต้องลงในรายละเอียด

บางทีการอ่านแบบสรุปของเรา (อ่านแบบ Scan แล้วสรุป) ทำให้เราทิ้งรายละเอียด อาจจะข้ามเนื้อหาที่เราคิดว่าไม่สำคัญ และตัดมันออกไป ซึ่งจริงๆแล้วมันอาจจะสำคัญก็ได้

การสอบก็เลยให้อ่านสิ่งที่สำคัญ คือ Principle เนื่องจาก อยากให้เจอกำแพงด่านแรก เช่น ไม่ชอบอ่านหนังสือ , เกลียดภาษาอังกฤษ , ความขี้เกียจ ซึ่งเราก็จะได้รู้ว่าตัวเรามีกำแพงอะไรขวางอยู่

... แล้วทำไมต้องอ่าน Principle -> เพราะจะได้เข้าใจแนวคิดจากประสบการณ์ของ Ray Dalio ... และเพื่อไม่ให้เราตัดสินว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ ก็เลยให้แปลทั้งหมดเล่มก่อน ซึ่งมันจะเป็นการอ่านแบบละเอียด

ส่วนใหญ่คนเรามักจะพลาดโอกาสในชีวิต เพราะการด่วนตัดสินใจ ว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ (ซึ่งจริงๆแล้วมันอาจจะสำคัญก็ได้)

ทุกอย่างที่เราด่วนตัดสินใจไปก่อน มันอาจจะทำให้เราพลาดเนื้อหาสำคัญไปก็ได้


การสอบกลางภาค จะวัดว่า แต่ละคนมีความพยายามอยู่ในระดับไหน ?
Slow life , เป็ด , expert , มีความพยายามสูง ... ทุกคนจะรู้ตัวเอง

หากความพยายามน้อย ... การเทรนเป็นมืออาชีพจะยาก !


การอ่านแบบ Speed Reading คืออะไร ?
มันคือการ scan ว่าเราชอบหนังสือเล่มนี้ไหม ควรจะลงลึกไหม เพราะสิ่งสำคัญในการ learning something คือ เมื่อเรารู้ว่าเราชอบอะไร ก็ต้องลงลึกกับมัน
 

ยิ่งเข้าใจธรรมชาติ ยิ่งเทรดได้ดี
เข้าใจหรือไม่ ... วัดจาก equity curve


การสอนของ mudley จะสอนแบบให้สัมผัสกับความเป็นไปของโลกแบบจริงๆจังๆ ... ขณะที่เราไม่พยายาม จะมีคนอีกหลายคนที่เค้าพยายามอยู่ ถ้าเราอยากทำอาชีพนี้ แต่ไม่พยายาม เราจะมีจุดยืนในอาชีพนี้ได้อย่างไร ในขณะที่คนอื่นเขาพยายามมากกว่า ... ต้องมองให้เป็นอาชีพ คนที่พยายามมากกว่าก็จะมีสปอตต์ไลท์ส่องไปที่เค้า


อุปสรรค หรือ กำแพง ที่เราเจอนั้นมันเล็กน้อยมาก เทียบกับเด็กเอธิโอเปีย ยังไม่ได้เลย !


สิ่งสำคัญถ้าเราอยากจะ learning คือ energy
ต้องมีพื้นฐาน energy ที่ดี ... แบตเตอร์รี่มากกว่าคนอื่น

การเพิ่มแบตเตอร์รี่ให้ตัวเอง เราควรจะเพิ่ม Capacity
อย่างแรกคือ รู้ว่า limit ของเราอยู่ตรงไหน เช่น การแปล principle แต่ละคนก็จะมีปฏิกิริยาต่างๆกันไป บางคนมีข้ออ้าง หรือ logic ต่างๆ (ทำไมต้องทำ , ไม่จำเป็นหรอกม๊าง , ไม่มีเวลา ...) นั่นคือ limit ของเรา ... มนุษย์เรา limit แรก ก็คือ ข้ออ้าง ... ข้ออ้าง + logic ที่จะไม่ให้เราเกิน limit

ยกตัวอย่าง ถ้าพี่ต้านเป็น leader ของวงการ ก็จะไม่อยากให้คนอื่นๆ เกิน limit เพราะมันหมายถึงการมีคู่แข่ง จึงอยากจะให้มีคนที่อยู่ในระดับ average เยอะๆ สปอตต์ไลท์จะได้ส่องไปที่พี่ต้าน ให้คนอื่นๆฝึกผิดๆถูกๆ อยู่สบายๆชิลๆ เป็นเหยื่อที่จับกินง่าย เราจะรู้สึกว่าความสบาย ความง่ายมัน makesense

จงคิด วิเคราะห์ ให้ดีๆ ว่าเรา ok ไหม กับสิ่งที่เราจะเป็น ... ถ้าไม่ ok ก็ต้องพยายามก้าวข้าม limit ของเราไปให้ได้ (เลือกแบบไหน ก็ต้องยอมรับผลของความเชื่อเรา)

บางทีต่อให้เรารักสงบ แล้วเราไม่มีทักษะบางอย่าง ก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อได้ วันไหนเราเจอผู้ล่า ก็เป็นเหยื่ออยู่ดี


การเพิ่ม limit เริ่มจาก ร่างกาย ก่อน ซึ่งก็คือการว่ายน้ำ (มีผลการวิจัยว่ามันช่วยได้หลายอย่าง) ในบาง Firm อาจจะให้วิ่ง , ปั่นจักรยาน , ชกมวย ... มันอยู่ที่ mentor ว่าจะ Research ลึกขนาดไหน

ทำไมให้เทรดเดอร์ว่ายน้ำ ? ... เพราะมันจำเป็นในการฝึก และมาจากการ Research ไม่ได้คิดไปเอง และ กีฬาแต่ละแบบไม่เหมือนกัน ให้ outcome ต่างกัน ... กีฬาหลายๆประเภทไม่ได้ช่วยให้เทรดเดรอ์ซ่อมแซมเซลล์สมองได้เท่ากับว่ายน้ำ

เวลาเทรดเก็บ exp หน้าจอ ถ้าไม่ว่ายน้ำ ก็จะเหมือนปลาทอง เรียนไปก็เท่านั้น ... เวลาว่ายน้ำอ็อคซิเจนไปเลี้ยงสมองมากขึ้น จาก Research ก็คือ ขั้นต่ำ 14%

Process ในการเป็น mentor ต้องมีการวิจัยมาก่อน ไม่เอา process มั่วๆมาเทรน ... ไม่เอาเด็กมาเสี่ยงกับความเชื่อส่วนตัว


การสร้าง Energy
-> เริ่มออกกำลังกายในประเภทที่เพิ่มแบตตอร์รี่ (ว่ายน้ำ)
-> ว่ายน้ำแล้วต้องหาเวลา NAP ... แต่ถ้าว่ายแล้วทิ้งไว้นานไม่ได้ NAP มันจะกลายเป็นการฝืน ... ใช้ Energy  แล้วก็ต้อง Refresh กลับมา
-> ฝึก เพื่อเป็นนายของร่างกาย
-> ต้องพร้อมที่จะ NAP ตอนเพลียหรือล้า จะได้ไม่เป็นการ ฝืน
-> ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ไม่ใช่ออกกำลังกายให้หนัก
-> การว่ายน้ำให้คอนโทรลสโตรคให้เหนื่อยพอที่จะ NAP (วันละ 2 รอบ)
-> กิน , ว่าย , พัก , NAP , ใช้ชีวิตปกติ
-> สารกระตุ้น เช่น พวกกาแฟ ในระยะยาวไม่ Work
 
เมื่อ Physical พร้อม Mental ก็จะมา ... Physical เป็นประตูแรกของการเพิ่มแบตเตอร์รี่ ... ต้องเริ่มที่ Physical


ณ ปัจจุบัน เรามีความพยายามแค่ไหน ?


มืออาชีพ
-> พร้อมที่จะแพ้ได้
-> ไม่มีเวลาดราม่า -> เอาเวลาที่มีไปฝึกฝน -> คนอื่นเค้าก็ฝึกฝนตลอดเวลาเหมือนกัน


แนะนำให้อ่านหนังสือ "ฮาวาร์ด มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก สอนวิธีคิด"


คนที่จะเป็น The Best ต้องมี Passions จริงๆ
เป็น Thinker ไม่ใช่ Logic ... คือ รู้จักคิด ประมวลผล ไม่ตัดสินผิดถูก เพราะมันเสีย Energy
เจออะไรที่เหมาะก็นำไปใช้ ไม่เหมาะก็ปล่อยผ่านไป


คนที่ Success จะมีหลักคิดของตนเอง ที่ให้อ่าน Principle ก็เพื่อให้มีหลักคิด


ต้องคิดตั้งแต่เรื่องการเลือกโบรคเกอร์
-> จะเทรด Forex ทำไมไม่เลือกโบรคที่มันมั่นคงตั้งแต่แรก
-> สิ่งสำคัญที่สุดคือ เงินต้องไม่หาย ไม่สูญ ไม่ใช่เหรอ ?
-> แต่เรายังชอบเห็นผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆเฉพาะหน้า เช่น spread ต่ำ ... เรามักโดนผลประโยชน์เฉพาะหน้าหลอก
-> การ protect เงิน สำคัญ แล้วเราควรเลือกโบรคไหนดีล่ะ ?


ว่ายน้ำ = ทำสมาธิ ... ส่วนวิธีอื่นต้องไปทดลองเอง เพราะพี่ต้านไม่รู้ ที่ว่ายน้ำก็เพราะปรึกษา Mentor มาแล้วเลือกใช้ ... แต่ทำสมาธิ แทนว่ายน้ำ ไม่ได้ เพราะทำสมาธิไม่ได้ Drain Energy ออกไป

การ Drain Energy จะทำให้เรา NAP ได้

การ NAP ให้ร่างกายบอกเราเอง เช่น ตื่นมาแล้วสดชื่น แต่ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง ถ้าเกินก็เรียกว่าขี้เกียจ 555

สั่งร่างกาย ... NAP = Refresh ... เราบริหารมันได้


จบ.



อ่านตอนก่อนหน้าตรงนี้นะครับ
Note Mudley Channel ตอน การพัฒนาตัวเองกับปลาหมึก
Note Mudley Channel ตอน เทรดเดอร์ยุคใหม่และโอกาส
Note Mudley Channel ตอน Principle ของเทรดเดอร์
Note Mudley Channel ตอน How to observe market from micro account


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions