Pages

Tuesday, January 26, 2016

0431 : Do. Or do not. There is no try.


"มีแค่ ทำ หรือ ไม่ทำ , ไม่มีหรอกคำว่าลองทำดู"

...ประโยคนี้ออกจากปาก อ.โยดา ตอนที่ฝึกวิถีเจไดให้ ลุค สกายวอล์คเกอร์

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมเองก็อ่านผ่านตามาหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยเข้าใจความหมายของประโยคนี้เลย

จนเมื่อได้มาทำความรู้จักกับจิตใจของตัวเอง ได้ฝึกเทรด ฝึกออกกำลังกาย ก็รู้สึกว่าเข้าใจประโยค "Do. Or do not. There is no try." นี้มากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น...

วันไหนที่ผมจะลองวิ่งให้ไกลขึ้น มันมักไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่

สัปดาห์นี้จะพยายามลุกขึ้นไปวิ่งตอนเช้าทุกวัน สรุปแล้วก็ไม่ตื่นสักที

พอร์ตนี้เราจะพยายามเทรดให้ดี ไม่กี่สัปดาห์ก็เลิกทำ model ไปเสียแล้ว

สิ่งไหนที่เราพยายามบอกให้ตัวเองทำ มันอาจจะขัดกับใจเราอยู่ลึกๆ พยายามมันก็ดูไม่สนุกเท่าไหร่ เอาง่ายๆเรื่องออกกำลังกายนี่เห็นชัดเลย หลังๆ ผมวิ่งแล้วรู้สึกว่ามันสนุกดี ได้เห็นความเติบโตในร่างกายเราผ่านสถิติต่างๆ (ก็ใน app เก็บสถิติ พวก Endomondo นั่นแหละ) มันคล้ายๆกับเราเล่นเกมเลย ผมก็เลยวิ่งได้เรื่อยๆ เหมืิอนเก็บ Level หลังๆผมก็รู้สึกว่าไม่ต้องพยายามในการไปวิ่งแล้ว แค่บอกกับตัวเองว่า เราจะวิ่ง...กิโล วันนี้วิ่งไม่ถึงพรุ่งนี้ก็มาวิ่งใหม่

เรื่องเทรดก็เหมือนกัน ผมเคยบอกตัวเองว่า เห้ย มึงต้องพยายามให้มากๆนะ ไม่งั้นเมื่อไหร่จะเก่ง ผลก็คือ อืม... มันก็ไม่มีความสุขเลย รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง พาลท้อแท้ไปเสียอีก

ปัจจุบันก็นั่นแหละ เทรดไปเหมือนเก็บเลเวล CF แต่ละบาท แต่ละ usd ก็เหมือน job exp ได้สนุก ได้ตังค์มาจะอัพสายอะไรดีวะ สายหุ้นดีไหม สาย forex สาย option ล้วนเป็นสิ่งที่มันดูน่าเรียนรู้ไปทั้งนั้น

ทำ ... พลาด ... เรียนรู้ ... กลับมาทำใหม่ ... พลาด ... เรียนรู้ ... กลับมาทำใหม่

มันก็จะก้าวไปทีละก้าว ผ่านด่านทีละด่าน

ทำด้วยความตั้งใจ มองมันเหมือนเป็นเกมที่เราเล่น แล้วก็เล่นมันจนผ่าน ... ไม่นานก็คงเคลียร์.

Monday, January 25, 2016

0430 : Diary 25 ม.ค. 2559


เริ่มต้นสัปดาห์ตลาดไทยบวกก่อนที่จะย่อลงมาช่วงก่อนตลาดปิด เรามองว่า Feeling มันเปลี่ยนเลยมั๊งเนี่ย พรุ่งนี้อาจจะแดงล่ะ ส่วนการเทรดวันนี้เราก็วางหมากเอาไว้แล้ว ก็แค่ SAP ไว้นั่นแหละ 555 ถ้าพรุ่งนี้ออกแดง ไอ่พวก positions swing ก็หาจังหวะเก็บเข้าพอร์ต+CF ส่วนพวกที่ SAP Hedging ก็รอดูอีกที ปล่อยมันคุมโซน+let profit run เอาไว้ แต่ถ้าพรุ่งนี้ออกเขียวก็ทดสอบสมมติฐานโดยการ Follow Buy ต่อไปทีละ 1%

จริงๆ concept ของเราไม่มีอะไรมากเลย ถ้าหุ้นไม่ไปไหนก็ลดต้นทุนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าหุ้นวิ่งยาวๆก็ถือหุ้นตามไปด้วย มันจะแยกได้เป็น 2 แบบคือหุ้นลง ก็ลดต้นทุนสู้ เมื่อไหร่ที่หุ้นวิ่งก็ขึ้นรถตาม ซึ่งความเสี่ยงจะอยู่ที่ตัวหุ้นที่เล่นล่ะ ถ้าเลือกหุ้นไม่ดีก็แย่เลย เราก็พยายามเลือกหุ้นดีหน่อย แหะๆ

port สร้าง cash flow เราเลือกมองที่จำนวนหุ้นเป็นหลักด้วยมั๊ง ซึ่งในระหว่างที่ equity curve ลดลง มันก็เป็นธรรมชาติของมัน แต่จะอาศัยการทบกันของ CF ซึ่งต้องพึ่ง "เวลา" นั่นแหละ หากเทียบกับวิธีอื่นอาจจะถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพเลยก็ได้ แต่สิ่งที่ได้มามันคือเสถียรภาพแทนนั่นแหละ ทั้งในแง่ของความ smooth ของ CF และความสบายใจ เรื่องประสิทธิภาพเด๋วไปว่ากันใน Level ถัดไป ใกล้แล้วแหละ อีกนิดเดียวววว อิอิ


ด้านสุขภาพ ช่วงนี้ปวดเข่าขวานิดๆ ไม่ได้ปวดตลอด แต่ก็รำคาญมาก ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กลัวจะวิ่งไม่ได้ กลัวไม่ได้วิ่ง แต่ก็เพิ่งได้เห็นคลิปการออกกำลังกายหัวเข่า พวกการสร้างกล้ามเนื้อ ก็จะฝึกดู ช่วงนี้อาจจะยังไม่วิ่ง แต่อาจจะไปเดินช่วงเช้า เดินสัก 1 ชั่วโมงก่อนไปทำงาน หนาวหน่อยก็ใส่เสื้อกันหนาวเอาละกัน ... สู้ต่อไป !

Saturday, January 23, 2016

0429 : Diary 24 ม.ค. 2559


ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ หุ้นไทยสวิงโหดดี เราก็เก็บ CF เรื่อยๆตามประสา model ที่รองรับความผันผวน ... เทรดตลาดต่างประเทศ ก็เรื่อยๆ ลอง model grid ใหม่แต่ดูเหมือนยังไม่โดนใจเท่าไหร่ แบบเดิมที่ใช้ ฝั่ง  Swap+ เป็น option เทียม แล้วเทรดตรงข้ามเก็บ CF จะตรงจริตกว่า สบายใจมากกว่า ก็เลยต้องมาปรับปรุงให้ถูกจริตขึ้น ... สัปดาห์นี้งานประจำก็ยุ่งมาก เนื่องจากใกล้สิ้นเดือนแล้ว ก็ต้องเคลียร์ Case ให้ไว รู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวเลยแหละ ช่วงงานเยอะๆจะรู้สึกแบบนี้ตลอด ไม่ค่อยได้มีเวลาคิดเรื่องอื่นเท่าไหร่

การออกกำลังกายสัปดาห์นี้ออกวิ่งไปแค่ 2 วันเอง โยคะ 2 รอบเองมั๊ง ต่ำกว่าที่วางแผนไว้นะ T T สัปดาห์หน้าลุยกันใหม่

ด้านการใช้จ่าย สัปดาห์นี้ ok เลย ไม่ค่อยได้ใช้จ่ายอะไรเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มีแต่ค่าขนมโตเกียวข้าง office 555 กินที 20-30 บาท กินขนมก็เป็นวิธีช่วยลดความเครียดอีกวิธีนึงนะ ... ของเล่น หนังสือ สัปดาห์นี้ไม่ได้ซื้อเลย ได้แต่เล็งๆไว้ ฮ่าๆ

เมื่อวานพี่สหายโทรมาคุยเรื่องการฝึกวิ่ง แนะนำให้เราหาวัน Long Run สักวันนึง เพื่อเพิ่มศักยภาพ และให้เกิดการพัฒนา อาทิตย์ละ 1 วัน

จากนั้นก็คุยเรื่อง Project ยึดครอง Productive ซึ่งชวนเราเป็น Partner ด้วย ส่วนบริษัทส่งออกนั้นพับไว้ละ เนื่องจาก Cost ไม่สามารถลุยกับพวก จีน หรือ อิเดีย ได้ ก็เลยมา Project นี้แทน ซึ่งเป็น Long Term จะต่อยอดจากสะสมและยึดครอง Productive แล้วก็ไปทำ Fund กัน ราวๆปีที่ 13

ด้านความสัมพันธ์ ... หลังจากที่ตัดบางคนออกจากชีวิตไป รู้สึกโล่งขึ้น ไม่ต้องคอยมาเจอกับ Dark Force , คำพูดแย่ๆ บั่นทอนปัญญาและกำลังใจของเรา รู้สึกความคิดสร้างสรรค์ ความสงบในจิตใจ มันกลับมามากขึ้น ต่างคนต่างอยู่น่ะดีแล้วว 555

ตอนนี้กำลังเรียบเรียงความรู้เพื่อสอนน้องสาวเรา ฮ่าๆ ปีที่แล้วโดนไป 10% มั๊ง เราเองก็ไม่ทันได้สอนการเอาตัวรอดให้ น้องเราเพิ่งเรียนจบทำงานปีแรก พอมีเงินออมก็เข้ามาในตลาด เจอรับน้องเลย เราก็เลยรู้สึกผิดที่ไม่ได้สอน นี่ก็ทำ slide อยู่ ยังไม่เสร็จเลย ต้องลุยๆหน่อยแล้ววว

Sunday, January 17, 2016

0428 : Don't be a Hero


1. ผมเพิ่งฟังหนังสือเสียง "เปลี่ยนหนี้เป็นอิสระภาพทางด้านการเงิน" ของ พี่หนุ่ม Money Coach จบไปหมาดๆ ในบทท้ายๆของหนังสือเสียงชุดนี้ มีคำสอนที่น่าสนใจ คือ อย่าเพิ่งเป็นฮีโร่ หากเรายังยืนไม่แข็แรง ความหมายก็คือ หากเรายังลำบากอยู่ อย่าเพิ่งช่วยคนอื่นจนเกินกำลัง โค้ชใช้คำว่า มันจะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม


2. ผมนึกย้อนไป ตอนที่ฝึกเทรดกับพี่ลัท เราคุยกันในห้อง Line ของทีมหลายๆเรื่อง รวมถึงเรื่องที่ว่านี้ด้วย ตอนนั้นผมมีความรู้สึกอยากจะให้คนอื่นๆในครอบครัวของผมสบาย ภรรยา พ่อแม่ น้องสาวน้องชาย ผมอยากเทรดเพื่อดูแลพวกเขาได้ แหม่ มันช่างพระเอกเสียเหลือเกิน ...


3. แรงผลักดันนั้น ทำให้ผมมีความเร่งรีบในการฝึก อันไหนดี ผมต้องไปเรียน สัมมนาไหนเจ๋ง ผมต้องไปฟัง เพราะกูอยากเก่งไวไวนี่หว่า แต่พอฝีมือมันไม่ไปไหน ก็ทำให้ร้อนรนหัวใจ ทำให้เริ่มเครียด จากที่เคยสนุก กลับกลายเป็นไม่ค่อยสนุก ...


4. Mentor พี่ลัท ถามมาใน Line (ถ้าอ่านด้วยน้ำเสียงพี่ลูกเกดจะได้ฟีลมาก) "แน่ใจเหรอว่าอยากแบกทุกอย่างไว้คนเดียว" ตอนนั้นผมก็ยังตอบไปว่า "แน่ใจครับพี่" อยู่เลยนะ


5. เวลาผ่านไป ... การได้ฟังเสียงของตัวเองมากขึ้น รู้จักตัวเองมากขึ้น ผมก็พบว่า เออ... ชีวิตมึงก็แค่นี้ ทำในสิ่งที่มึงอยากทำจริงๆดีกว่า สิ่งที่มึกอยากแบก มันก็แค่ความอยากหล่อเท่านั้นเอง ชีวิตแต่ละคน ทุกคนก็ย่อมต้องดูแลตัวเอง อย่าไปแบกคนอื่น ยืนด้วยลำแข้งตัวเองให้ตรง แล้วออกวิ่งไปจนสุดทางของมึงก่อน จากนั้นมึงก็ค่อยเลือกว่าจะขับรถ ขับเรือ หรือขี่เครื่อบินมารับคนที่มึงรักและหวังดีกับเขาก็ได้ อย่าเพิ่งแบกทุกคนขึ้นหลังไปด้วย มันอาจจะทำให้มึงไปไม่ถึงไหนเลยก็ได้นะ


6. เมื่อคิดได้ดังนั้น มันก็โล่งขึ้น ความเครียดต่างๆก็ลดลง ความสุขเพิ่มขึ้น ความคิดสร้างสรรค์ก็ค่อยๆผลิดอกออกผล


7. คิดๆดูมันก็แปลก Mentor พูดให้ตาย ปากเปียกปากแฉะ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจหรอก พอเวลาผ่านไป ได้ไตร่ตรองดู เราก็ค่อยๆยอมรับและก้าวออกจากปัญหาของเราด้วยตัวเอง ... มันต้องใช้เวลาและผ่านความเจ็บปวดละมั๊ง


8. สรุปคือ อย่าพยายามเป็นพระเอก อย่าแบกโลกไว้ การจะก้าวไปข้างหน้า ควรทำตัวให้เบา เพื่อให้เรา Flow ไปได้สะดวก ไปให้ถึงจุดหมายแล้วค่อยกลับมารับคนที่เรารัก แบบนั้นน่ามีโอกาสสำเร็จมากกว่า


http://value-visions.blogspot.com
https://www.facebook.com/valuevisions

Wednesday, January 13, 2016

0427 : Comfort Zone ของใจ


เมื่อกี้เห็นกระทู้ pantip ทำอย่างไรให้วิ่งได้เร็วและอึดขึ้น ซึ่งผมเองก็เจอปัญหานี้อยู่เหมือนกัน เพิ่งจะมา Unlock Potential ได้ช่วงไม่นานมานี้

ปกติจะวิ่งได้ประมาณ 5 km ซึ่งช่วงนั้นก็วิ่งได้แค่นั้นแหละ นั่นอาจจะเป็นเพราะใจเราไหวแค่นั้น Comfort Zone แนวต้านที่หนาพอดูเลยแหละ

พอวันนึงลองตั้งเป้าว่าจะวิ่งให้ไกลขึ้น ช้าก็ช่างมัน ใช้เวลานานก็ช่างมัน ขอแค่ขยายระยะเกิน 5 km ออกไปเป็น 10 km และแล้ว... พอทำได้ Comfort Zone มันก็ขยายออกไปเป็น 10 km ที่เหลือก็แค่วิ่งให้เร็วขึ้นทีละนิด เพื่อลดเวลาในการวิ่งให้สั้นลง

จากที่เคยทำไม่ได้ เราก็ทดลองออกนอก Comfort Zone ดูก่อน ขยายมันออกให้ใจเราเห็นว่าเราไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เรายังไปต่อได้อีก พอใจเราเห็นแล้ว มันก็จะยอมรับ ระยะ 10 km เลยกลายเป็น Comfort Zone ใหม่ของผม เราก็แค่ขยายมันต่อไป

มันคือการพัฒนาตัวเอง ทำให้ตัวเราในวันนี้ดีกว่าตัวเองในเมื่อวาน ^ ^

Tuesday, January 12, 2016

0426 : Personality Test Q1/2016


นานๆมาทำ Test ที ทำรอบนี้ได้ : INFJ

Introverts
เทรดเดอร์ประเภทนี้ได้พลังมาจากไอเดีย concept ต่างๆที่เป็ นนามธรรม เทรดเดอร์กลุ่มนี้ต้องการเข้าใจกลไกตลาด ต้องการเข้าใจธรรมชาติของตลาด เพื่อที่จะสร้างระบบของตัวเองที่สามรถกลั่นกรองข้อมูลที่ ่ตัวเองเรียนรู ้ ค้นคว้า และสะสมมาได้ มาเป็ นเครื่องมือช่วยตัดสินใจ

Introvert strengths
จุดแข็งพวก introvert เป็ นพวกที่ใฝ่รู ้กับทุกส่วนประกอบของการเทรด ตั้งแต่ entry, stop, target price จนกระทั่ง exit นอกจากนี้เทรดเดอร์กลุ่มนี้ยังให้ความสำคัญกับการรวบรวมข้อมูลเพื่อประกอบในการตัดสินใจของตน ปิดรับคำแนะนำจากคนอื่นระดับหนึ่ง ต้องการที่จะเข้าใจภาพรวมของการเทรด เบื้องหลังกการเทรดในแบบฉบับของตัวเอง มีความละเอียดในการค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูลสูง

Introvert weaknesses
introvert มักจะเป็ นเหยื่อของอาการ ข้อมูลท่วมหัว และมักปล่อยโอกาสทำเงินหลุดมือไปง่ายๆ เพราะคิดว่าตัวเองยังเข้าใจ trade setup นั้นๆไม่เพียงพอ แต่เมื่อมามองย้อนหลัง ก็จะพบว่าตัวเองมีข้อมูลที่จะทำเงินจากโอกาสนั้นๆเกินพอ มักมีคำอุทานที่ติดปากคือ “รู้งี้ …” นอกจากนี้เทรดเดอร์กลุ่มนี้ยังเป็นพวกตัดสินใจช้า ชอบเทรดคนเดียวมากกว่าเทรดเป็นกลุ่มทั้งๆที่รู้ว่าการเทรดแบบกลุ่มจะพัฒนาฝีมือตัวเอง แต่ก็ชอบที่จะเทรดคนเดียว


Intuitive
เป็นพวกชอบเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ให้กับข้อมูลที่ตัวเองแสวงหามาได้ เทรดเดอร์กลุ่มนี้มีความมั่นใจใน สัญชาติญาณในการเทรดของตัวเองสูง (gut) และฝากชีวิตไว้กับกราฟให้เป็ นตัวตัดสินใจ การเข้าออก position เป็นเทรดเดอร์ที่พึ่งพากราฟมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง

Intuitive strengths
เนื่องจากเป็นพวกที่มีความสนใจ (ทำให้) เข้าใจกราฟและ indicator มากกว่ากลุ่มอื่นชอบเชื่อมโยงหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆในกราฟที่ตนสนใจ ทำให้มีความสามารถในการมอง marco ภาพมุมกว้างได้ดีกว่ากลุ่ม sensing

Intuitive weaknesses
แม้ว่าความสามารถในการวิเคราะห์กราฟของกลุ่มนี้จะฉียบขาดมากแต่กลุ่มนี้ก็สามารถที่จะการวิเคราะห์กราฟของตัว และสนองตอบ gut reaction ของตัวเองได้ทุกเมื่อเป็นพวกที่บ้า indicator ใช้เยอะจนทำให้การตัดสินใจรวนเพราะ indicator ตีกันชอบหาข้อมูลมารองรับความเชื่อตัวเองทำให้เกิด bias ไม่สามารถยึดติดอยู่กับเป้าหมายและแผนการของตัวเองได้นาน


Feelers
ให้ความสำคัญกับผู ้คนและสิ่งแวดล้อมเสมอ เวลาต้องตัดสินใจอะไร เป็ นพวกมองเทรดจากมุมสูงและความเข้าใจ (จิตวิทยา) ตลามในแบบของตัวเองเป้าหมายมักถูกบดบังด้วยอารมณ์ทำให้กระทบการเทรดได้พอสมควรเทรดเดอร์กลุ่มนี้ต้องคุมอารมณ์ตัวเองให้เป็น

Feeler strength
เป็นกลุ่มที่สามารถเข้าใจจิตวิทยาตลาดได้ดีกว่ากลุ่มอื่น สามารถเข้าถึงอารมณ์ตลาดได้ดีกว่ากลุ่มอื่น สามารถเข้าถึงได้อย่างแม่นยำจนบางครั้งดูเหนือธรรมชาติ (พวกเทพอินดี ้ ทั้งหลาย) สามารถเข้ากับจังหวะตลาดได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น เข้าใจภาพกว้างที่ส่งผลต่อสิ่งเล็กๆได้ดี

Feeler weaknesses
จุดอ่อนของ Feeler ก็คือสิ่งเดียวกันกับจุดแข็งของกลุ่มนี ้ นั่นก็คืออารมณ์ของตัวเอง หากจูนผิดผลก็จะไปทิศทางตรงข้าม และมักมีอารมณ์ส่วนตัวมาปนกับการเทรด หากวันใดกินยาลืมเขย่าขวด มีโอกาสเสียเงินสูง เนื่องจากกลุ่มนี้อาศัยจุดแข็งของตัวเองในการเทรดสูง (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่) ทำให้กลุ่มนี้มักจะละเลย ข้อมูลและข้อเท็จจริงตรงหน้า นอกจากนี้กลุ่มนี้มักมองโลกในแง่ดี ทำให้เจ็บตัวมากเป็นพิเศษในช่วงตลาดขาลง


Judging
เป็นพวกเด็ดขาด สามารถริเริ่มสิ่งต่างๆได้ด้วยตัวเอง และควบคุมวินัยตัวเองได้ดี ใส่ใจที่จะทำงานให้สำเร็จลุล่วง ลงมือทำอะไรเร็ว วางแผนล่วงหน้า และยึดแผนที่ตัวเองวางไว้

Judging strengths
เป็นพวกเด็ดขาด มีความริเริ่มสูง ไม่ต้องโน้มน้าว หรือปรับจูนมากมาย วางแผนและลงมือเร็ว มีทักษะในการคุมความเสี่ยงค่อนข้างดี

Judging weaknesses
ไม่ยืดหยุ่น มักถูก SL ออกจาก position ที่น่าจะทำกำไรได้สูง เพียงเพราะnoise ของตลาด ชอบเป็นผู้ให้คำแนะนำแต่ไม่ค่อยถนัดที่จะเป็นผู้รับ และบางครั้งมองคำแนะที่ได้รับ เป็นการโจมตี การดูแคลนความสามารถของตนเอง เป็นเทรดเดอร์ที่เรียนรู ้ช้าที่สุด รับหลักการระบบ และเทคนิดใหม่ๆได้ช้ากว่าปกติเป็ นพวกที่ปรับจูนความคิด ล้างไพ่ได้ยากที่สุดกลุ่มนึ

Monday, January 11, 2016

0425 : หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผมในปี 2015

 
หลังจากที่เขียนถึงหนังสือเล่มนี้ใน Entry สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปีที่ผ่านมา รู้สึกอยากเขียนถึงมันอีกครั้งแบบเต็มที่สักหน่อย หนังสือเล่มนี้ก็คือ Power of No ชื่อแปลไทย พลังแห่งคำว่าไม่ เขียนโดย James Altucher & Claudia Azula Altucher
 
 
ในเวอร์ชั่นแปลไทย หนังสือเล่มนี้ผมเห็นก่อนหน้าที่ผมจะซื้อหลายเดือนเหมือนกัน ผมหยิบมาดูเพราะว่าหน้าปกมันแปลกๆดี ดูเหมือนนิยายแปล 555 แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ จนมาอีกช่วงนึง มีเวลามาเดินทอดน่องในร้านหนังสือนานๆหน่อยก็เลยเปิดๆอ่านดู ปรากฏว่ามันดีเลยอ๊ะ มันเป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยตระหนักรู้เท่าไหร่ เรื่องการการปฏิเสธ เรื่องของการทำตามสัญชาตญาณของตนเอง
 
 
หลายๆครั้งที่ผมทุกข์กับเหตุการณ์ในชีวิต ต้องพาตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ผมไม่ต้องการอยู่บ่อยๆ ซึ่งผมก็ไม่เคยดิ้นหลุดจากมันสักที เช่น หลายครั้งช่วงทำงานประจำ ที่ผมต้องเปลืองเวลาชีวิต ไปติดอยู่ในวงสุราดึกๆดื่นๆ ทั้งๆที่ผมไม่ดื่ม และอยากกลับบ้านเพื่อไปวิ่งออกกำลังกายช่วงเย็นมากกว่า แต่ผมติดมาในสถานการณ์นี้ได้อย่างไรกันวะ (ผมเป็นคนขับรถมานี่หว่า แล้วผมก็ไม่ดื่ม ผมก็เลยได้รอขับพาคนดื่มกลับงั้นหรือ ?) พอนึกย้อนไป อ๋อ มันเกิดจากการที่ผมไม่ยอมปฏิเสธตั้งแต่แรก หรือไม่ยอมขีดเส้นแดง limit เวลาของผมเอาไว้นั่นเอง ถ้าผมปฏิเสธตั้งแต่แรกผมก็ไม่ต้องมาติดอยู่ในเหตุการณ์ที่ผมไม่ต้องการแบบนั้น
 
 
หรือบางทีต้องคอยช่วยเหลือคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา (ไม่เห็นหัวว่างั้น) จริงๆพูดว่าไม่สะดวกก็จบ ซึ่งก่อนหน้านี้มันเป็นปัญหาใหญ่ของผมเหมือนกัน เพราะป๊ากับม๊าเลี้ยงผมมาแบบให้แคร์คนรอบข้าง ใส่ใจผู้อื่น จนบางทีก็ลืมมองหัวใจตัวเอง ว่ามันอาจจะไม่มีความสุขก็ได้นะ 
 
 
เรื่องของการคบคนก็เหมือนกัน ผมมักจะแคร์ความรู้สึกของผู้อื่นจนเกินไป จริงๆอาจจะเกิดจากนิสัยไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองด้วยแหละมั๊ง ซึ่งแม้จะจะโดนคนทำร้ายทางวาจาหรือทางใดก็ตาม ผมก็ไม่ค่อยจะโต้ตอบเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าถ้าเอาคืนแล้วอาจจะทำให้ความสัมพันธ์เสียไปโดยสิ้นเชิง (ซึ่งจริงๆมันเสียไปแล้วตั้งแต่มันเปิดวอร์ใส่เราแล้วป่ะวะ 555)
 
 
ตอนแรกผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้หรอก แต่ผมอ่านเล่มการจัดบ้านของ คนโด มาริเอะ ซึ่งมันคล้ายกันมากเลย แต่ของ คนโด มาริเอะ นั้นจะใช้กับสิ่งของ คือวัดว่าเรามีความสุขที่จะใช้หรือเก็บเสื้อผ้า สิ่งของชิ้นนั้นไว้หรือไม่
 
 
หนังสือ Power of No นี้ก็เช่นกัน มันอยู่ที่การสังเกตุ ในชีวิตประจำวัน เรามีความสุข มีพลัง มีความมั่นใจ มีความแข็งแกร่ง เพราะอะไร เพราะใคร หรือช่วงที่เราทำอะไร แล้วเรามีความทุกข์ ความโกรธ หรือพลังด้านลบ จากสาเหตุไหน
 
 
ค่อยๆปฏิเสธ ค่อยๆตัดสิ่งนั้นออกไปจากชีวิตของเรา มันเป็นการเปิดพื้นที่ว่างของชีวิต เพื่อจะได้รองรับสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ใช่สำหรับชีวิตเราให้เข้ามาแทนที่สิ่งที่ไม่ใช่
 
 
ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้... แต่หลังจากที่ได้อ่านมันแล้ว เออ ชีวิตกูดีขึ้นหว่ะ 
 
 
มีความสุข ความสงบในหัวใจมากขึ้น ผมไม่ได้ค่าโฆษณาอะไรกับหนังสือเล่มนี้หรอกนะ แค่รู้สึกดี ก็เลยมาบันทึกไว้เท่านั้นเอง
 
 

Sunday, January 3, 2016

0424 : เป้าหมายปี 2559


เป้าหมายปี 2559

ต้นปีต้องมาเขียนเป้าหมายไว้ทุกทีสิน่า พอปลายปีก็มาย้อนดูว่าเราทำอะไรได้ตามที่ตั้งใจบ้าง ฮ่าๆ สำหรับเป้าหมายปีนี้จดไว้ในสมุดบันทึกแล้วก็เอามาลงไว้ในนี้อีกที หลักๆก็ ครอบครัว การเงิน การงาน สุขภาพ จิตใจ อารมณ์ ความสัมพันธ์ ประมาณนี้ละมั๊ง

1. ข้อแรกขอเรื่อง Trade ก่อนก็แล้วกัน ปีที่ผ่านมาผิดหวังไปเยอะ ปีนี้ก็ตั้งเป้าตามที่ตั้งใจ ไม่หยุดพัฒนาจนกว่าจะทำ Cash Flow เฉลี่ยได้ 3% ต่อเดือนจาก Port หุ้นไทย

2. ลงวิ่ง Half Marathon เป้าหมายคือ งานวิ่งริมกว๊านพะเยา 26 km ในวันที่ 29 พ.ค. 2559 ตารางซ้อมที่กำหนดไว้ก็คือจะวิ่งสัปดาห์ละ 4 วันช่วงเช้าก่อนไปทำงาน เริ่มสัปดาห์นี้แหละ วิ่งวันละ 13 km แล้ว +1 km ไปเรื่อยๆ ทุกสัปดาห์ จนถึง 26 km น่าจะช่วงเดือนเมษาฯ จากนั้นก็วิ่งรักษาระยะนี้ต่อไป ค่อยๆขยับความเร็วเพิ่มขึ้นทีละนิดจนถึงช่วงแข่ง

3. ลดน้ำหนักให้เหลือ 72 kg เพื่อสุขภาพที่ดี ปัจจุบัน 84 kg วิธีที่ออกแบบไว้ก็คือ จดบันทึกอาหารและขนมที่กินทุกมื้อ แล้วก็คำนวณการออกกำลังกายโดยการวิ่งขั้นต่ำไว้ คือ สมมติว่าถ้ากินอาหารเหมือนเดิม แต่ออกกำลังกายเพิ่ม เอา kcal ออกเดือนละ 12,000 kcal ก็จะลดเดือนละ 1 kg กว่าๆ (มี Margin of Safety ประมาณ 50%) ปลายปีก็จะเหลือ 72 kg พอดี ซึ่ง 12,000 kcal ที่คำนวนนั้นตกวิ่งสัปดาห์ละ 4 วัน ระยะวิ่งวันละ 7.5 kg เอง ซึ่งหากซ้อมตามตาราง ข้อ 2 ยังไงก็ทำได้อยู่แล้ว

4. โยคะยืดกล้ามเนื้อ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 วัน ครั้งนึงไม่ต่ำกว่า 30 นาที จะเปิด youtube ยืดเองหรือไปเข้าคลาสก็ได้ โดยจดบันทึกความสำเร็จไว้ใน planner สิ้นปีมานับกัน (จากข้อ 2 ปัญหาไม่ใช่เราวิ่งไม่ไหว แต่เป็นเพราะเราวิ่งแล้วเป็นตะคริวตั้งแต่ km แรก เลยต้องมาฝึกยืดกล้ามเนื้อ ยืดเอ็น เพื่อให้ผ่าน km แรกๆไปโดยไม่เป็นตะคริว)

5. กลับบ้านเชียงราย อย่างน้อย 3 ครั้ง เพื่อความสัมพันธ์ในครอบครัว งบประมาณ 6,000 บาท x 3 ครั้ง = 18,000 บาท Reserve ไว้รอเลย

6. สร้าง Port Generate Cash Flow เพื่อเป็นค่าเรียนมวยหวิงชุน งบประมาณราวๆ 3,000 บาท ต่อเดือน

7. พาภรรยาไปเที่ยวญี่ปุ่น งบประมาณ 90,000 บาท

8. ทำบริษัทส่งออกกับพี่สหายให้สำเร็จ Phase 1

9. ทำสัมมนาแนวกึ่งๆ Voice Dialogue เกี่ยวกับการยึดครอง Asset เพื่อสร้าง Wealth ในราคา Social Enterprise

10. ยิ้ม หัวเราะ เป็นมิตร ให้อภัย ฟัง และ อ่านให้มากขึ้น วัดจากการจัดระดับวันดีๆ ในการเขียนไดอารี่