Pages

Friday, October 16, 2015

0412 : DSM Lab 3


มา update port dsm lab กันต่อ วันนี้หุ้นตัวนึงเปิดโดดแล้วทุบลงมา ทำให้เรามี bullet zone 8 ที่ตั้งทิ้งไว้ match ขายออกได้ที่ high แล้วก็ลงมาให้เรารับกลับ ซึ่ง zone 8 bullet 1 ของเรานั้นถ้ามันยังไม่ไปต่อเราก็รับกลับมาก่อนเพื่อเป็นโอกาสอีกครั้ง

ส่วนอีกตัวเมื่อวานเบลอๆเคาะผิดขายเกินไป 1 bullet วันนี้รับกลับคืนมาได้ แก้ตัวได้แล้ว ฮ่าๆ เล่นทีละนิดมันก็ดีแบบนี้แหละ เคาะผิดก็ยังเจ็บนิดๆ คันๆ

วันจันทร์ก็มาดูกันต่อว่าตลาดจะไปทางไหน ถ้าลง เราก็จะขายลงไปด้วย แต่ถ้าขึ้นปล่อยมันไป เราใช้ R2D2 mark จุดสำรวจ ทำ position บูชยัญตลาดไว้เรื่อยๆก็พอ

มีตัวที่ซื้อด้วยกระแสเงินสดแฝงอนาคต มัน swing ให้เราปล่อยแล้วก็ swing กลับ เราก็ใช้ future cf เคาะไปอีก 1 bullet ตอนนี้ future cf เลยติดลบอยู่ 55 บาท เด๋วก็แก้ไขต่อไป ซึ่งจริงๆมันก็ share ทรัพยากรจาก cash reserve ของ zone 3 ไว้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้น่ากังวล แต่พยายามรักษาวินัยดีกว่า



Wednesday, October 14, 2015

0411 : DSM Lab 2


มาต่อกันที่ port dsm lab นะครับ วันนี้เกิด transactions 4 รายการ มี CF เกิดขึ้น 1 รายการ แล้วก็ใช้กระแสเงินสดแฝงในอนาคตเก็บหุ้นเพิ่มอีก 1 ตัว เป็นการขยาย port ซึ่งจะเก็บทีละนิดๆไปเรื่อยๆจนครบตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่ถ้ามีจังหวะ trading ได้ก็เทรดไปตามปกติ

ส่วน nav วันนี้ ก็ยังคงบวกต่อไปนั่นแหละ ถือว่าโชคดีด้วยละมั๊ง


กระแสเงินสดแฝงในอนาคตนั้น อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อวานคือ สมมติขายออกที่ 5 บาท รอรับคืนที่ราคา 1 บาท เท่ากับหากว่าเรารับคืนได้ จะมีกระแสเงินสด 4 บาทต่อหุ้น แต่การนำกระแสเงินสดในอนาคตมาใช้ก็คือ เรารู้ว่าเราต้องมีเงิน 1 บาทเพื่อรับหุ้นคืน แต่ ณ วันนี้เนี้ย เราสำรองเงินไว้ตั้ง 5 บาทแนะ เราก็เลยเก็บ 1 บาทนั้นสำรองไว้ แล้วเรียก 4 บาทที่เหลือว่ากระแสเงินสดแฝงในอนาคต

การเอามาใช้ก็คือ ปกติผมทิ้ง 75% ของ CF ไว้ในระบบ อีก 25% จะ cash out ออกจาก port ผมก็เลยใช้แบบเดียวกันคือ กระแสเงินสดแฝงในอนาคต 4 บาท ผมก็จะใช้แค่ 75% ของมัน = 3 บาทในการเอาไปมองหาหุ้นตัวที่ lagging กันสักหน่อย (จริงๆก็ไม่ต้องซีเรียสก็ได้ เพราะอะไรมันก็เกิดขึ้นได้อ่ะนะ วันนี้มัน lag วันหน้ามันอาจจะโดนทุบลงมาพร้อมกันก็ได้) แล้วก็ขยายไปเก็บอีกตัว มันก็จะกลายเป็นชิ้นส่วนๆนึงของเครื่องผลิต CF เครื่องใหม่ของเราครับ

Tuesday, October 13, 2015

0410 : DSM Lab


มีผู้ใหญ่ใจดี ให้เงินมา 50,000 เพื่อเทรด DSM ในแนวทางของผมให้เขา เป้าหมายก็คือ การสะสมหุ้นเพื่อรับเงินปันผล เพิ่มปริมาณหุ้น และ เพิ่มจำนวนหุ้นจาก CF ที่ทำได้

โดยผมตั้งเป้า CF+เงินปันผล ประมาณ 20% ต่อปีขึ้นไป ต้องลองดูว่าจะทำอย่างไร ซึ่งหากระบบลงตัวเมื่อไหร่ก็จะส่งต่อให้น้องชายของผมดูแลต่อครับ เพื่อฝึกให้เค้าใช้ระบบไปด้วยอีกทางหนึ่ง

มาวันนี้ผมก็เลยอยากบันทึกไว้ใน blog ด้วย ว่ามันเป็นไปอย่างไร หรือ เราจะทำอะไรกับมันบ้าง

DSM สำคัญตรงที่ระบบบัญชี ก่อนอื่นก็มาดูระบบบัญชีก่อน ซึ่งผมใช้ Trade Log ของ KZM ที่แจกกันใน pantip นะครับ แล้วก็เอามาปรับปรุงเพิ่มนั่นเพิ่มนี่เข้าไป ซึ่งก็เพิ่มไปหลายช่องเหมือนกัน พวกข้อมูลที่จำเป็นต้อง monitor



พอเลือกหุ้นเสร็จเราก็จะมาวางโครงคร่าวๆของ Formation 3-0-2-8 ก่อนนะครับ เพื่อรับมือหากว่าเคาะขวาปุ๊บดอยปั๊บอะไรงี้


พอวางโครงคร่าวๆเสร็จก็ถึงเวลาเก็บหุ้น แล้วก็เทรด เทรด เทรด ต่อไปนั่นแหละครับ

โดยที่หลักของ DSM ก็มีดังนี้ครับ

1. เขียวซื้อ แดงขาย
2. ซื้อให้ถูกกว่าขาย
3. มิติของเวลาเป็น infinity
4.กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง
5. Formation 3-0-2-8
6. การขายขขึ้น 1% และ การขายขาลง 10%
7. การซื้อหุ้นคืน 3 แบบ ซื้อคืนทุก...ช่อง , ซื้อคืนหากรวบได้ 3 zone , ซื้อคืนเมื่อเด้งจาก bottom...ช่อง

DSM จะเป็นการขายแล้วซื้อคืน จะรับรู้กำไรเมื่อซื้อคืนได้ เช่น ขายหุ้นออกไป 10 บาท แล้วรับหุ้นคืนได้ที่ 8 บาท ก็จะบันทึกกำไรที่ 2 บาท ต่างจากการบันทึกบัญชีแบบ ซื้อแล้วขายตามปกติ เช่น ซื้อ 10 ขาย 11 เท่ากับกำไร 1 บาท แต่ DSM จะทำกลับด้านกัน ซึ่งจะช่วยให้ mental ของเรากล้าซื้อเวลาที่ราคาลงมาแรงๆแล้วเกิดความกลัว

แต่ละวันเราก็จะมานั่งวางแผนว่าหากหุ้นขึ้นเราจะทำอะไรบ้าง หุ้นลงจะทำอะไร ซึ่งจะใช้เวลาไม่มากเลย แป๊บเดียวเสร็จ ส่วนการลงบัญชี ก็ควรทำให้เรียบง่ายที่สุด พี่เทพ (เด่นศรี) เจ้าสำนักเองได้บอกไว้ว่า "หากเราทำ DSM เพื่อคนที่เรารัก (เช่น ภรรยา หรือ ลูก) เราจะทำให้ DSM มันง่ายขึ้นๆ ถ้าเราทำ DSM เพื่อตัวเอง เราจะทำให้มันยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งของผมเอง ก็ยังถือว่าซับซ้อนอยู่ ทำไปๆคงจะตัดทอนมันให้เรียบง่ายขึ้นได้นะ


ทีนี้มาเรื่องเทรด ถ้าผมเข้าซื้อหุ้นแล้วหุ้นลงไป 2 ช่อง มันก็จะเข้าแผนของ Zone 3 ซึ่งเราก็จะขายขาลงทีละ 10% ของหุ้นทีมีในมือ ถ้าราคายังลงต่อก็ขายอีก 10% ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆหากหุ้นลงแรงจริง เราก็จะขายจนหมดมือ หุ้นหยุดลงเมื่อไหร่ก็รับคืนที่เคยขายไป

แต่ถ้าหากว่าแรกสุดเราซื้อแล้วหุ้นวิ่งขึ้นเลยก็ดีครับ จะเข้าสู้ Zone 2 ซึ่งเป็น Zone ของการ Trading เก็บความผันผวนไปเรื่อยๆ ขึ้นขาย ลงรับกลับ ตรงนี้ผมจะแบ่งโซนให้ถี่ๆ โดยใช้จำนวนหุ้น 20% ของหุ้นที่เหลือในมือมากระจายโซนเทรดครับ ซึ่งพอมันหลุดจาก Zone 2 ไปมันก็จะเข้า Zone 8 คือ Zone in the money ของเรานั่นเอง

Zone 8 คือ พื้นที่กำไรของเรา หากเราปล่อยหุ้นตรงนี้ การรับคืนหุ้นจะไปรับคืนในจุดที่ต่ำมากๆ พี่เด่นศรีใช้คำว่าจะเอากี่ % ก็เลือกเอาได้เลย เช่นหากเราไปปล่อยหุ้นไว้ที่ 5 บาท แล้วเราไปรับคืนที่ 1 บาท เราจะกำไร 400% เลยทีเดียว

แต่อาจจะมีคนสงสัยว่า แล้วหากมันไม่ลงมา ก็รับคืนไม่ได้ แล้วเงินที่ขายออกแล้วสำรองรอซือคืนมันก็นอนนิ่งน่ะสิ มันก็จะมีวิธีจัดการมันอยู่ครับ เรียกว่ากระแสเงินสดแฝงในอนาคตนั่นเอง


วันนี้ดึกแล้วเข้านอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้พบกันใหม่ ราตรีสวัสดิ์ครับ

Wednesday, October 7, 2015

0409 : แรงเสียดทานจากคนรอบข้าง

 
มีน้องคนนึงมาปรึกษาเรื่องแรงเสียดทานจากการเป็นเทรดเดอร์ อาชีพเทรดเดอร์อิสระเป็นอาชีพที่โดนสังคมมองด้านลบบ่อยๆ อย่างผมเองก็โดนมาบ้างแต่โดนไม่หนักเท่าไหร่ เพราะยังทำงานประจำบังหน้าอยู่ ถ้าพูดกันตามตรงพ่อกับแม่ของผมก็ไม่ได้สนับสนุนเลย มีแม่ของผมที่ช่วยให้ยืมชื่อเปิดบัญชีในตอนแรกๆของการเริ่มต้นลงทุน ส่วนพ่อนั้นก็บอกตลอดว่าให้เพลาๆบ้าง ตลาดหุ้นมันผันผวน... "ผันผวน" อืม... สำหรับตัวผม ผมก็คิดในแง่บวก เพราะ model ที่ใช้นั้นเล่นอยู่กับ Volatility อยู่แล้ว เออ ก็นึกว่าพ่ออวยพรให้ทำมาค้าขึ้นก็แล้วกัน
  
ส่วนคำดูถูกต่างๆจากคนอื่นก็โด๊น โดนเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำ แต่ดันอยากวิจารณ์ ซึ่งบางทีมันก็สร้างพลังงานด้านลบขึ้นมาเหมือนกัน แต่ก็แก้ไขโดยการเข้าใจตัวเองให้มากๆ เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
  
ผมนึกถึงประโยคในหนัง Million Dollar Baby ที่พี่เวบ พรชัย รัตนนนทชัยสุข เอามาเขียนใหม่เป็น “It's the magic of risking everything for a dream that nobody sees but you”  หรือ "ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็น"
  
แบบว่ามันใช่อ่ะ! ความฝันของเรา เริ่มแรกอาจจะมีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น แต่หากเราทำมันสำเร็จ คนอื่นๆก็จะได้เห็นมันด้วย ไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงมาก แค่ลงมือทำต่อไปก็เท่านั้นเอง
  
ถ้าเราเข้าใจตัวเอง มีเป้าหมายที่ชัดเจนพอ เสียงจากภายนอกเหล่านั้นจะส่งผลต่อเราน้อยลง หรือเราอาจจะไม่ได้ยิน ไม่ก็มองมันเป็นเรื่องขำๆก็ได้นะ เพราะงั้นหลักของเราต้องชัดเจนและมั่นคงมากพอละมั๊ง

Tuesday, October 6, 2015

0408 : Diary 7 ต.ค. 2558


วันนี้ตื่นตี 4:50 ไปวิ่ง วิ่งได้ 1 ชั่วโมงเต็ม พักจิบน้ำทุก 800 เมตร วิ่งประมาณ Pace 10 นิดๆ ซึ่งก็เป็นการฝึกที่พี่สหายแนะนำ โดยให้วิ่งช้าๆให้ Heart Rate อยู่แถวๆ Zone 2-3 เพื่อสร้างความอึดก่อน โดยให้วิ่งแบบนี้ไปเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยให้สลับระยะเวลาการวิ่งระหว่าง 1 ชั่วโมง วันถัดไป 1 ชั่วโมงครึ่ง สลับกันไป

เราเองก็จะตื่นให้เช้าขึ้นอีกนิดในวันพรุ่งนี้ ปกติถ้าวันไหนวิ่งก็จะตื่นตี 5 แต่หากฝึกแบบนี้ก็ต้องสลับวัน อีกวันต้องตื่นให้ไวขึ้นครึ่งชั่วโมงเป็นตี 4 ครึ่ง เพื่อที่จะกลับมาให้ทันขับรถไปทำงานพร้อมภรรยาตอน 7 โมง เราเองไม่ได้คิดว่าเหนื่อยอะไร คิดว่าเป็นสิ่งที่เราอยากทำ เป็นเป้าหมายของเรามากกว่า เราอยากมีสุขภาพแข็งแรง อยากออกนอก comfort zone อยากวิ่งมาราธอน อยากลงไตรกีฬา

ที่ต้องออกวิ่งตอนตี 5 ก็เพราะมันเป็นเวลาที่อิสระดี ตอนเช้าไม่ค่อยมีอะไรมารบกวน ถ้าเราวิ่งช่วงเย็น มันควบคุมไม่ค่อยได้เท่าไหร่ บางวันอยากออกกำลังกาย แต่ดันงานเข้าช่วง 4 โมงเย็น ต้องทำงานต่อเนื่องถึง 6 โมง ถึงทุ่ม พอเลิกงานค่ำ บวกกะภาระต่างๆ ก็เหนื่อยไม่อยากวิ่งแล้ว ก็เลยคิดว่าวิ่งตอนเช้าเป็นหลัก แต่หากวันไหนได้วิ่งช่วงเย็นก็ถือเป็นโบนัสแบบนี้ดีกว่า จะได้วิ่งอยากมีความสุขและไม่เครียด

ส่วนตอนช่วงดึกก่อนนอนก็จะเล่นโยคะเพื่อยืดกล้ามเนื้อ เพราะเรามีปัญหาเรื่องออฟฟิศซินโดรมอยู่ ก็อาการปวดคอ ปวดบ่า ไหล่ สะบัก นั่นแหละ ก็ต้องยืดมันทุกวัน มันก็ช่วยได้ดีเลยแหละ ส่วนใหญ่ก็เปิดใน youtube ของโยคะครูเจี๊ยบ แล้วก็ฝึกทำตาม พอโยคะเสร็จก็จะเปิดพวกคลิป core exercise แล้วก็ทำไปพร้อมๆกับคลิปเลย ไอ่พวก no rest นั่นแหละ ส่วนใหญ่คลิปนึงก็ 5-10 นาที แรกๆเราก็ทำตามได้แค่ 2 นาที เมื่อคืนก็ตามได้เป็น 5 นาทีครึ่งแระ ฮ่าๆ เห็นความพัฒนานิดนึง

นี่ก็คือการเดินทางด้าน Physical Health ของเราแหละ ซึ่งเราก็ยังมีสิ่งที่ควรปรับปรุงอีกหลายเรื่องเลย เช่นพวกการอาหารการกิน รวมถึงการนอนด้วย ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป


วันนี้เขียนแต่เรื่องสุขภาพเลย จริงๆว่าทำ spin off blog ออกไปเขียนเรื่องการเดินทางด้าน Physical Health ของเราโดยเฉพาะเหมือนกัน แต่กำลังคิดชื่ออยู่ ฮ่าๆ กะจะเขียนเกี่ยวกับการฝึกฝนออกกำลังกายประจำวัน การเดินทางจนถึงไตรกีฬาหรือฟูลมาราธอนอ่ะนะ จะได้เป็นการ focus กะเป้าหมายด้วย

Monday, October 5, 2015

0407 : Close System


วันนี้เห็นพี่ Tawan Ubonboy ทำ Event เกี่ยวกับ Close System ใน Facebook group "Road to Trader" เลยอยากจะเขียนถึง close system ในมุมมองของเราสักหน่อย

close system ในมุมที่เราเข้าใจก็คือระบบปิด ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาเงินจากภายนอกอีก มองเงินก้อนนั้นเป็น department นึงไปเลย จากนั้นก็มองรายได้จากเงินก้อนนั้นเป็น cash flow on investment

พอสร้างรายได้ได้ตามเป้า อาจจะเท่ากับทุนตั้งต้น ก็แบ่งออกไปทำอีก department นึงเพิ่ม เราก็จะมี close system 2 แผนก แล้วก็เพิ่มเป็น 3 - 4 -5 ... ไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากทุนตั้งต้นแค่ก้อนเดียวนั่นแหละ ซึ่งจริงๆมันก็เหมือนทำการค้าทั่วไป บางคนอาจจะไม่ได้เพิ่ม department จาก 1 เป็น 2 แต่ใช้เป็นการขยาย volume ก็ได้เหมือนกัน เช่น ปกติเทรดครั้งละ 1 สัญญา พอพอร์ตมี Equity double ก็เพิ่มขนาดสัญญาเป็น 2 เท่าเช่นกัน แบบนั้นก็ได้ แล้วแต่ถนัด แต่เราชอบการขยาย department มากกว่าเนื่องจากต้องการกระจายความเสี่ยงและเล่นกับ correlation

ทีนี้การทำ close system เริ่มจากอะไรดี

สิ่งแรกที่ควรรู้ก็คือ
1. รู้ว่าเรามีเงินทุนเท่าไหร่
2. รู้ว่าจะเทรดอะไร
3. รู้ว่า product นั้นควรจะเทรดอย่างไร
4. รู้ว่า expectancy ของเราเป็นบวกหรือไม่


เงินทุนสำคัญ เพราะ การที่เราเลือกทำ close system มันต้องเชื่อมโยงทุกอย่างที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ มีเงิน 100$ , 1000$ , 10000$ เทรดต่างกัน จากนั้นก็จะมาหา product ที่จะเทรด ซึ่งควรจะเป็นตัวที่มี discount เพราะจะเพิ่มความได้เปรียบให้เรา (รอให้มันลงสุดก่อนก็ดี จะได้ไม่เป็นการรับมีดนะ อันนี้เจ็บด้วยตัวเองมาแล้ว - -a)

product นั้นควรจะเทรดอย่างไร จะใช้ leverage เท่าไหร่ 1:1 เลยไหม หรือ 1:2 , 1:3 ... ? ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับมองกรอบราคาว่าเราจะเล่นกรอบไหน ตัว product มันแกว่งเท่าไหร่ เราจะเล่นสั้นเล่นยาวอย่างไร ? ความผันผวนเทียบกับเงินที่ใช้ต่อกระสุน 1 นัด คุ้มค่าหรือไม่เมื่อเทียบกับตัวอื่น

leverage อาจจะไม่คิดเป็นเท่าก็ได้ แต่คิดเป็น % แทน เช่น น้ำมัน 0.01 lot = $500 ถ้าเราวางเงิน 400$ เท่ากับว่าเราใช้ leverage 20% หรือจะว่า $450 ก็เท่ากับเราใช้ leverage แค่ 10% แบบนี้ก็ได้ ไม่รู้ว่าภาษาทางการเขาเรียกว่าอะไรเหมือนกันนะ แหะๆ

การใช้ Leverage ใน close system ก็เหมือนหมัดไคโอของโกคู ซึ่งใช้จำนวนเท่ามากเกินไปร่างกายยิ่งแบกรับภาระหนัก ในการทำ close system ถ้าใช้ Leverage สูงหน่อย โอกาสได้ผลตอบแทนสูงก็มี แต่พอ loss ก็เสี่ยงโดนล้างพอร์ตมากขึ้น ซึ่งเราต้องอย่าลืมว่าการทำ close system นั้น ทำเพื่อเป็นรากฐานของ portfolio เป็น base เพื่อหา cash flow ให้พอร์ตตราบเท่ายังมีระบบทุนนิยม ซึ่งผลตอบแทนใน level นี้จะไม่เฟี้ยวฟ้าวเท่าไหร่ แต่ต้องมองว่า มันเป็นเพียงฐานเท่านั้น ถ้าฐานแน่น แล้วเราจะต่อยอดยิ่งง่าย level ถัดไปจะมีอะไรให้เล่นอีกเยอะ เพราะจะเริ่มใช้ leverage บนทำกำไรจาก close system พอร์ตนี้นี่เองเงงๆๆ

ส่วนการจะเทรดอย่างไร เทรดสั้นเทรดยาว ก็สุดแล้วแต่ที่จะออกแบบระบบเลยครับ ต่างคนก็แตกต่างกันไป จะใช้ bridge หรือ จะใช้อะไรก็ว่ากันไป เล่นแบบที่ตัวเองถนัดนั่นแหละดีที่สุด แต่ที่เกริ่นเกี่ยวกับ expectancy ไว้ก็คือ อยากให้เรามี expectancy เป็นบวกก่อน เพื่อที่จะคอนโทรลเงินก้อนที่เอามาทำ close system ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบ close system นั้นมัน ออกแบบมาเพื่อให้การเทรดมีเสถียรภาพ ซึ่งประสิทธิภาพอาจจะไม่สูงที่สุด เราก็ต้องค่อยๆเพิ่มให้มัน อาศัยการรู้จักตัวเอง เห็นจุดอ่อนก็ลดทอนมันลง เสริมจุดแข็ง (มันก็มาจากไดอารี่อีกนั่นแหละ)

ส่วนพวกการกำหนดกระสุน กำหนดโซน มันเป็นศิลปะเลยแหละ ไหลตามตลาดไป เล่นตามหน้าตักเรา เพราะเราควบคุมหน้าตักเราได้ กระสุนกี่นัดอย่างเกิน จะเกินต้องเป็นกระสุนที่มี buffer จาก Cash flow เช่นมี CF สะสมมา $100 ก็แบ่งมาเทรดกระสุนเสริม ตั้ง Stop Loss จาก buffer ที่มีอยู่ $100 จะแบ่งมา 20-30% ก็ได้ ซึ่งมันจะทำให้ port เรามีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น เอามาเล่นระหว่างโซน สมมุติ เราวางโซนน้ำมันห่างกัน $2 บางทีมันแกว่ง 44.5 - 45.5 เราดันวางโซนแถว 44 - 46 มันก็ไม่ถึงโซนเราสักที แต่เราเห็นโอกาส เราก็เอากระสุนเทียมนี้เข้าไปเทรด โดน limit loss ไว้ล่วงหน้า

กำไรที่ได้มา จะเอาไป bet ก็ได้ หรือขยายโซนก็ได้ แม้กระทั่งสำรองเป็นเงินสดก็ได้ ก็แล้วแต่วางแผน มัน open มากๆ

ยกตัวอย่าง สมมติมีเงิน $2,000 จะเทรดอะไร สมมติผมเลือกเทรดน้ำมันก็แล้วกัน ไปหา spot ของโบรคที่ไม่ต้อง rollover (จริงๆ rollover ก็ทำได้ แต่ก็เสี่ยงโดน rollover cost ที่เพิ่มเข้ามาหน่อยนึง) เล่นน้ำมัน 0.01 lot 4-5 bullets ตีว่า buffer $500 ต่อนัด ค่อยๆเทรดเก็บไปเรื่อยๆ เอาแบบไม่วางโซนนะ แบบเล็งมือเลย ถ้าจะให้ดีกว่าก็ไปหา port cent เปิด ถ้าเล่น 0.5 lot ของพอร์ต cent ก็จะได้กระสุนตั้ง 8 นัด ยิ่งเทรดสบายเข้าไปใหญ่ หรือแบ่งเป็น 0.25 lot คราวนี้ได้ 16 นัดเลย นี่แหละ มันก็อยู่ที่เราเลือก อยู่ที่เราออกแบบนั่นเองครับ

สรุปแล้ว step มันก็คือ

1. หา product ที่ discount
2. คำนวณเงิน
3. วางแผนเทรด จะเทรดยังไงก็ลองวางแผนดู
4. ตอนเทรดอย่าลืมการ "ลดต้นทุน" อันนี้สำคัญ
5. หากเทรดแล้วมีกำไร ก็แบ่งกำไรไป bet ต่อยอด
6. ดึงทุนออกได้หมดก็ไปทำพอร์ตใหม่

จบแค่นี้ก่อนนะครับ จริงๆรายละเอียดมันเยอะกว่านี้ แต่ผมนึกออกตอนเขียนเท่านี้ ไว้โอกาสหน้ามาเขียนใหม่นะครับ ขอบคุณครับ

0406 : Diary 5 ต.ค. 2558


หลังจากที่อ่านหนังสือ Decide สิ่งไม่สำคัญ 'ควรทำ' กว่า! แล้วก็ถึงเวลามาลงมือทำกันต่อ ซึ่งจะเป็นการนัดหมายเวลากับตัวเองในการลงมือทำงานที่เป็นประโยชน์ การได้นัดหมายกับตัวเองไว้ล่วงหน้า ทำให้เราโดนดึงดูดออกไปในเรื่องอื่นได้น้อยลง เช่น ถ้าหากมีคนมาชวนเราไปไหนตอนหลังเลิกงาน แล้วเราไม่มีแผนว่าจะทำอะไร เราก็จะไปกับเขาได้ง่ายๆ หรือ หากว่าปฏิเสธคนที่มาชวน โดนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็อาจจะเคืองกันอีก แต่หากเรามีนัดอยู่แล้ว เราก็จะสามารถปฏิเสธิได้อย่างสะดวกใจ

งานที่ได้ประโยชน์ หรือ ที่ในหนังสือเรียกว่างานระดับ A ของผมช่วงนี้ผมก็จัดการนัดหมายกับตัวเองเรียบร้อย ส่วนใหญ่มันเป็นสิ่งที่ทำแล้วดี มีประโยชน์ต่อชีวิต แต่เราเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาหลายทีแล้ว ไม่ยอมจัดสรรเวลาลงมือทำมันเสียที เห็นตัวเองชัดเจนเลยว่า มัวแต่บอกว่าไม่ว่าง งานยุ่ง เลยไม่ได้ทำมันสักที พอมาอ่านหนังสือก็เข้าใจตัวเองขึ้นละ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

ลุยๆๆๆ

Friday, October 2, 2015

0405 : Review หนังสือ Decide สิ่งไม่สำคัญ 'ควรทำ' กว่า!


ตอนแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้ในร้าน ก็หยิบขึ้นมาดูเพราะสงสัยในชื่อของมัน ทำไมสิ่งไม่สำคัญ ถึงควรทำกว่าวะ ? พอมาเปิดอ่านๆดูก็เลยได้รู้ว่า อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
  
คือคนเขียน คุณ Steve McClatchy เนี่ยเค้าแบ่งสิ่งที่เราทำในชีวิตจากแรงจูงใจ
  
1. แรงจูงใจที่ก้าวไปหาผลประโยชน์
2. แรงจูงใจเพื่อป้องกันความทุกข์
  
อันแรก แรงจูงใจเพื่อก้าวไปหาผลประโยชน์ก็เช่น การออกกำลังกายให้รูปร่างดูดี ฝึกวิ่งมาราธอน ทำธุรกิจ เรียนภาษา หรือฝนฝน skill ต่างๆ หรือสิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา
  
อันที่สอง ก็พวกกิจวัตรประจำวันของเรา รวมถึงงานประจำวัน เช่น ซักรีดเสื้อผ้า เอาขยะไปทิ้ง ตัดหญ้าในสวน ล้างรถ จ่ายบิลต่างๆ เป็นต้น
  
เค้าบอกว่า งานแบบแรกที่เป็นงานที่ได้ประโยชน์ นั้นเป็นตัวที่ทำให้ชีวิตเราก้าวหน้า ส่วนงานแบบหลัง หรือ งานป้องกันความทุกข์ นั้นทำเพื่อรักษาสภาพเอาไว้
  
แต่งานทั้ง 2 แบบล้วนสำคัญ ซึ่งทำให้ชีวิตเราดำเนินต่อไปได้ ทีนี้หากเราทำงาน 2 ตลอด ไม่มีงานแบบที่ได้ประโยชน์ให้ชีวิตเลย ก็จะทำให้ชีวิตเรานิ่ง ไม่ก้าวหน้า หรือ ทำแต่งานแบบแรก ไม่ทำงานป้องกันความทุกข์เลย ความทุกข์ก็จะไล่ล่าเราอยู่ดี สิ่งที่ต้องมีก็คือ balance
  
งานแบบที่ 2 หรือ งานป้องกันความทุกนั้น เราสามารถกระจาย หรือ จ้างคนอื่นทำแทนได้ เช่นจ้างแม่บ้านมาช่วยทำงานบ้าน หรือ ให้คนเอารถไปล้างแทนเรา ต่างจากงานที่ได้ประโยชน์เชิงบวกซึ่งเราไม่สามารถให้คนอื่นทำแทนเราได้ ตัวอย่างก็คือ เราคงให้คนอื่นไปเรียนภาษาแทนเราไม่ได้ หรือจ้างคนมาศึกษาพฤติกรรมตลาดหุ้นแทนเรา ก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ มันเป็นงานที่เราต้องลงมือทำด้วยตนเอง
  
ทางแก้ก็คือจ้างคนมาทำงานป้องกันความทุกข์แทนเรา แล้วเราเอาเวลาที่ได้กลับมาไปทำงานที่ได้ประโยชน์ เพื่อให้ชีวิตเราก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป
  
ทีนี้เค้าก็บอกต่อว่า งานที่ได้ประโยชน์ ไม่เคยเร่งด่วน เราถึงผลัดวันประกันพรุ่งความฝันของเราออกไปเรื่อยๆๆๆ แต่ไอ่งานป้องกันความทุกข์น่ะ deadline มันก็เข้ามาเรื่อยๆ เช่น ไม่ได้เอาขยะไปทิ้ง 3 วันขยะก็จะเน่าส่งกลิ่น แล้วไงต่อ เมียด่า ก็ต้องเอาไปทิ้งอยู่ดี แต่ความฝันอยากทำธุรกิจ อยากเรียนภาษา ฯลฯ นั้นไม่เคยมีใครมาว่าหรอกว่ามันถึงเวลาแล้ว เพราะงั้นมันจึงมักจะถูกผลัดออกไปเรื่อยๆ
  
ทางแก้ก็คือ จับมันมาใส่ใน ปฏิทิน หรือ ตารางเวลาาของเราแม่งเลย จงนัดหมายงานที่ได้ประโยชน์กับตัวเอง ใส่มันลงไปในตารางนัดของตัวเองซะ เช่น 20.00 น. วันพรุ่งนี้ เราจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำธุรกิจ , 10.00 น. วันถัดไปเราจะหาข้อมูลใน internet
  
ถ้าเราทำแบบนี้งานที่ได้ประโยชน์ของเราจะก้าวหน้าไปวันละนิดๆ
  
ซึ่งขั้นตอนแรกสุดแล้ว เค้าจะให้เรานัดหมายกับตัวเอง ใช้เวลานั้นเขียนเป้าหมายออกมา จากนั้นคิดหาส่วนประกอบว่า ทำอย่างไรเราจึงจะทำมันได้สำเร็จ แล้วก็กระจายงานออกมาเป็นส่วนๆ นั่นก็คืองานที่ได้ประโยชน์สำหรับเรา แล้วก็นัดหมายตัวเองซะ ลงในตารางเวลาว่าจะทำขั้นตอนไหน วันไหน กี่โมง ... ขั้นต่อไปก็ลงมือทำตามขั้นตอน ซึ่งมันจะพบปัญหา หรือไอเดียใหม่ๆเพิ่มเติมมาเรื่อย นั่นจะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเรา ... เราไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว
  
หนังสือเล่มนี้ผมชอบนะ อาจะเป็นเพราะช่วงนี้รู้สึกยุ่งๆ แต่เหมือนชีวิตนิ่งๆอยู่พอดีเลย พอได้อ่านก็ทำให้ตระหนักถึงปัญหาที่สะกิดใจขึ้นมา ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น รายละเอียดในหนังสือจะเยอะกว่าที่เขียนในนี้มาก มันมีไปถึงการทำงานของสมองโน่น ยังไงก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
  

Thursday, October 1, 2015

0404 : Diary 1 ต.ค. 2558


เพิ่งสังเกตุว่าพอร์ต DSM เรา เมื่อเดือนที่แล้วเทรดใน Zone 2 ตลอดเลย ซึ่งก็คือ เทรดทีละ 1% ของจำนวนหุ้นที่เหลือในมือ


มาวันนี้หวดลงมา Zone 3 ซึ่งเทรดทีละ 10% CF มันก็มาเลย ฮ่าๆ


ข้อผิดพลาดของเราในช่วงเดือนก่อนคือ มีหุ้นตัวนึงซึ่ง price มัน move ไป Zone 8 แล้ว เราก็ปล่อยหุ้นตาม step แต่ดั๊นมารับคืนก่อน ตอนนั้นคิดว่า เออ มันลงมาโซนล่างสุดของ Zone 8 บนสุดของ Zone 2 มันน่าจะไปต่อ เลยเก็บหุ้นไว้กับตัวก่อนดีกว่า (ฟีลลิ่งเดาตลาดมาเต็ม) สรุปหุ้นทิ้งตัวลงมาเบย ถ้าถือ Cash มารับคืนวันนี้ก็กำไรเหนาะๆ 25% ละนะ ฮ่าๆ ถือว่าจ่ายค่าเรียนเรื่องความมีวินัยไป