Pages

Wednesday, December 30, 2015

0423 : Diary 31 ธ.ค. 2558

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปีที่ผ่านมา ผ่านไปอีก 1 ปี บางคนดีใจที่จะขึ้นปีใหม่ แต่เรากลับไม่ดีนะ ถ้ามองในแง่ของ In Time เวลาของเราลดลงเสียด้วยซ้ำ … ปีที่ผ่านมามีทั้งเรื่องดีและแย่ อันที่จริงมันก็เป็นแบบนี้ทุกปีนั่นแหละ สิ้นปีก็มาทบทวนเรื่องราวต่างๆแล้วสรุปมันออกมาเป็นบทเรียนดูสักหน่อยก็แล้วกัน 1. ปีนี้เป็นปีที่เน้นความสบายใจ ทำอะไรต้องมีความสุข หรือถ้ายากลำบาก ก็จะเป็นเรื่องของการฝึกฝน ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ไม่เครียด ถ้าจะเครียดก็ต้องเป็นความเครียดเชิงบวก มันทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นมาก ชีวิตมีความสุขทุกๆวัน ความสัมพันธ์กับภรรยาก็ยอดเยี่ยม มีช่วงเวลาที่ไม่เข้าใจกันน้อยมาก หลายอย่างต้องอาศัยการวางแผนไว้ก่อน เพื่อรองรับ scenario ต่างๆที่จะทำให้เรารู้สึกไม่ ok ซึ่งมันก็คุ้มที่จะทำ สิ่งที่ช่วยได้เยอะเลยก็คือการกลับมาอยู่กับความรู้สึกข้างในตัวเอง บันทึกความรู้สึกต่างๆไว้ในสมุดบันทึก เช่น สิ่งนี้ หรือ เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้สึกอย่างไร อารมณ์เป็นอย่างไร ผลของการกระทำเป็นอย่างไร มันช่วยได้มากเลย เพราะเราจะรู้ว่าสิ่งไหนทำให้เราทุกข์ แล้วเราค่อยคิดหาทางแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงจากมัน 2. จากข้อ 1 หนังสือที่เราคิดว่ามันดีที่สุดที่เราได้อ่านในปี 2015 ก็คือ The Power of No พลังของคำว่า “ไม่” ของ James Altucher & Claudia Azula Altucher หนังสือเล่มนี้ช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น เค้าสอนให้รู้จักปฏิเสธิสิ่งที่ไม่ใช่สำหรับเรา ไม่ก็สิ่งที่ทำให้เราเกิดพลังงานด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ข่าวสาร ผู้คน ซึ่งการปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่ มันก็จะช่วยเปิดพื้นที่ชีวิตของเราให้ว่างเพื่อต้อนรับการเข้ามาของสิ่งทีใช่ด้วย เราเองก็เลือกมากขึ้นเหมือนกัน ในการคบคน หรือ ทำงานต่างๆ คนที่ทำให้เรารู้สึกแย่หรือเกิด Dark Force เราก็แค่ตัดออกไปจากชีวิต ถ้าอยู่ใน Facebook ก็ Unfollow ไม่ก็ Unfriend ก็เท่านั้นเอง แล้วเพจต่างๆที่แชร์อะไรที่ไม่สร้างสรรค์เราก็ทยอยไป Unlike ออกไป ค่อยๆให้ Algorithm ของ Facebook มันปรับหน้า Feed ให้เป็นสิ่งที่ใช่สำหรับเรามากขึ้น 3. เข้าสู่โครงการ Facebook Detox ด้วยคน โดยไปอ่านเจอจากคุณแชมป์ ทีปกร ก็เลยทำบ้าง โดยลบ FB ออกจาก iPhone รวมถึงโปรแกรม FB Msg ด้วย (เหลือไว้แค่ FB Page Maneger เอาไว้เขียนบทความ) โดยจะเข้ามาเช็คจาก Notebook เท่านั้น ทำให้เรามีเวลา “เหลือ” มากขึ้น ก็เวลาว่างไม่ได้รูดหน้าจอแล้วนินา ซึ่งช่วงหลังๆเราพบว่า Facebook นี่แหละที่เป็นตัวกระตุ้น “ความอยาก” ของเรา เพราะมันเป็นช่องทางของการตลาดชั้นดี ทำให้เราอยากได้นั่น อยากได้นี่ เอาง่ายๆช่วงก่อนที่หนัง Star Wars 7 จะเข้าโรง เราดูใน Group ต่างๆ เห็นของเล่น ของ premium แล้วเราก็อยากได้ แล้วเราก็เสียตังค์ ฮ่าๆ จริงๆ หลังจากที่ทำ Facebook Detox มันก็ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ความอยากได้ต่างๆลดลง เราก็เลยพบว่า อ่อ เราอยู่ห่างจากการตลาดนี่เอง 4. ปีนี้เราให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น หัดโยคะ ยืดกล้ามเนื้อ หัดวิ่ง ไปงานวิ่งระยะสั้นๆมาบ้าง พยายามฝึกวิ่งให้ได้ระยะไกลขึ้นทีละนิดๆ เราพบว่ามันสนุกดี แล้วก็ช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้ดีด้วย เราคิดว่าการมีสุขภาพดีนี่มันดีที่สุดแล้ว ถ้ามีสุขภาพที่แข็งแรง เราจะมีพลังงานในการวิ่งตามความฝันได้อย่างเต็มที่ ถ้าสุขภาพไม่ดี เราก็ต้องแบ่งพลังงานส่วนหนึ่งมาดูแลสุขภาพของเรา ความหวังจะไป Focus อยู่ที่การหวังว่าสุขภาพจะกลับมาดี เราสุขภาพดีมันคือเรื่องดีๆ แต่ถ้าจะดียิ่งกว่าก็คือการที่คนที่เรารักสุขภาพดี อันนี้ยิ่ง Happy ไปใหญ่ เราก็เลยพยายามชวนภรรยาไปออกกำลังกายด้วยกันบ่อยๆ ซึ่งบางทีเราก็ชวนโดยวิธีที่แย่ คือ บังคับบ้าง ทำให้เรารู้สึกไม่ดีเลย หลังๆเราก็เลยต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ในการชวนภรรยาไปเรื่อยๆ ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แต่จะพยายามต่อไป 5. ด้านการเงิน ปีนี้ยังอยู่ที่ระดับ Basic อยู่เลย เก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้เรื่อยๆ เราพบว่าการทำงบประมาณรายรับ-รายจ่าย นั้นสำคัญมากจริงๆ มีหลายเดือนที่เราใช้จ่ายเกินงบประมาณ มันก็ทำให้เราไปดึงเงินที่เรากองๆไว้ใน ATM ออกมาใช้บ้าง อีกอย่างดูเหมือนว่าสิ่งของที่เรามี มันจะเกินระดับคุณภาพชีวิตไปหน่อย ตัวนี้วัดง่ายๆจากค่าเสื่อมราคา เทียบกับรายได้รายเดือนของเรา ลองเอาสิ่งของประเภทที่ต้องซื้อทดแทนหากมันพัง พวกนี้มันจะมีค่าเสื่อม ลองเอามารวมๆดูว่าค่าเสื่อมมันเดือนๆนึงตกเท่าไหร่ แล้วรายได้ของเราเหลือพอเก็บสำรองค่าเสื่อมจำนวนนี้ได้ไหม ถ้าไม่พอ ก็แสดงว่าระดับคุณภาพชีวิตในปัจจุบันเราเกินมาตรฐานไป ฮ่าๆ ก็ต้องมาปรับเข้าสู้สมดุลละครับ แล้วก็ค่อยๆยกระดับไปทีละนิด โชคดีที่ชีวิตไม่เจอ Crash เนอะ 6. การเทรดปีนี้ เป็นกึ่งๆ Passive ละมั๊ง มันก็ทำให้เราสบายใจ ไม่ต้องเฝ้าตลาด มาดูวันละ 2-3 รอบ คอยจับคู่ position ระหว่าง Buy Sell (รวมถึง Virtual Buy Sell) ก็อยู่ในตลาดได้เรื่อยๆ ไม่เจ๊ง เราเรียกมันว่า “กลยุทธ์ขโมยหุ้น” ก็สร้างกระแสเงินสดได้ Smooth ดี เอามาใช้ใน port ทองกับน้ำมัน เล่นกับการแกว่งตัวของราคา ไล่เก็บความผันผวนไปของมันเรื่อยๆ คือว่าต้องขอบคุณพี่เทพ เด่นศรี รวมถึงพี่ๆในห้อง DSM Club และพี่ Top Thana มากๆ ที่เขียนเรื่อง Zone Trading และให้อ่าน Paper เรื่อง DSM ทำให้เราพัฒนามันออกมาได้ อ้อ ที่เราเลือกที่จะเทรดแบบ กึ่งๆ passive เนื่องจาก เราถนัดแบบนี้ มันตรงจริตของเรา พอดีเราไปทำ Test ของ Wealth Dynimics ผลมันออกมาว่าเราอยู่ในโหมดของนักคำนวณ (Steel) เป็นพวกชอบรายละเอียด ชอบถามตัวเองว่าทำอย่างไร? ซึ่งจุดเด่นของการสร้าง Wealth จะมาจากการสร้างระบบโดยที่ตัวเราไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว คือระบบดี เอาใครมาทำก็ได้ ประมาณนั้น ส่วนภรรยาของเราผล Test ก็โหมดเดียวกันเลย เราก็เลยคิดว่าเรามาทางนี้ดีกว่า ส่วนการเทรดแบบอื่นค่อยเป็นตัวเสริมในระบบ ซึ่งพอเราเทรดแบบนี้ เราก็ Happy ดี มีเวลาไปทำอย่างอื่น มีเวลาให้ภรรยา มีเวลาอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย ก็แค่นี้แหละ … ส่วนอีกอย่างที่เรียนรู้ก็คือ ไม่ว่าจะเล่น Cut loss หรือ Hedge การจำกัดความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ ตลาดมันซัดเราช่วงที่เผลอตลอดเลยแหละ … ช่วงปลายปีเริ่มกลับมาศึกษา VI อีกครั้งเนื่องจากงานประจำย้ายสายงานมาอยู่ในโซนของการวิเคราะห์ เลยคิดว่ามันน่าจะเข้ากันได้ดี อีกอย่างเราเองก็อ่อนเรื่องการวิเคราะห์หุ้นด้วยก็เลยลุยทางนี้สักหน่อย ไหนๆก็จะสร้าง Wealth โดยการขโมยหุ้นอยู่แล้ว ก็คิดว่ามันจะเป็นตัวส่งเสริมให้เราเลือกหุ้นที่จะขโมยได้ดีขึ้น 7. หลังจากที่เปลี่ยนตำแหน่งงานประจำแล้ว เรารู้สึก ok ขึ้น เราได้เรียนรู้สิ่งดีๆหลายอย่าง ได้เจอลูกค้าที่ประสบการณ์ทางธุรกิจแน่นปึ๊ก ซึ่งก็ทำให้เราได้ความรู้ ได้เห็นความคิดของเค้า เรื่องงานก็ Happy ดี ถือเป็น Beta อีกสายนึง แถมยัง Support เรื่องสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเต็มที่อีก 8. การมองหน่วยของเงินเป็นหน่วยเวลา จะทำให้เรารู้ว่า เงินมีค่า และช่วยเตือนสติเรายามใช้จ่ายได้ดีขึ้น เช่น รายได้ทั้งปี 360,000 บาท ถ้าเราซื้อ iPhone 6s เครื่องละ 30,000 เท่ากับเราจ่ายเวลาไป 1 เดือน ( หนังเรื่อง In Time สัสๆ) แต่ถ้าเราเอาไปซื้อหุ้น (หรือ Asset อื่นก็ได้นะ) 30,000 บาท ได้ปันผล 3,000 บาท เท่ากับเราได้เวลามา 3 วัน ถ้าอยากมีอิสระ เราก็แค่สะสมเวลา (หรือที่เราเรียกว่า ขโมยเวลา นั่นเอง) 9. ปีนี้ขอบคุณแรงบันดาลใจ ความรู้ พลังงานด้านบวก จากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายๆท่าน คงกล่าวนามได้ไม่หมด ขอบคุณๆๆครับ ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง มีความมั่งคั่ง ร่ำรวยเวลา คิดสิ่งใดของให้มีพลังและปัญญาคว้ามันมาได้ทุกสิ่งครับ สวัสดีปีใหม่ครับ ^ ^

Thursday, December 10, 2015

0422 : Diary 11 ธ.ค. 2558


ช่วงนี้โดนการตลาดของ Star Wars ครอบงำ หมดค่าเสื้อค่างานวิ่งไปหลายบาทเลย ถถถ คิดแล้วว่าต้องเพลาๆหน่อยแระ ไม่งั้นกินแกลบแสบตรูดแน่ๆ

ตลาดไทยช่วงนี้มืดมนน่าดู แต่หุ้นหลายตัวเริ่มลงมาแล้ว สังเกตุจากอัตราเงินปันผลที่สูงขึ้น แต่ก็ยังไม่เท่าตอน sub-prime หรอกนะ ตอนนั้นจำได้ว่าเลือกหุ้นสนุกมาก ไล่จิ้มเลย จะเอาตัวไหน เพราะแต่ละตัวปันผลโหดๆทั้งนั้น 10-15-20% มันแบบถือ 5 ปีปันผลคืนทุนเลย ตอนนี้ยังอยู่แค่ราวๆ 6-10% อยู่นะ แล้วตัวที่แข็งๆ รายได้ดีๆ ก็ยังไม่ค่อยลงเท่าไหร่ ก็รอต่อไป ช่วงนี้ก็เทรด Beta ลดทุนไปเรื่อยๆก่อน ไอ่ Beta ใน port ก็ลงจังลงจริง แต่มองอีกมุมก็คือ เออ ก็ได้เทรดทีละ 10% ของแต่ละตัว เพราะอยู่ใน Zone 3 ทั้งนั้น SAP เก็บ Cash Flow ไปเรื่อยๆ วันไหนที่มันดีดกลับก็จะทำให้ Equity Curve กลับขึ้นมา ตอนนี้ Draw down เก็บ CF รอไปก่อน จริงๆอยากให้เมืองไทยมี option ของหุ้นรายตัวไวไว มันจะได้เติมเต็ม model ของเราให้ครบวงจรเสียที เพราะเราต้องการ short put , short call เพื่อกำหนดรายได้ให้ smooth ขึ้น ซึ่ง DW หรือ Warrant ในตอนนี้เราไม่สามารถเป็นฝั่งขายได้


ความรู้สึกวันนี้ อารมณ์ปกติมาก ตื่นมากง่วงนะ แต่ก็ต้องมาทำงานแหละ จริงๆจะเนียนลาไป Bike for Dad ก็ได้ แต่ไม่ค่อยอยากทำ เพราะงานเข้าอยู่ ฮ่าๆ Case รอวิเคราะห์กองบนโต๊ะเพียบ สัปดาห์หน้าต้องไปอบรมอีก 1 สัปดาห์เต็ม เลย เอาน่ะรีบมาเคลียร์ให้เสร็จดีกว่า

ส่วนเมื่อคืนเทรดทองไป 1 นัด ตาม Grid โดยเข้าตาม MA50 เพื่อ Hedge Equity Curve แล้วก่อนนอนก็ปิดออก เนื่องจากมันไม่ไปไหนเลย คาดว่ารอระเบิดคืนนี้มากกว่า

Monday, December 7, 2015

0421 : Diary 8 ธ.ค. 2558

เมื่อวานดูหนังเรื่อง Limitless แล้วพี่เอก Chaipat แห่ง C-Way ก็มาแนะนำให้ดูซีรีย์เรื่องนี้ต่อเลย ดูไปดูมาก็มันส์ดีนะ
 
เรื่องราวมันก็เกี่ยวกับยาตัวนึง ซึ่งหากกินแล้วจะทำให้สมองใช้งานได้ในระดับสูงสุด จำได้ทุกอย่างที่เคยอ่านมา ซึ่งปกติคนเรา ไม่เคยลืมหรอก แต่แค่จำมันไม่ได้ (เฮีย @Ajakkk เค้าใช้คำนี้) ยานี้ทำให้เราจำมันได้ หนังสือที่เคยเปิดอ่านตอน 8 ขวบ รายการทีวีที่เคยดูตอน 5 ขวบ และทำให้ประสาทการรับรู้เพิ่มสูงขึ้น มองอะไรทะลุปรุโปร่งกว่าชาวบ้าน อะไรงี้ มันคล้ายๆกับเรื่อง Lucy เลย เพียงแต่ยา NZT-48 นี้มันเป็นยาที่ต้องกิน และมีผล 12 ชั่วโมง ส่วนของ Lucy นั้นฉีดไปทีเดียว
 
พอดูหนังจบมาก็นึกถึงการเทรด ซึ่งพระเอกในหนังเองก็โดดเข้าไปใน Wall St. เพื่อสะสมทุนเช่นกัน สิ่งที่ยานี้ทำให้พระเอกทำเงินได้ก็คือ ความจำ การคิดวิเคราะห์ และ สติ ที่ดีกว่ามนุษย์ทั่วไป ซึ่งพระเอกก็พูดว่า ตลาดมันเกี่ยวกับจิตวิทยา 
 
ยา NZT-48 นี้มันทำให้ พระเอกเอาความรู้ที่มีมาใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุน เทรดเดอร์ aka แมงเม่า คือ แมงเม่า อย่างผมเนี่ย มักจะอยู่ในสภาวะ "รู้... แต่ก็ทำไม่ได้" หรือ มีสติ แต่ก็มีช่วงเวลาที่ขาดสติ ด้วย รวมถึงการมีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด 
 
ก็เลยนึกถึงแบบฝึกหัดที่พี่ @Ajakkk ให้ทำ นั่นก็คือการเขียนบันทึกอารมณ์ ความรู้สึก ข้อผิดพลาด และสิ่งที่ได้เรียนรู้ ในแต่ละวันขึ้นมาเลย
 
แม้ในชีวิตจริงเราจะไม่มียาตัวนั้น แต่เราก็ยังพอมีหนทางที่จะพัฒนาตัวเราให้ออกจากสภาวะ "รู้... แต่ก็ทำไม่ได้" อยู่
 
ว่าแล้วก็สู้กันต่อไป...

Thursday, December 3, 2015

0420 : Diary 3 ธ.ค. 2558

 
พี่สหาย @Ajakkk บอกให้แบ่งการเทรดในแต่ละวันออกเป็น 3 แบบ คือ
 
1. วันที่เทรดได้ดี
2. วันที่เทรดได้ธรรมดา
3. วันที่เทรดได้แย่
 
แล้วบันทึกความรู้สึกของวันเหล่านั้นดูว่า วันนั้นเรามี Feeling อย่างไร อารมณ์เป็นแบบไหน มันส่งผลต่อการตัดสินใจของเราอย่างไร
 
วันนี้เป็นวันที่เทรดตลาดไทยได้ดีเลยแหละ อาจจะเป็นเพราะโชคดีด้วยมั๊ง วันนี้วันเดียวได้ CF มากกว่าเดือนที่แล้วทั้งเดือน ทั้งๆที่ความรู้สึกตอนเช้าไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ เนื่องจากเมื่อวานประชุมยาว กว่าจะกลับถึงบ้านก็ 3 ทุ่มกว่า แล้วก็เข้านอน ไม่ได้อ่านหนังสือ หรือ ทำอะไรอย่างอื่นที่อยากทำ เช่น โยคะ หรือ นั่งสมาธิ เลย ทำให้รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ รู้สึกตำหนิตัวเองอยู่ลึกๆว่า เราเป็นคนไม่ค่อยมีวินัยหรือเปล่า ทำไมเราเมื่อวานเราไม่ได้ทำสิ่งที่เราตั้งใจไว้ล่ะ พอตื่นเช้ามาก็ไม่ได้ไปวิ่งอีก ไปทำงานก็มีเรื่องให้หงุดหงิดนิดหน่อย แต่มาดูตลาดไทยก็ Gut ล้วนๆเลย ไม่ได้เปิดกราฟดูหรอก เข้าไปเทรด อาจจะเป็นเพราะกำไรจาก positions ที่ทิ้ง SAP ไว้ก็ได้ วันนี้มองว่ามันกำไรเป็น % ที่เราพอใจ เราก็เลยไปรับกลับ ช่วงก่อนปิดเที่ยง กับช่วงเปิดเที่ยง แล้วตลาดก็เด้งยาวจนมาเขียวซะงั้น ก็เลยรู้สึก Happy นะวันนี้ ไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว

Sunday, November 22, 2015

0419 : Diary 23 พ.ย. 2558


เช้านี้ตื่น 5:15 น. ไปวิ่งจ็อกกิ้ง ตั้งเป้าว่าจะวิ่ง 7 km สรุปก็วิ่งได้ตามที่ตั้งเป้านะ km แรกๆจะรู้สึกหน่วงๆร่างกายมาก พอพ้นระยะสำออย 3 km แรกไปตัวก็จะเบาขึ้น

การวิ่งมันเหมือนได้ปลดปล่อย ทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย ถ้าไม่ได้ออกกำลังหลายๆวันติด จะรู้สึกอึดอัดและหงุดหงิดง่าย ก็เลยเป็นเหตุให้ตื่นมาวิ่งช่วงเช้านี่แหละ ซึ่งมันก็ต้องแลกมาด้วยการไม่ได้ไปทำงานพร้อมภรรยา คือให้ภรรยาขับรถยนต์ล่วงหน้าไปก่อน แล้วเราก็ขี่มอไซด์ไปเอง

แรกๆมันก็ทำให้เรารู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ได้ไปส่งภรรยา ต้องขอให้ภรรยาขับรถไปเอง แต่เราก็ต้องเลือก เราก็ตระหนักว่า เราไม่สามารถทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน จะออกกำลังกายก็อดขับรถไปส่ง ส่วนถ้าจะวิ่งช่วงเย็นก็ไม่มีความแน่นอนอีก วันไหนเลิกเย็นก็อดวิ่ง เหนื่อยกับงานก็ไม่มีอารมณ์วิ่ง

เราก็เลยใช้วิธีกำหนดเวลาช่วงเช้านี่แหละ น่าจะ ok สุด ช่วงก่อนหน้านี้เราก็วิ่งช่วงเช้าเหมือนกัน แต่เราต้องกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปส่งภรรยาให้ทันตอน 7 โมง ซึ่งมันทำให้วิ่งได้ไม่เต็มที่ จะให้ตื่นตี 4 มาวิ่งก็จะทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ

สุดท้ายก็ลองมาเลือกทางนี้แหละ ตื่นตี 5:15 อาบน้ำแต่งตัวออกวิ่งจนถึงราวๆ 7:20 กลับห้องมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานราวเกือบ 8 โมง มันก็ลงตัวเลย

Monday, November 16, 2015

0418 : Diary 16 พ.ย. 2558


วันนี้ตลาดไทย ลงมาให้เรารับหุ้นกลับเข้าพอร์ต แต่ก็ลงไม่สะใจเท่าไหร่ ช่วยบ่ายก็เด้งขึ้นไปปิดบวกซะงั้น ฮ่าๆ

จริงๆก็คิดเหมือนกันนะ ช่วงเย็นเมื่อวานก็มีแต่คนมองว่าตลาดจะแดง ตอนเช้าก็มองว่ามันจะแดง แล้วแบบนี้ใครจะเป็นคนซื้อ สรุปไม่มีใครซื้อจ้าวเลยลากโชว์ซะเลยมั๊ง

ถ้าอ่าน step ต่อไปมองว่า... น่าลากขึ้นไปต่อสักระยะ ให้เม่าหายกลัวกันก่อน พอโลภเข้าไปไล่ราคาปุ๊บ ก็ทุบให้ติด Stun ไปเลย จะได้ Cut loss ไม่ทัน โดนขังไว้ข้างบน

ส่วนเราก็เล่นตาม Step ต่อไป ขึ้นก็ตาม Mark จุดทีละนิด ลงก็ SAP เก็บ CF แต่ช่วยทีมันนิ่งๆ ก็มีโดนหลอกเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าหลอกเราแค่ในกรอบเล็กๆ ทำให้เก็บ CF ไม่ค่อยได้ แล้วก็มีทำหุ้นหลุดออกจาก port ไปบ้าง แต่พอมันกลับมามีการเคลื่อนไหว ก็ทำให้ CF ออกจากระบบมาเหมือนกัน

บางทีมันก็คือตัวเรา ใจเรานี่แหละ ที่ใจร้อน รอไม่ไหวเอง ระบบมันก็ทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ

Monday, November 9, 2015

0417 : Diary 10 พ.ย. 2558


วันนี้ครบรอบแต่งงาน 2 ปี เลยมานั่งนึกย้อนไปหน่อยว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง ชีวิตแต่งงานจะมีความสุขหรือเปล่านี่มันขึ้นอยู่กับคู่ชีวิตของเราเลยนะ ถ้าเลือกคู่ดีๆ ก็เป็นศรีแก่ตัว ชีวิตจะแฮปปี้ ไม่ต้องคอยปวดหัว ตั้งแต่แต่งงานมาก็ยังไม่เคยทะเลาะกันสักครั้งเลย แต่ก็มีหงุดหงิดบ้างนิดๆหน่อย แต่พอคนนึงเริ่มร้อน อีกคนก็จะเย็น ไม่ทำตัวให้เกิด ร้อน vs ร้อน ชีวิตคู่มันก็เลยราบเรียบ และ เรียบง่าย แบบนี้แหละ

ถ้าพูดถึงเรื่องการอยู่ในตลาดแล้ว คู่ชีวิตดีๆเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าเกิดทะเลาะกันบ่อยๆ mental เสียนี่คงอยู่ในตลาดลำบากน่าดู flow คงจะเกิดลำบากอ่ะนะ

0416 : Diary 9 พ.ย. 2558


สัปดาห์ก่อนไปนั่งคุยกับลูกค้า เจ๊คนนี้เคยเขียนถึงเค้าไปครั้งนึง ครั้งนี้เค้าก็ยังเจ๋งสุดๆเหมือนเคย ทำธุรกิจแบบเจ๋งมาก เพิ่ม Value ให้ลูกค้าตลอด เค้าคิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ครั้งนี้เค้าเตรียมตัวออก product ใหม่มา ซึ่งคาดว่าขายดีแน่ๆ เพราะแหย่ไปแล้วตลาดตอบรับดีมากๆ เรานี่ได้แต่อึ้ง สุดยอดไปเลย เสียดายเอามาเขียนเล่าแบบเต็มๆไม่ได้ เพราะเป็นความลับทางธุรกิจของลูกค้า

แต่สิ่งที่เค้ามองหาอยู่เสมอก็คือ จะช่วยให้ลูกค้าได้ประโยชน์มากขึ้นได้อย่างไร พอเค้าหาเจอ ลูกค้าก็ยินดีจ่ายเงินให้เค้านั่นเอง ก็เป็นเช่นนี้แล...

Saturday, November 7, 2015

0415 : Diary 7 พ.ย. 2558


วันนี้ไปตรวจสุขภาพประจำปีมา ทั้งเราและภรรยา ok ทั้งคู่เลย มีเรื่องคอลเรสเตอรอลเพิ่มขึ้นนิดหน่อย ปีนี้น่าจะกินหมูกรอบเยอะขึ้น ฮ่าๆ ควรเพลาๆลงบ้างละ ส่วนไขมันดีเพิ่มขึ้น จากการออกกำลังกายมากขึ้นมั๊ง ของเรายังคงมีไขมันพอกตับอยู่ หมอนัดอัลตร้าซาวด์ใหม่อีก 3 เดือน มาดูอีกที ก็ ok แหละ จะจัดเวลาออกกำลังกายให้เยอะขึ้น

เราดีใจนะที่ร่างกายยังแข็งแรงสมบูรณ์อยู่ เลยเขียนบันทึกไว้สักหน่อย ตอนแรกก็ยังไม่ค่อยอยากไปตรวจเท่าไหร่ มันก็ความกังวล ความกลัวนั่นแหละ (ก็เป็นอย่างนี้ทุกปี) สุดท้ายก็ต้องก้าวผ่านมันไปเพื่อไปเจอกับความจริง

ค่าตรวจแม่มใช้ได้เลยนะ 2 คน จ่ายไปร่วม 20,000 บาท ดีว่าเบิกได้ ไม่งั้นขนหน้าแข็งมีร่วงบ้างละ เราก็เลือกไปโรงบาลที่เราขโมยห้นฟรีทำ pure alpha อยู่นั่นแหละ 555

Wednesday, November 4, 2015

0414 : Diary 4 พ.ย. 2558


จู่ๆก็อยากจะเขียนอะไรสักหน่อยก่อนนอน

วันนี้ช่วงหัวค่ำลองเทรด active ดู ก็ปล่อยไปตามหัวใจ เก็บไป 7 นัดจาก ทอง product เดียวเลย ก็สนุกดี คือเรามี positions long อยู่แล้ว ก็ดีหน่อยทำให้เราแค่รอ short อย่างเดียว สบายๆไป แต่จังหวะยังไม่ค่อย ok เท่าไหร่ คือมันชอบ ปิดแล้วแม่มวิ่งต่อ ทำให้เราเจ็บใจเล่น 555 ไว้ว่ากันใหม่

อืม... มันเป็นการกลับมาเทรดอีกครั้งในรอบ...หลายๆๆ อะไรดีหว่า น่าจะเป็นเดือนๆละมั๊ง ที่กลับมาอยู่กับตลาดด้วยตัวเอง เพราะที่ผ่านมายกหน้าที่ให้กับ ระบบ ไป บางทีเราอาจจะ "กลัว" การอยู่ในตลาดมั๊ง กลัวแพ้ กลัวอับอาย แต่สุดท้ายมันก็ต้องละเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นแล้วก็ก้าวไปกับมัน

เรื่องชีวิต เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่ไม่ทำให้เราทุกข์ ถ้าสิ่งไหนจะทำให้เราทุกข์ หรือ ลำบาก สิ่งนั้นมันควรจะต้องทำให้เราเติบโตหรือเป็นประโยชน์แก่เรา อ่อ อีกอย่างก็คือ เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจากคนที่มีพลังงานด้านลบ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลย

Monday, November 2, 2015

0413 : Diary 3 พ.ย. 2558


ช่วงนี้งานเยอะนิดนึง ไม่ได้วิ่งมาหลายวัน เมื่อวานเลยวิ่งไป 9.5 km สบายตัวเลย พี่สหายแนะนำว่าการออกกำลังกายนั้นช่วยสลายอารมณ์ด้านลบได้ (ไอ่ข้อสอบ O-net ที่บอกว่า มีอารมณ์ทางเพศแล้วให้ปเตะบอลนั้น จริงๆแล้วก็ใช่นะ 555) เราเองก็อารมณ์ไม่ค่อย ok เท่าไหร่มาสักพักละ ใครพูดอะไรก็ไม่ต่อยเข้าหูเมื่อไหร่ มันอาจจะเกิดจากการ lagging ของอารมณ์อ่ะนะ ในเรื่องของอความคาดหวัง ความผิดหวัง หลายๆเรื่องสะสมทีละนิดละหน่อย พอออกวิ่งไปก็สบายตัวสบายใจ กลับมาสู้ใหม่ได้

ส่วนเรื่องการเทรด เมื่อสัปดาห์ที่แล้วซื้อหนังสือ The Millionaire Master Plan ของ Roger James Hamilton ซึ่งค่าย S2M เอามาแปลไทย หนังสือเล่มนี้มันเจ๋งดีนะ สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไร หรือชอบอะไร พอเราได้อ่าน ได้เข้า web ไปทำแบบทดสอบก็รู้สึกเข้าใจตัวเองมากขึ้น เออ ทำไมเราเทรดแบบนี้แล้วเราทำได้ดี เทรดอีกแบบเข็นยังไงก็ไม่ไป สรุปแล้ว เราอยู่ในฝั่งของการคำนวณ ฮ่า ถึงว่าทำไมชอบแนวๆนี้ ชอบทำกำไรจากการออกแบบระบบบัญชี จับคู่ matching ระหว่าง positions ใน port ไปเรื่อยๆ เหมือนเล่น solitaire

พอรู้อย่างนี้สมองมันก็เคลียร์ขึ้นเลย จะได้มุ่งเสริมจุดแข็งของเราไปเรื่อยๆ อะไรที่มันไม่ใช่ก็ละทิ้งมันไป จะได้ใช้พลังไปกับการ Focus สิ่งที่เราถนัด...

Friday, October 16, 2015

0412 : DSM Lab 3


มา update port dsm lab กันต่อ วันนี้หุ้นตัวนึงเปิดโดดแล้วทุบลงมา ทำให้เรามี bullet zone 8 ที่ตั้งทิ้งไว้ match ขายออกได้ที่ high แล้วก็ลงมาให้เรารับกลับ ซึ่ง zone 8 bullet 1 ของเรานั้นถ้ามันยังไม่ไปต่อเราก็รับกลับมาก่อนเพื่อเป็นโอกาสอีกครั้ง

ส่วนอีกตัวเมื่อวานเบลอๆเคาะผิดขายเกินไป 1 bullet วันนี้รับกลับคืนมาได้ แก้ตัวได้แล้ว ฮ่าๆ เล่นทีละนิดมันก็ดีแบบนี้แหละ เคาะผิดก็ยังเจ็บนิดๆ คันๆ

วันจันทร์ก็มาดูกันต่อว่าตลาดจะไปทางไหน ถ้าลง เราก็จะขายลงไปด้วย แต่ถ้าขึ้นปล่อยมันไป เราใช้ R2D2 mark จุดสำรวจ ทำ position บูชยัญตลาดไว้เรื่อยๆก็พอ

มีตัวที่ซื้อด้วยกระแสเงินสดแฝงอนาคต มัน swing ให้เราปล่อยแล้วก็ swing กลับ เราก็ใช้ future cf เคาะไปอีก 1 bullet ตอนนี้ future cf เลยติดลบอยู่ 55 บาท เด๋วก็แก้ไขต่อไป ซึ่งจริงๆมันก็ share ทรัพยากรจาก cash reserve ของ zone 3 ไว้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้น่ากังวล แต่พยายามรักษาวินัยดีกว่า



Wednesday, October 14, 2015

0411 : DSM Lab 2


มาต่อกันที่ port dsm lab นะครับ วันนี้เกิด transactions 4 รายการ มี CF เกิดขึ้น 1 รายการ แล้วก็ใช้กระแสเงินสดแฝงในอนาคตเก็บหุ้นเพิ่มอีก 1 ตัว เป็นการขยาย port ซึ่งจะเก็บทีละนิดๆไปเรื่อยๆจนครบตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่ถ้ามีจังหวะ trading ได้ก็เทรดไปตามปกติ

ส่วน nav วันนี้ ก็ยังคงบวกต่อไปนั่นแหละ ถือว่าโชคดีด้วยละมั๊ง


กระแสเงินสดแฝงในอนาคตนั้น อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อวานคือ สมมติขายออกที่ 5 บาท รอรับคืนที่ราคา 1 บาท เท่ากับหากว่าเรารับคืนได้ จะมีกระแสเงินสด 4 บาทต่อหุ้น แต่การนำกระแสเงินสดในอนาคตมาใช้ก็คือ เรารู้ว่าเราต้องมีเงิน 1 บาทเพื่อรับหุ้นคืน แต่ ณ วันนี้เนี้ย เราสำรองเงินไว้ตั้ง 5 บาทแนะ เราก็เลยเก็บ 1 บาทนั้นสำรองไว้ แล้วเรียก 4 บาทที่เหลือว่ากระแสเงินสดแฝงในอนาคต

การเอามาใช้ก็คือ ปกติผมทิ้ง 75% ของ CF ไว้ในระบบ อีก 25% จะ cash out ออกจาก port ผมก็เลยใช้แบบเดียวกันคือ กระแสเงินสดแฝงในอนาคต 4 บาท ผมก็จะใช้แค่ 75% ของมัน = 3 บาทในการเอาไปมองหาหุ้นตัวที่ lagging กันสักหน่อย (จริงๆก็ไม่ต้องซีเรียสก็ได้ เพราะอะไรมันก็เกิดขึ้นได้อ่ะนะ วันนี้มัน lag วันหน้ามันอาจจะโดนทุบลงมาพร้อมกันก็ได้) แล้วก็ขยายไปเก็บอีกตัว มันก็จะกลายเป็นชิ้นส่วนๆนึงของเครื่องผลิต CF เครื่องใหม่ของเราครับ

Tuesday, October 13, 2015

0410 : DSM Lab


มีผู้ใหญ่ใจดี ให้เงินมา 50,000 เพื่อเทรด DSM ในแนวทางของผมให้เขา เป้าหมายก็คือ การสะสมหุ้นเพื่อรับเงินปันผล เพิ่มปริมาณหุ้น และ เพิ่มจำนวนหุ้นจาก CF ที่ทำได้

โดยผมตั้งเป้า CF+เงินปันผล ประมาณ 20% ต่อปีขึ้นไป ต้องลองดูว่าจะทำอย่างไร ซึ่งหากระบบลงตัวเมื่อไหร่ก็จะส่งต่อให้น้องชายของผมดูแลต่อครับ เพื่อฝึกให้เค้าใช้ระบบไปด้วยอีกทางหนึ่ง

มาวันนี้ผมก็เลยอยากบันทึกไว้ใน blog ด้วย ว่ามันเป็นไปอย่างไร หรือ เราจะทำอะไรกับมันบ้าง

DSM สำคัญตรงที่ระบบบัญชี ก่อนอื่นก็มาดูระบบบัญชีก่อน ซึ่งผมใช้ Trade Log ของ KZM ที่แจกกันใน pantip นะครับ แล้วก็เอามาปรับปรุงเพิ่มนั่นเพิ่มนี่เข้าไป ซึ่งก็เพิ่มไปหลายช่องเหมือนกัน พวกข้อมูลที่จำเป็นต้อง monitor



พอเลือกหุ้นเสร็จเราก็จะมาวางโครงคร่าวๆของ Formation 3-0-2-8 ก่อนนะครับ เพื่อรับมือหากว่าเคาะขวาปุ๊บดอยปั๊บอะไรงี้


พอวางโครงคร่าวๆเสร็จก็ถึงเวลาเก็บหุ้น แล้วก็เทรด เทรด เทรด ต่อไปนั่นแหละครับ

โดยที่หลักของ DSM ก็มีดังนี้ครับ

1. เขียวซื้อ แดงขาย
2. ซื้อให้ถูกกว่าขาย
3. มิติของเวลาเป็น infinity
4.กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง
5. Formation 3-0-2-8
6. การขายขขึ้น 1% และ การขายขาลง 10%
7. การซื้อหุ้นคืน 3 แบบ ซื้อคืนทุก...ช่อง , ซื้อคืนหากรวบได้ 3 zone , ซื้อคืนเมื่อเด้งจาก bottom...ช่อง

DSM จะเป็นการขายแล้วซื้อคืน จะรับรู้กำไรเมื่อซื้อคืนได้ เช่น ขายหุ้นออกไป 10 บาท แล้วรับหุ้นคืนได้ที่ 8 บาท ก็จะบันทึกกำไรที่ 2 บาท ต่างจากการบันทึกบัญชีแบบ ซื้อแล้วขายตามปกติ เช่น ซื้อ 10 ขาย 11 เท่ากับกำไร 1 บาท แต่ DSM จะทำกลับด้านกัน ซึ่งจะช่วยให้ mental ของเรากล้าซื้อเวลาที่ราคาลงมาแรงๆแล้วเกิดความกลัว

แต่ละวันเราก็จะมานั่งวางแผนว่าหากหุ้นขึ้นเราจะทำอะไรบ้าง หุ้นลงจะทำอะไร ซึ่งจะใช้เวลาไม่มากเลย แป๊บเดียวเสร็จ ส่วนการลงบัญชี ก็ควรทำให้เรียบง่ายที่สุด พี่เทพ (เด่นศรี) เจ้าสำนักเองได้บอกไว้ว่า "หากเราทำ DSM เพื่อคนที่เรารัก (เช่น ภรรยา หรือ ลูก) เราจะทำให้ DSM มันง่ายขึ้นๆ ถ้าเราทำ DSM เพื่อตัวเอง เราจะทำให้มันยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งของผมเอง ก็ยังถือว่าซับซ้อนอยู่ ทำไปๆคงจะตัดทอนมันให้เรียบง่ายขึ้นได้นะ


ทีนี้มาเรื่องเทรด ถ้าผมเข้าซื้อหุ้นแล้วหุ้นลงไป 2 ช่อง มันก็จะเข้าแผนของ Zone 3 ซึ่งเราก็จะขายขาลงทีละ 10% ของหุ้นทีมีในมือ ถ้าราคายังลงต่อก็ขายอีก 10% ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆหากหุ้นลงแรงจริง เราก็จะขายจนหมดมือ หุ้นหยุดลงเมื่อไหร่ก็รับคืนที่เคยขายไป

แต่ถ้าหากว่าแรกสุดเราซื้อแล้วหุ้นวิ่งขึ้นเลยก็ดีครับ จะเข้าสู้ Zone 2 ซึ่งเป็น Zone ของการ Trading เก็บความผันผวนไปเรื่อยๆ ขึ้นขาย ลงรับกลับ ตรงนี้ผมจะแบ่งโซนให้ถี่ๆ โดยใช้จำนวนหุ้น 20% ของหุ้นที่เหลือในมือมากระจายโซนเทรดครับ ซึ่งพอมันหลุดจาก Zone 2 ไปมันก็จะเข้า Zone 8 คือ Zone in the money ของเรานั่นเอง

Zone 8 คือ พื้นที่กำไรของเรา หากเราปล่อยหุ้นตรงนี้ การรับคืนหุ้นจะไปรับคืนในจุดที่ต่ำมากๆ พี่เด่นศรีใช้คำว่าจะเอากี่ % ก็เลือกเอาได้เลย เช่นหากเราไปปล่อยหุ้นไว้ที่ 5 บาท แล้วเราไปรับคืนที่ 1 บาท เราจะกำไร 400% เลยทีเดียว

แต่อาจจะมีคนสงสัยว่า แล้วหากมันไม่ลงมา ก็รับคืนไม่ได้ แล้วเงินที่ขายออกแล้วสำรองรอซือคืนมันก็นอนนิ่งน่ะสิ มันก็จะมีวิธีจัดการมันอยู่ครับ เรียกว่ากระแสเงินสดแฝงในอนาคตนั่นเอง


วันนี้ดึกแล้วเข้านอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้พบกันใหม่ ราตรีสวัสดิ์ครับ

Wednesday, October 7, 2015

0409 : แรงเสียดทานจากคนรอบข้าง

 
มีน้องคนนึงมาปรึกษาเรื่องแรงเสียดทานจากการเป็นเทรดเดอร์ อาชีพเทรดเดอร์อิสระเป็นอาชีพที่โดนสังคมมองด้านลบบ่อยๆ อย่างผมเองก็โดนมาบ้างแต่โดนไม่หนักเท่าไหร่ เพราะยังทำงานประจำบังหน้าอยู่ ถ้าพูดกันตามตรงพ่อกับแม่ของผมก็ไม่ได้สนับสนุนเลย มีแม่ของผมที่ช่วยให้ยืมชื่อเปิดบัญชีในตอนแรกๆของการเริ่มต้นลงทุน ส่วนพ่อนั้นก็บอกตลอดว่าให้เพลาๆบ้าง ตลาดหุ้นมันผันผวน... "ผันผวน" อืม... สำหรับตัวผม ผมก็คิดในแง่บวก เพราะ model ที่ใช้นั้นเล่นอยู่กับ Volatility อยู่แล้ว เออ ก็นึกว่าพ่ออวยพรให้ทำมาค้าขึ้นก็แล้วกัน
  
ส่วนคำดูถูกต่างๆจากคนอื่นก็โด๊น โดนเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำ แต่ดันอยากวิจารณ์ ซึ่งบางทีมันก็สร้างพลังงานด้านลบขึ้นมาเหมือนกัน แต่ก็แก้ไขโดยการเข้าใจตัวเองให้มากๆ เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
  
ผมนึกถึงประโยคในหนัง Million Dollar Baby ที่พี่เวบ พรชัย รัตนนนทชัยสุข เอามาเขียนใหม่เป็น “It's the magic of risking everything for a dream that nobody sees but you”  หรือ "ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็น"
  
แบบว่ามันใช่อ่ะ! ความฝันของเรา เริ่มแรกอาจจะมีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น แต่หากเราทำมันสำเร็จ คนอื่นๆก็จะได้เห็นมันด้วย ไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงมาก แค่ลงมือทำต่อไปก็เท่านั้นเอง
  
ถ้าเราเข้าใจตัวเอง มีเป้าหมายที่ชัดเจนพอ เสียงจากภายนอกเหล่านั้นจะส่งผลต่อเราน้อยลง หรือเราอาจจะไม่ได้ยิน ไม่ก็มองมันเป็นเรื่องขำๆก็ได้นะ เพราะงั้นหลักของเราต้องชัดเจนและมั่นคงมากพอละมั๊ง

Tuesday, October 6, 2015

0408 : Diary 7 ต.ค. 2558


วันนี้ตื่นตี 4:50 ไปวิ่ง วิ่งได้ 1 ชั่วโมงเต็ม พักจิบน้ำทุก 800 เมตร วิ่งประมาณ Pace 10 นิดๆ ซึ่งก็เป็นการฝึกที่พี่สหายแนะนำ โดยให้วิ่งช้าๆให้ Heart Rate อยู่แถวๆ Zone 2-3 เพื่อสร้างความอึดก่อน โดยให้วิ่งแบบนี้ไปเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยให้สลับระยะเวลาการวิ่งระหว่าง 1 ชั่วโมง วันถัดไป 1 ชั่วโมงครึ่ง สลับกันไป

เราเองก็จะตื่นให้เช้าขึ้นอีกนิดในวันพรุ่งนี้ ปกติถ้าวันไหนวิ่งก็จะตื่นตี 5 แต่หากฝึกแบบนี้ก็ต้องสลับวัน อีกวันต้องตื่นให้ไวขึ้นครึ่งชั่วโมงเป็นตี 4 ครึ่ง เพื่อที่จะกลับมาให้ทันขับรถไปทำงานพร้อมภรรยาตอน 7 โมง เราเองไม่ได้คิดว่าเหนื่อยอะไร คิดว่าเป็นสิ่งที่เราอยากทำ เป็นเป้าหมายของเรามากกว่า เราอยากมีสุขภาพแข็งแรง อยากออกนอก comfort zone อยากวิ่งมาราธอน อยากลงไตรกีฬา

ที่ต้องออกวิ่งตอนตี 5 ก็เพราะมันเป็นเวลาที่อิสระดี ตอนเช้าไม่ค่อยมีอะไรมารบกวน ถ้าเราวิ่งช่วงเย็น มันควบคุมไม่ค่อยได้เท่าไหร่ บางวันอยากออกกำลังกาย แต่ดันงานเข้าช่วง 4 โมงเย็น ต้องทำงานต่อเนื่องถึง 6 โมง ถึงทุ่ม พอเลิกงานค่ำ บวกกะภาระต่างๆ ก็เหนื่อยไม่อยากวิ่งแล้ว ก็เลยคิดว่าวิ่งตอนเช้าเป็นหลัก แต่หากวันไหนได้วิ่งช่วงเย็นก็ถือเป็นโบนัสแบบนี้ดีกว่า จะได้วิ่งอยากมีความสุขและไม่เครียด

ส่วนตอนช่วงดึกก่อนนอนก็จะเล่นโยคะเพื่อยืดกล้ามเนื้อ เพราะเรามีปัญหาเรื่องออฟฟิศซินโดรมอยู่ ก็อาการปวดคอ ปวดบ่า ไหล่ สะบัก นั่นแหละ ก็ต้องยืดมันทุกวัน มันก็ช่วยได้ดีเลยแหละ ส่วนใหญ่ก็เปิดใน youtube ของโยคะครูเจี๊ยบ แล้วก็ฝึกทำตาม พอโยคะเสร็จก็จะเปิดพวกคลิป core exercise แล้วก็ทำไปพร้อมๆกับคลิปเลย ไอ่พวก no rest นั่นแหละ ส่วนใหญ่คลิปนึงก็ 5-10 นาที แรกๆเราก็ทำตามได้แค่ 2 นาที เมื่อคืนก็ตามได้เป็น 5 นาทีครึ่งแระ ฮ่าๆ เห็นความพัฒนานิดนึง

นี่ก็คือการเดินทางด้าน Physical Health ของเราแหละ ซึ่งเราก็ยังมีสิ่งที่ควรปรับปรุงอีกหลายเรื่องเลย เช่นพวกการอาหารการกิน รวมถึงการนอนด้วย ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป


วันนี้เขียนแต่เรื่องสุขภาพเลย จริงๆว่าทำ spin off blog ออกไปเขียนเรื่องการเดินทางด้าน Physical Health ของเราโดยเฉพาะเหมือนกัน แต่กำลังคิดชื่ออยู่ ฮ่าๆ กะจะเขียนเกี่ยวกับการฝึกฝนออกกำลังกายประจำวัน การเดินทางจนถึงไตรกีฬาหรือฟูลมาราธอนอ่ะนะ จะได้เป็นการ focus กะเป้าหมายด้วย

Monday, October 5, 2015

0407 : Close System


วันนี้เห็นพี่ Tawan Ubonboy ทำ Event เกี่ยวกับ Close System ใน Facebook group "Road to Trader" เลยอยากจะเขียนถึง close system ในมุมมองของเราสักหน่อย

close system ในมุมที่เราเข้าใจก็คือระบบปิด ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาเงินจากภายนอกอีก มองเงินก้อนนั้นเป็น department นึงไปเลย จากนั้นก็มองรายได้จากเงินก้อนนั้นเป็น cash flow on investment

พอสร้างรายได้ได้ตามเป้า อาจจะเท่ากับทุนตั้งต้น ก็แบ่งออกไปทำอีก department นึงเพิ่ม เราก็จะมี close system 2 แผนก แล้วก็เพิ่มเป็น 3 - 4 -5 ... ไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากทุนตั้งต้นแค่ก้อนเดียวนั่นแหละ ซึ่งจริงๆมันก็เหมือนทำการค้าทั่วไป บางคนอาจจะไม่ได้เพิ่ม department จาก 1 เป็น 2 แต่ใช้เป็นการขยาย volume ก็ได้เหมือนกัน เช่น ปกติเทรดครั้งละ 1 สัญญา พอพอร์ตมี Equity double ก็เพิ่มขนาดสัญญาเป็น 2 เท่าเช่นกัน แบบนั้นก็ได้ แล้วแต่ถนัด แต่เราชอบการขยาย department มากกว่าเนื่องจากต้องการกระจายความเสี่ยงและเล่นกับ correlation

ทีนี้การทำ close system เริ่มจากอะไรดี

สิ่งแรกที่ควรรู้ก็คือ
1. รู้ว่าเรามีเงินทุนเท่าไหร่
2. รู้ว่าจะเทรดอะไร
3. รู้ว่า product นั้นควรจะเทรดอย่างไร
4. รู้ว่า expectancy ของเราเป็นบวกหรือไม่


เงินทุนสำคัญ เพราะ การที่เราเลือกทำ close system มันต้องเชื่อมโยงทุกอย่างที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ มีเงิน 100$ , 1000$ , 10000$ เทรดต่างกัน จากนั้นก็จะมาหา product ที่จะเทรด ซึ่งควรจะเป็นตัวที่มี discount เพราะจะเพิ่มความได้เปรียบให้เรา (รอให้มันลงสุดก่อนก็ดี จะได้ไม่เป็นการรับมีดนะ อันนี้เจ็บด้วยตัวเองมาแล้ว - -a)

product นั้นควรจะเทรดอย่างไร จะใช้ leverage เท่าไหร่ 1:1 เลยไหม หรือ 1:2 , 1:3 ... ? ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับมองกรอบราคาว่าเราจะเล่นกรอบไหน ตัว product มันแกว่งเท่าไหร่ เราจะเล่นสั้นเล่นยาวอย่างไร ? ความผันผวนเทียบกับเงินที่ใช้ต่อกระสุน 1 นัด คุ้มค่าหรือไม่เมื่อเทียบกับตัวอื่น

leverage อาจจะไม่คิดเป็นเท่าก็ได้ แต่คิดเป็น % แทน เช่น น้ำมัน 0.01 lot = $500 ถ้าเราวางเงิน 400$ เท่ากับว่าเราใช้ leverage 20% หรือจะว่า $450 ก็เท่ากับเราใช้ leverage แค่ 10% แบบนี้ก็ได้ ไม่รู้ว่าภาษาทางการเขาเรียกว่าอะไรเหมือนกันนะ แหะๆ

การใช้ Leverage ใน close system ก็เหมือนหมัดไคโอของโกคู ซึ่งใช้จำนวนเท่ามากเกินไปร่างกายยิ่งแบกรับภาระหนัก ในการทำ close system ถ้าใช้ Leverage สูงหน่อย โอกาสได้ผลตอบแทนสูงก็มี แต่พอ loss ก็เสี่ยงโดนล้างพอร์ตมากขึ้น ซึ่งเราต้องอย่าลืมว่าการทำ close system นั้น ทำเพื่อเป็นรากฐานของ portfolio เป็น base เพื่อหา cash flow ให้พอร์ตตราบเท่ายังมีระบบทุนนิยม ซึ่งผลตอบแทนใน level นี้จะไม่เฟี้ยวฟ้าวเท่าไหร่ แต่ต้องมองว่า มันเป็นเพียงฐานเท่านั้น ถ้าฐานแน่น แล้วเราจะต่อยอดยิ่งง่าย level ถัดไปจะมีอะไรให้เล่นอีกเยอะ เพราะจะเริ่มใช้ leverage บนทำกำไรจาก close system พอร์ตนี้นี่เองเงงๆๆ

ส่วนการจะเทรดอย่างไร เทรดสั้นเทรดยาว ก็สุดแล้วแต่ที่จะออกแบบระบบเลยครับ ต่างคนก็แตกต่างกันไป จะใช้ bridge หรือ จะใช้อะไรก็ว่ากันไป เล่นแบบที่ตัวเองถนัดนั่นแหละดีที่สุด แต่ที่เกริ่นเกี่ยวกับ expectancy ไว้ก็คือ อยากให้เรามี expectancy เป็นบวกก่อน เพื่อที่จะคอนโทรลเงินก้อนที่เอามาทำ close system ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบ close system นั้นมัน ออกแบบมาเพื่อให้การเทรดมีเสถียรภาพ ซึ่งประสิทธิภาพอาจจะไม่สูงที่สุด เราก็ต้องค่อยๆเพิ่มให้มัน อาศัยการรู้จักตัวเอง เห็นจุดอ่อนก็ลดทอนมันลง เสริมจุดแข็ง (มันก็มาจากไดอารี่อีกนั่นแหละ)

ส่วนพวกการกำหนดกระสุน กำหนดโซน มันเป็นศิลปะเลยแหละ ไหลตามตลาดไป เล่นตามหน้าตักเรา เพราะเราควบคุมหน้าตักเราได้ กระสุนกี่นัดอย่างเกิน จะเกินต้องเป็นกระสุนที่มี buffer จาก Cash flow เช่นมี CF สะสมมา $100 ก็แบ่งมาเทรดกระสุนเสริม ตั้ง Stop Loss จาก buffer ที่มีอยู่ $100 จะแบ่งมา 20-30% ก็ได้ ซึ่งมันจะทำให้ port เรามีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น เอามาเล่นระหว่างโซน สมมุติ เราวางโซนน้ำมันห่างกัน $2 บางทีมันแกว่ง 44.5 - 45.5 เราดันวางโซนแถว 44 - 46 มันก็ไม่ถึงโซนเราสักที แต่เราเห็นโอกาส เราก็เอากระสุนเทียมนี้เข้าไปเทรด โดน limit loss ไว้ล่วงหน้า

กำไรที่ได้มา จะเอาไป bet ก็ได้ หรือขยายโซนก็ได้ แม้กระทั่งสำรองเป็นเงินสดก็ได้ ก็แล้วแต่วางแผน มัน open มากๆ

ยกตัวอย่าง สมมติมีเงิน $2,000 จะเทรดอะไร สมมติผมเลือกเทรดน้ำมันก็แล้วกัน ไปหา spot ของโบรคที่ไม่ต้อง rollover (จริงๆ rollover ก็ทำได้ แต่ก็เสี่ยงโดน rollover cost ที่เพิ่มเข้ามาหน่อยนึง) เล่นน้ำมัน 0.01 lot 4-5 bullets ตีว่า buffer $500 ต่อนัด ค่อยๆเทรดเก็บไปเรื่อยๆ เอาแบบไม่วางโซนนะ แบบเล็งมือเลย ถ้าจะให้ดีกว่าก็ไปหา port cent เปิด ถ้าเล่น 0.5 lot ของพอร์ต cent ก็จะได้กระสุนตั้ง 8 นัด ยิ่งเทรดสบายเข้าไปใหญ่ หรือแบ่งเป็น 0.25 lot คราวนี้ได้ 16 นัดเลย นี่แหละ มันก็อยู่ที่เราเลือก อยู่ที่เราออกแบบนั่นเองครับ

สรุปแล้ว step มันก็คือ

1. หา product ที่ discount
2. คำนวณเงิน
3. วางแผนเทรด จะเทรดยังไงก็ลองวางแผนดู
4. ตอนเทรดอย่าลืมการ "ลดต้นทุน" อันนี้สำคัญ
5. หากเทรดแล้วมีกำไร ก็แบ่งกำไรไป bet ต่อยอด
6. ดึงทุนออกได้หมดก็ไปทำพอร์ตใหม่

จบแค่นี้ก่อนนะครับ จริงๆรายละเอียดมันเยอะกว่านี้ แต่ผมนึกออกตอนเขียนเท่านี้ ไว้โอกาสหน้ามาเขียนใหม่นะครับ ขอบคุณครับ

0406 : Diary 5 ต.ค. 2558


หลังจากที่อ่านหนังสือ Decide สิ่งไม่สำคัญ 'ควรทำ' กว่า! แล้วก็ถึงเวลามาลงมือทำกันต่อ ซึ่งจะเป็นการนัดหมายเวลากับตัวเองในการลงมือทำงานที่เป็นประโยชน์ การได้นัดหมายกับตัวเองไว้ล่วงหน้า ทำให้เราโดนดึงดูดออกไปในเรื่องอื่นได้น้อยลง เช่น ถ้าหากมีคนมาชวนเราไปไหนตอนหลังเลิกงาน แล้วเราไม่มีแผนว่าจะทำอะไร เราก็จะไปกับเขาได้ง่ายๆ หรือ หากว่าปฏิเสธคนที่มาชวน โดนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็อาจจะเคืองกันอีก แต่หากเรามีนัดอยู่แล้ว เราก็จะสามารถปฏิเสธิได้อย่างสะดวกใจ

งานที่ได้ประโยชน์ หรือ ที่ในหนังสือเรียกว่างานระดับ A ของผมช่วงนี้ผมก็จัดการนัดหมายกับตัวเองเรียบร้อย ส่วนใหญ่มันเป็นสิ่งที่ทำแล้วดี มีประโยชน์ต่อชีวิต แต่เราเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาหลายทีแล้ว ไม่ยอมจัดสรรเวลาลงมือทำมันเสียที เห็นตัวเองชัดเจนเลยว่า มัวแต่บอกว่าไม่ว่าง งานยุ่ง เลยไม่ได้ทำมันสักที พอมาอ่านหนังสือก็เข้าใจตัวเองขึ้นละ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

ลุยๆๆๆ

Friday, October 2, 2015

0405 : Review หนังสือ Decide สิ่งไม่สำคัญ 'ควรทำ' กว่า!


ตอนแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้ในร้าน ก็หยิบขึ้นมาดูเพราะสงสัยในชื่อของมัน ทำไมสิ่งไม่สำคัญ ถึงควรทำกว่าวะ ? พอมาเปิดอ่านๆดูก็เลยได้รู้ว่า อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
  
คือคนเขียน คุณ Steve McClatchy เนี่ยเค้าแบ่งสิ่งที่เราทำในชีวิตจากแรงจูงใจ
  
1. แรงจูงใจที่ก้าวไปหาผลประโยชน์
2. แรงจูงใจเพื่อป้องกันความทุกข์
  
อันแรก แรงจูงใจเพื่อก้าวไปหาผลประโยชน์ก็เช่น การออกกำลังกายให้รูปร่างดูดี ฝึกวิ่งมาราธอน ทำธุรกิจ เรียนภาษา หรือฝนฝน skill ต่างๆ หรือสิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา
  
อันที่สอง ก็พวกกิจวัตรประจำวันของเรา รวมถึงงานประจำวัน เช่น ซักรีดเสื้อผ้า เอาขยะไปทิ้ง ตัดหญ้าในสวน ล้างรถ จ่ายบิลต่างๆ เป็นต้น
  
เค้าบอกว่า งานแบบแรกที่เป็นงานที่ได้ประโยชน์ นั้นเป็นตัวที่ทำให้ชีวิตเราก้าวหน้า ส่วนงานแบบหลัง หรือ งานป้องกันความทุกข์ นั้นทำเพื่อรักษาสภาพเอาไว้
  
แต่งานทั้ง 2 แบบล้วนสำคัญ ซึ่งทำให้ชีวิตเราดำเนินต่อไปได้ ทีนี้หากเราทำงาน 2 ตลอด ไม่มีงานแบบที่ได้ประโยชน์ให้ชีวิตเลย ก็จะทำให้ชีวิตเรานิ่ง ไม่ก้าวหน้า หรือ ทำแต่งานแบบแรก ไม่ทำงานป้องกันความทุกข์เลย ความทุกข์ก็จะไล่ล่าเราอยู่ดี สิ่งที่ต้องมีก็คือ balance
  
งานแบบที่ 2 หรือ งานป้องกันความทุกนั้น เราสามารถกระจาย หรือ จ้างคนอื่นทำแทนได้ เช่นจ้างแม่บ้านมาช่วยทำงานบ้าน หรือ ให้คนเอารถไปล้างแทนเรา ต่างจากงานที่ได้ประโยชน์เชิงบวกซึ่งเราไม่สามารถให้คนอื่นทำแทนเราได้ ตัวอย่างก็คือ เราคงให้คนอื่นไปเรียนภาษาแทนเราไม่ได้ หรือจ้างคนมาศึกษาพฤติกรรมตลาดหุ้นแทนเรา ก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ มันเป็นงานที่เราต้องลงมือทำด้วยตนเอง
  
ทางแก้ก็คือจ้างคนมาทำงานป้องกันความทุกข์แทนเรา แล้วเราเอาเวลาที่ได้กลับมาไปทำงานที่ได้ประโยชน์ เพื่อให้ชีวิตเราก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป
  
ทีนี้เค้าก็บอกต่อว่า งานที่ได้ประโยชน์ ไม่เคยเร่งด่วน เราถึงผลัดวันประกันพรุ่งความฝันของเราออกไปเรื่อยๆๆๆ แต่ไอ่งานป้องกันความทุกข์น่ะ deadline มันก็เข้ามาเรื่อยๆ เช่น ไม่ได้เอาขยะไปทิ้ง 3 วันขยะก็จะเน่าส่งกลิ่น แล้วไงต่อ เมียด่า ก็ต้องเอาไปทิ้งอยู่ดี แต่ความฝันอยากทำธุรกิจ อยากเรียนภาษา ฯลฯ นั้นไม่เคยมีใครมาว่าหรอกว่ามันถึงเวลาแล้ว เพราะงั้นมันจึงมักจะถูกผลัดออกไปเรื่อยๆ
  
ทางแก้ก็คือ จับมันมาใส่ใน ปฏิทิน หรือ ตารางเวลาาของเราแม่งเลย จงนัดหมายงานที่ได้ประโยชน์กับตัวเอง ใส่มันลงไปในตารางนัดของตัวเองซะ เช่น 20.00 น. วันพรุ่งนี้ เราจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำธุรกิจ , 10.00 น. วันถัดไปเราจะหาข้อมูลใน internet
  
ถ้าเราทำแบบนี้งานที่ได้ประโยชน์ของเราจะก้าวหน้าไปวันละนิดๆ
  
ซึ่งขั้นตอนแรกสุดแล้ว เค้าจะให้เรานัดหมายกับตัวเอง ใช้เวลานั้นเขียนเป้าหมายออกมา จากนั้นคิดหาส่วนประกอบว่า ทำอย่างไรเราจึงจะทำมันได้สำเร็จ แล้วก็กระจายงานออกมาเป็นส่วนๆ นั่นก็คืองานที่ได้ประโยชน์สำหรับเรา แล้วก็นัดหมายตัวเองซะ ลงในตารางเวลาว่าจะทำขั้นตอนไหน วันไหน กี่โมง ... ขั้นต่อไปก็ลงมือทำตามขั้นตอน ซึ่งมันจะพบปัญหา หรือไอเดียใหม่ๆเพิ่มเติมมาเรื่อย นั่นจะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเรา ... เราไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว
  
หนังสือเล่มนี้ผมชอบนะ อาจะเป็นเพราะช่วงนี้รู้สึกยุ่งๆ แต่เหมือนชีวิตนิ่งๆอยู่พอดีเลย พอได้อ่านก็ทำให้ตระหนักถึงปัญหาที่สะกิดใจขึ้นมา ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น รายละเอียดในหนังสือจะเยอะกว่าที่เขียนในนี้มาก มันมีไปถึงการทำงานของสมองโน่น ยังไงก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
  

Thursday, October 1, 2015

0404 : Diary 1 ต.ค. 2558


เพิ่งสังเกตุว่าพอร์ต DSM เรา เมื่อเดือนที่แล้วเทรดใน Zone 2 ตลอดเลย ซึ่งก็คือ เทรดทีละ 1% ของจำนวนหุ้นที่เหลือในมือ


มาวันนี้หวดลงมา Zone 3 ซึ่งเทรดทีละ 10% CF มันก็มาเลย ฮ่าๆ


ข้อผิดพลาดของเราในช่วงเดือนก่อนคือ มีหุ้นตัวนึงซึ่ง price มัน move ไป Zone 8 แล้ว เราก็ปล่อยหุ้นตาม step แต่ดั๊นมารับคืนก่อน ตอนนั้นคิดว่า เออ มันลงมาโซนล่างสุดของ Zone 8 บนสุดของ Zone 2 มันน่าจะไปต่อ เลยเก็บหุ้นไว้กับตัวก่อนดีกว่า (ฟีลลิ่งเดาตลาดมาเต็ม) สรุปหุ้นทิ้งตัวลงมาเบย ถ้าถือ Cash มารับคืนวันนี้ก็กำไรเหนาะๆ 25% ละนะ ฮ่าๆ ถือว่าจ่ายค่าเรียนเรื่องความมีวินัยไป

Wednesday, September 30, 2015

0403 : บันทึกหลังจบไตรมาส 3 / 2558


จบ Q3/2558 แล้ว สรุปบัญชี NAV แม่มติดลบแล้ว ลบไป 8.28% รอบแล้วยังบวกนิดหน่อย ปั่น CF ไม่ทัน unrealize loss อ่ะนะ


สิ่งที่เห็นในตัวเองคือ ยังไหลไปกับตลาดไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แล้วก็ไม่ค่อยออกล่าเหยื่อด้วย พอไม่ออกล่า มันก็ไม่ได้ Cash Flow เข้ามา ทีนี้พอร์ตมันก็เลยนิ่งๆ ทรัพยากรในพอร์ตเลยไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าไหร่ แทบไม่ได้ใช้ correlation เลย ... แล้วก็มารู้ตัวว่า เอ้ย เรานี่เฉื่อยไปแล้ว พอกลับมา Active ก็กลับมาทำ CF ได้สม่ำเสมออีกครั้ง


พอร์ตหุ้นเรานั้นแม้จะลบ แต่ก็ยังคง generate cash flow ต่อไป ภาพในหัวเราคือ ต่อให้มันลบ แต่ถ้าเราเก็บ volatility ได้ เด๋ว equity curve มันก็จะกลับมาบวกได้


อีก 3 เดือนก็มาดูกันว่าจะทำให้พอร์ตกลับมากำไรได้ไหม


ส่วนใน Forex ก็เล่นแบบ passive มาก แทบไม่ได้ทำอะไรเลย ผลตอบแทนก็คล้ายๆหุ้นไทย cash flow ออกบ้างไม่ออกบ้าง จริงๆก็มีปัญหาส่วนตัวที่ทำให้เราไม่ค่อยมีสมาธิด้วย นั่นก็คืออาการปวดคอ ปวดบ่า มันทำให้เราไม่อยากนั่งดูตลาดเลย บวกกะไม่ค่อยมีคนเข้าใจสิ่งที่เราเจอ ก็เลยพาลเซ็งๆไป แต่ก็มีคนที่เข้าใจเราอยู่นะ นั่นก็คือ ภรรยา แล้วก็พี่สหายที่คอยโทรมาฟังเราบ่น มันก็ทำให้เรารู้สึก ok ขึ้น


3 เดือนนี้ เราเรียนรู้ที่จะ active มากขึ้น และ เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง และเคารพตัวเองมากขึ้น ซึ่งก็ยังต้องเรียนรู้กันต่อไป



Sunday, September 27, 2015

0402 : Diary 27 ก.ย. 2558


รู้สึกว่าไม่ได้เขียนเรื่องการเทรดแบบเป็นเรื่องเป็นราวมานานมาก 555 ภาพที่เห็นอาจจะไปทำนู่นทำนี้ เช่น ไปฝึกวิ่ง ออกกำลังกาย เที่ยวบ้างนิดหน่อย ซึ่งมันก็มาจากการที่เราอยากให้ work life balance นั่นแหละ


ซึ่งเราพบว่าการไม่สบายใจ ไม่ว่าจะจากเรื่องอะไร มันบั่นทอนความสามารถในการตัดสินใจ รวมถึงกำลังใจพอดู เราก็เลยมีความตั้งโจทย์ว่า ทำยังไงให้เรามีความสบายใจก่อน พอสบายใจก็จะเกิด เสถียรภาพ แล้วเราค่อยเพิ่มประสิทธิภาพลงไป


อันที่จริงการออกกำลังกายนอกจากจะร่างกายแข็งแรง สุขภาพดีขึ้น มันก็เป็นการฝึก mental เหมือนกัน มันจะได้เรื่อง Focus การจดจ่อ ได้ฟีลลิ่งของความอึดอะไรประมาณนั้น


เรื่องนึงที่อยากจะแก้นิสัยก็คือการนอน อยากนอนให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง แต่นี่ก็ดึกแล้ว ก็ขอลาไปนอนดื้อๆแบบนี้ละกันนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ ฮ่าๆ

Saturday, September 26, 2015

0401 : กลับมาแล้วจ้า


สวัสดีครับ กลับมาแล้วจ้า ที่หายไปก็ชีวิตยุ่งๆนิดหน่อย ทั้งงานประจำ ทั้งเรื่องสุขภาพ รวมถึงการกลับไปครุ่นคิดถึงเป้าหมายชีวิตด้วย ก็เลยไม่ค่อยจะคิดเรื่องเขียน blog เท่าไหร่


เอาเป็นว่าชีวิตช่วงนี้อยากทำให้มัน flow กันไประหว่างจิตใจ อารมณ์ ร่างกาย ครอบครัว ความสัมพันธ์ การงาน แล้วก็ความมั่งคั่ง ... ชีวิตเราก็คงมีประมาณนี้แหละมั๊ง


เราเริ่มจับความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ได้บ้าง ช่วงไหนที่เครียด ร่างกายก็จะเริ่มออกอาการตามเหมือนกัน เช่นพวกร้อนใน สิว หรือ ปวดเมื่อยต่างๆ


จากนั้นเราก็ได้อ่านหนังสือของ ลูอิส เฮย์ "You can heal your life" ชื่อแปลไทยก็คือ "ชีวิตนี้ลิขิตได้" หนังสือจะพูดถึงการรักตัวเอง บางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าการกล่าวโทษ ต่อว่าตัวเองมันมีผลอะไรมากมายเหมือนกันนะ ซึ่งมันก็ทำให้เราได้รับรู้ความคิดด้านลบของเราเหมือนกัน อาจจะเรียกว่าปมก็ได้มั๊ง แล้วเค้าก็บอกเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆของร่างกายเรา ว่ามันอาจจะมาจากจิตใจก็ได้ แต่ในมุมมองของเรา บางอันก็ตรงเหมือนกันนะ สิ่งสำคัญก็คือการสร้างรูปแบบความคิดใหม่ขึ้นมา เป็นความคิดเชิงบวกที่ไม่กล่าวโทษตนเอง มันก็ดีเลยแหละ ส่วนตัวเรามองว่าดีกว่าหนังสือ how-to ในท้องตลาดทั่วๆไปอยู่นะ


สภาพร่างกายตอนนี้ก็มีอาการออฟฟิศซินโดรม ไปฝังเข็ม ครอบแก้ว จัดกระดูกมา ก็ดีขึ้นมาก ตอนนี้พยายามโยคะยืดเหยียดต่างๆทุกวัน ตั้งนาฬิกาไม่ให้นั่งทำงานนานเกิน 20 นาที ลำบากเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าทำสิ่งดีๆต่อตัวเอง ก็ยืดเส้นยืดสายบ่อยๆ


เรื่องการเทรด หุ้นไทยก็เทรดตาม model ไปเรื่อยๆ รู้สึกว่ามัน flow ขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่กว่าจะลงตัวมันก็ต้องต่อสู้กับความขัดแย้งในตัวเองเหมือนกัน เรามองจากในมุมของ เสถียรภาพ ของ model ก่อน แล้วค่อยๆใส่ประสิทธิภาพเพิ่มให้มันทีละนิด ขั้นแรกคือเทรดอย่างไรให้สบายใจ ขั้นต่อไปคือเพิ่ม Return โดยที่ยังชิลๆอยู่ มันคือการเดินทางระยะยาวหล่ะมั๊ง ถ้าถึงไวกว่าที่คิดก็คือโบนัสนั่นเอง

Wednesday, September 2, 2015

0400 : ชีวิตช่วงนี้...


ชีวิตช่วงนี้... ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่เลย


ตื่นตี 5 วิ่งออกกำลัง 1 ชั่วโมง ...8 โมง เริ่มทำงานประจำ + เทรดหุ้นไทย... เลิกงาน 5-6 โมง กลับมาถึงห้อง NAP สักพัก ตื่นมากินข้าวเย็น ดูตลาด Forex ถึง 5 ทุ่มครึ่ง แล้วก็เข้านอน...


“It's the magic of risking everything for a dream that nobody sees but you” - Million Dollar Baby


"ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็น" - P' Webji Pornchai Rattananontachaisook

Monday, August 24, 2015

0399 : คำสอนจากพี่หมอมานพฯ



เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาไปงานแต่ง เพื่อนต้อม ได้มีโอกาสฟังมุมมองดีๆจากพี่หมอมานพฯ หลายเรื่องเลย กลับมาบ้านต้องรีบมาจดไว้ก่อนเข้านอน กลัวลืม ฮ่าๆ


จิตวิทยาการลงทุน สำคัญมาก (อาจจะมากที่สุดด้วย) เพราะมันสอนกันไม่ได้ ต้องเจอกับตัวเอง เจอตลาด crash แล้วก็จะเข้าใจด้วยตัวเอง ทุกคนเข้ามาเจอตลาดง่ายๆ ไม่มีทางเข้าใจ ไม่สามารถเข้าใจได้จากการอ่านหนังสือ เช่น จะอ่าน Trading in the zone มาแล้วจะเข้าใจ ไม่มีหรอก ต้องเจอเอง (นู๋นิฟังไปน้ำตารื้นไป 555)


ความล้มเหลวในตลาดไม่มีหรอก มีแต่ล้มเลิก ถ้าล้มเลิกก็จบแค่นั้น แต่ถ้ายังอยากอยู่ในตลาดก็ต้องสู้ต่อไป และคุณจะพลาดได้เรื่อยๆแหละ อาจจะพลาดเรื่องเดิมก็ได้นะ เรื่องปกติ


ตลาดเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งในการสร้าง Wealth อย่าไปยึดติดภาพว่าจะต้องร่ำรวยมหาศาล คนที่เจ๊งก็ไม่น้อยนะ เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้นเอง หรือคนที่พูดเค้าไม่ได้พูดให้เราฟัง


การอยู่ในตลาดมันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ด้วย เรามีวัตถุประสงค์อะไร เป้าหมายของเราคืออะไร ความรวยของเราคืออะไร ต้องมีพันล้านเลยเหรอ ? ... สุดท้ายแล้วคนเราแค่ มีชีวิตที่ดี มีความสุข สุขภาพดี เท่านั้นแหละ จะมาวัดว่า กำไรเท่านั้น เก่งกว่า อะไรแบบนี้มันวัดไม่ได้ บางทีอาจจะเข้ามาในตลาดเพื่อให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ทำสิ่งที่อยากทำได้อย่างสบายใจ ก็ได้นะ


และควรค้นหา style ของตัวเองให้เจอ โลกนี้ไม่มี Buffett 2 หรือ Soros 2 เราเหมาะกับ style ไหน ลงทุน เทรด เล่นสั้น เล่นยาว เหมาะกับชีวิตเราไหม เข้ากับจังหวะชีวิตเราหรือเปล่า


จบแล้วครับ จำได้ไม่หมดนะครับ เพราะว่า วงดนตรีเล่นเพลงมันส์ไปนิด เลยได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ ฮ่าๆ

Sunday, August 16, 2015

0398 : Hua Hin Triathlon 2015



เรื่องมันมีอยู่ว่า... วันหนึ่งพี่สหายท่านหนึ่งโทรมาถามว่า วิ่ง 11 km ได้ไหม เราก็ตอบไปว่า... ได้นะครับ แล้วพี่เค้าก็ชวนลงแข่ง Toyota Hua Hin Triathlon 2015 ประเภททีม พี่เค้าจะลงตำแหน่งปั่นจักรยาน ส่วนเพื่อนอีกคนจะลงว่ายน้ำ ขาดตำแหน่งวิ่งอยู่พอดี เราก็คิดว่าไม่เป็นไรมั๊ง 11 km เอง อยู่นอก comfort zone ของเราไม่มาก ปกติเราก็วิ่งหลังเลิกงานประมาณ 5-6 km อยู่แล้ว คิดว่าไหวน่า เลยเอาวะ ลองดู


จากนั้นช่วงเย็นก็พยายามวิ่งยืดระยะให้ได้ไกลขึ้น วิ่งต่อเนื่องให้ได้นานขึ้น เพื่อแข่งงานนี้ ทางเพื่อนร่วมทีมก็ช่วยเหลือ ให้ตารางซ้อมมา แต่ก็ไม่ได้ซ้อมเต็มที่เนื่องจากงานเข้าบวกกะป่วย พอมาถึงช่วงแข่งก็เลยรู้สึกว่าต้องเชื่อใจในพลังใจของตัวเองแล้วแหละ 555


เราออกเดินทางไปหัวหินในวันศุกร์ ก็ลางานล่วงหน้า ชิลๆ พาภรรยามาเที่ยวด้วย แล้วก็ลาวันจันทร์อีก 1 วัน เพื่ออยู่บ้านพักผ่อน


เรามาถึงหัวหินประมาณบ่าย 3 ที่พักก็คือฝากเพื่อนจัดการให้ พักใกล้ๆกับที่แข่งเลย แข่งที่ Black Mountain Water Park ส่วนเราพักที่ Tai-Pan Resort and Condominium ห้องพักได้ราคาพิเศษของคนที่มาแข่งไตรฯ คือจาก 1,500 ลดเหลือ 1,200 ก็ ok แฮปปี้ ห้องก็น่าอยู่มากเหมือนกัน




ตกเย็นก็ไปหาข้าวกินที่ตลาดหัวหิน อ้วนกันไป 555







พอวันรุ่งขึ้นช่วงบ่ายๆก็มาฟังบรีฟ รับพวกชิพ เสื้อ อุปกรณ์การแข่งต่างๆ แล้วก็เอาจักรยานมาเช็คอินด้วย







ช่วงกลางคืนก็ต้องมีการเตรียมอุปกรณ์เพื่อที่จะใช้แข่งในวันพรุ่งนี้ นัดกันว่าจะตื่นตี 4 ครึ่ง แล้วก็ออกจากโรงแรมตี 5 ส่วนนี้ก็ชุดเราเอา เราเลือกสายเกรียน ใส่เสื้อกะหมวก Tony Stark 555 เน้นฮาอ่ะนะ ส่วนเจลไนตรัสนั้น เพื่อนนิวให้มาไว้ใช้เพิ่มพลังงานระหว่างวิ่ง ก็ต้องเตรียมไว้กะชุดด้วย




พอตอนเช้าก็การเดินทางราบรื่นดีไปถึงจุดที่ตั้งของเราตามเวลา ฟ้ายังไม่สางเบยยย




การแข่งก็คือจะแข่งว่ายน้ำเป็นอันดับแรก ทีมเราได้ออกตัว Wave 3 ในภาพคือการรอปล่อยตัว Wave 1




นิวทีมเราว่ายไม่อ้อมทุ่น เลยต้องย้อนกลับมา รวมๆแล้วว่ายไปราวๆ 2 km จากระยะ 1.6 km ฮ่าๆ จากนั้นก็มาส่งชิพต่อให้พี่เชษฐ์ ปั่นจักรยาน 43 km พี่เชษฐ์ปั่นกลับมาส่งชิพให้เราตอน 11 โมง จากนั้นเราก็ออกวิ่ง...




พอเราออกตัว เราก็ไปวิ่งตามความเร็วของคนข้างหน้า ซึ่งผลก็คือทำให้เราเริ่มเกร็งๆที่ขาซ้าย เหมือนๆจะเป็นตะคริว เพราะไม่ได้วิ่งตามความเร็วของตัวเอง ซึ่งตอนที่วิ่ง Human Run 2014 ก็เป็นอาการแบบนี้เป๊ะเลย แต่รู้ว่าพอเดินๆไปสักพักน่าจะหาย ทำให้ต้องเดินๆวิ่งๆสลับกันจนถึง km ที่ 4 ใจก็คิดแม่งจะไหวรึเปล่าว้าาา สุดท้ายมันก็หายนะ เลยพอวิ่งได้บ้าง แต่เจอแดดร้อนโคตรๆ ทำให้วิ่งไม่ค่อยออก จิบน้ำตลอด โชคดีที่เส้นทางวิ่งมีน้ำ support ตลอดทาง ทำให้เรายังไปได้ พอวิ่งๆไป รู้สึกว่าเท้าจะพอง ปวดๆ ก็เลยเดิน แต่พอเดินก็ดูว่าเราเดินได้ pace เท่าไหร่ ก็อยู่ที่ราวๆ 9.3-9.5 เราก็เริ่มคำนวณว่าจะถึงเส้นชัยทันไหม ถ้าเค้า cut off ที่ เที่ยงครึ่ง นั้นเราไปทันแน่นอน ก็เลยสบายใจ วิ่งบ้าง เดินบ้าง แต่ไม่อยากเสี่ยงวิ่งเยอะเท่าไหร่เพราะ Heart Rate สูงเหลือเกิน 170 up ตลอด เลยไม่ค่อยอยากเสี่ยง เราก็เลยทำงานทีละ 1,000 ก้าว คือนับก้าวแม่งเลย วิ่ง 1,000 ก้าว เดิน 1,000 ก้าว สลับๆกันแต่ด้าวยความที่แดดมันร้อนทำให้วิ่งไม่ออกเท่าไหร่ เดินจะไวกว่า เราก็เลยเดินจ้ำๆๆๆ ตอนเดินนี่แหละที่แซงๆคนที่เดินเหมือนกันได้หลายคน ดูใน endomondo เป็นระยะๆว่ามาได้กี่ % ของระยะ 11 km แล้ว พอมาเกินครึ่งใจมันก็เริ่ม ok ขึ้น ยังไงก็จบแน่ๆ แต่จะทันเที่ยงไหมเท่านั้นแหละ ใจเราเองก็อยากจะให้ทันเที่ยงเหมือนกัน แต่ก็ไม่มั่นใจตัวเองเท่าไหร่ พอเหลืออีกประมาณ 2 km เพื่อร่วมทีมทั้ง 2 คนรอรับ รอมาวิ่งด้วย ช่วยกระตุ้น ให้กำลังใจ วิ่งด้วยกันจนเข้าเส้นชัย ก่อนเที่ยงไป 2 นาที ดีใจสุดๆเลย ... นาทีที่เข้าเส้นชัยนี่มันเหนื่อยมาก หาน้ำและเก้าอี้พักร่างกายอย่างด่วน 555 พอได้น้ำได้นั่งเลยพอจะมีแรงลุกไปถ่ายรูปกะเค้าบ้าง ได้ไปถ่ายรูปกะพี่ตูน ซึ่งปัจจุบันแกเหมือนเป็น icon ของงานวิ่ง งานไตรฯ ไปซะแล้ว ส่วนรูปที่ถ่ายกะน้องๆพริตตี้นั้น ขออนุญาติภรรยาแล้ว และภรรยาเป็นคนถ่ายให้เองแหละ 555








การได้มางานกีฬาแบบนี้ก็ดีไปอย่าง เราได้เห็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง มันทำให้เราได้แรงบันดาลใจอยากจะมีสุขภาพแข็งแรงแบบเค้าเหล่านั้นบ้าง หรือ บางคนก็ทำให้เรารู้ว่าหัวใจแม่งแกร่งโคตร บางคนอ้วนตุบเลย แต่แม่งลงไตรประเภทเดี่ยวนะครัส โห หัวใจพี่มันสุดๆไปเบย พี่เค้าทำได้ยังไง ทำในสิ่งที่เรายังไม่กล้าทำ


การที่ได้ผ่าน exp แบบนี้มันก็ช่วยขยาย comfort zone ของเราเหมือนกันนะ จากนี้ไปเราก็คงไม่คิดว่า 11 km มันยากเย็น เพราะเราผ่านมันมาแล้ว เราแค่ไปซ้อมให้มันวิ่งได้ฉิวๆชิลๆก็น่าจะดี แล้วไปแตะเขตนอก comfort zone ใหม่ ที่ 21 km กัน


เนื่องด้วยวิ่งเหนื่อยและฉุกละหุกเลยไม่ได้ถ่ายรูปกับภรรยาเลย เลยต้องมาถ่ายกันที่ห้องพัก ฮ่าๆ ขอบคุณผู้สนับสนุน ที่ตามมาให้กำลังใจ คอยห่วงใยผ่าน app find my friend 555


เรารู้สึกว่าแรงบันดาลใจต่างๆมันก็ส่งไปถึงภรรยาของเราด้วยนะ ดีจังๆ



Thursday, August 6, 2015

0397 : สิ่งที่เป็นตัวเรา



ทำไมเทรดเดอร์ชั้นเซียนมักบอกให้เรารู้จักตนเองให้ถ่องแท้ สิ่งนึงอาจจะเป็นเพราะ สิ่งไหนที่มันขัดกับความเป็นตัวเราจริงๆ มันอาจจะไม่ยั่งยืน อีกทั้งยังจะพัฒนาไปได้ยาก


ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า การเทรดที่ใช้อยู่บางสิ่งก็ขัดกับตัวตนของผมเหมือนกัน แต่ตลาดก็พยายามบอกเราตลอดนะ บอกผ่านทางความรู้สึกอัดอึดใจ ความเครียด ความดีใจ ผยอง ลำพอง


มันก็ทำให้พัฒนาการเทรดไปได้อีกหน่อยนึง คือผมชอบใช้ relative ของ floating profit/loss ของ positions ต่างๆในพอร์ตเป็นตัวดูตลาด ไม่ต้องดูกราฟก็เข้าเทรดได้ แล้วก็เลยพัฒนาเป็นการใช้ positions ฝั่งนึงเป็นหลัก (มองว่ามันเป็น option เทียมแต่ไม่เสีย premium หรือถ้ามี swap+ ก็ถือว่ามันได้ premiumอีกด้วย) อีกฝั่งเทรดสวนเป็นตัว generate cash flow โดยรักษา exposure ของฝั่งสวน เป็น % ตาม step แล้วจับ equity ของ department โดยวัดว่ามันเพิ่มลดยังไง เรียกมันเป็น HP ไปเลยก็ได้


วิธีเทรด Fx นี้มันคล้ายกับการเทรดหุ้นของผมมาก และทำให้อยู่กับมันได้แบบไม่อึดอัดใจ


แต่วันนึงถ้าเรารู้จักตัวเองเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนนี้ มันก็อาจจะเปลี่ยนไปเช่นกัน เพราะเราคงต้องกลมกลืนไปกับธรรมชาติของตัวเรา


แม้เราจะชอบสิ่งที่เราทำ แต่ก็อย่าลืมที่จะเปิดใจรับมุมมองอื่น ซึ่งมันอาจจะทำให้เรารู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นก็ได้ หรือถ้าเรามันขัดกับตัวตนของเรา มันก็ช่วยให้เรารู้ว่า อะไรไม่เหมาะกับเราบ้าง

Sunday, July 26, 2015

0396 : สิ่งสำคัญในการอยู่ในตลาด



1. เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่ในตลาดอยู่มีความสุขให้ได้ก่อน หลายๆคนรวมถึงผมก็เคยเป็น อยู่ในตลาดแล้วเครียด คาดหวัง เปรียบเทียบ จริงๆแล้วไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ ใช้ความหวังนำทาง ชีวิตจะมีความสุขกว่าการใช้ความคาดหวังมากดดันตัวเอง


2. อยู่รอดก่อน ปกป้องทุนไว้เป็นอันดับแรก แล้วกำไรจะตามหาเราเอง ในโลกทุนนิยม เราใช้ทุนในการดึงดูดผลตอบแทน หรือกำไรนั่นเอง พอเราทุนเราไม่หาย กำไรจะค่อยๆเพิ่มขึ้น กำไรที่เราทำได้จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดกำไรให้เราอีกต่อ แล้วก็จะเกิด พลังมหัศจรรย์แห่งการทบต้น ไงล่ะ


3. ความต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญ ไม่จำเป็นต้องเล่นท่ายาก แต่ใช้ความเรียบง่ายให้ต่อเนื่อง ชัยชนะเล็กๆในระยะเวลาที่ยาวนานบวกกับการพลังแห่งการทบต้น ช่วยได้เสมอ เพียงแต่เราอดทนกับมันได้หรือเปล่า ?


4. เรียนรู้จากความผิดพลาด เรียนรู้และใช้มันเป็นบทเรียน ตลาดมักจะทดสอบเราก่อนแล้วค่อยให้บทเรียนทีหลังเสมอ ถ้าไม่เรียนรู้จากมัน ก็ต้องเจ็บไปเรื่อยๆ


5. ยิ่งจด ยิ่งจำ ประสบการณ์ที่ได้จากตลาดคือบทเรียนที่มีค่า อย่าปล่อยให้มันผ่านไป จดบันทึกมันเอาไว้ จะวิธีไหนก็ได้ เขียน บันทึกเสียง ถ่าย VDO บันทึกเก็บเอาไว้แล้วกลับมาย้อนดูตน เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ความเติบโต (หรือบางทีก็ข้อผิดพลาดที่เรายังแก้ไม่ตก) บทเรียนของเรา จะสอนเราได้มาก ช่วยให้เรารู้จักตัวเอง


#รู้สึกคันมืออยากเขียนอะไรบางอย่างก็เลยเขียนมันออกมา
#ฮ่าๆ


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions

Friday, July 24, 2015

0395 : Diary 24 ก.ค. 2558



สัปดาห์นี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ไม่ได้เทรด Fx ด้วย เทรดแต่หุ้นไทย ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน มัวแต่เอาเวลาไปดูหนัง ดูซีรีย์กับภรรยา 555 เอาน่ะ สัปดาห์หน้า Energy น่าจะดีขึ้นนะ


ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้เทรดมันส์ดี เล่นกับ Volatility ล้วนๆ ขึ้นขาย ลงซื้อ ขึ้นขาย ลงซื้อ ลดต้นทุนได้ประมาณนึง สบายๆไป แต่ Port รวมแม่งหดนะ แต่ได้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น


ส่วนการออกกำลังกาย ฝนตก ขี้เกียจ บาดเจ็บ เลยไม่ได้วิ่ง ยอมรับสภาพแต่โดยดี...


ความสัมพันธ์ เราเริ่มคิดในมุมมองของคนอื่นมากขึ้น มีบางวันเหมือนกันที่ภรรยากลับบ้านมาแล้ว อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เราก็เข้าใจเขานะ เพราะงานเขาคงเหนื่อย หน้าที่เราก็คือไปชาร์จพลังให้เค้า ไม่ใช่อารมณ์เสียใส่กันแบบนั้นก็ยิ่งไปกันใหญ่ ช่วงแรกๆต้องใช้ความอดทนเยอะเหมือนกัน แต่ความเข้าใจก็ช่วยแบ่งเบาภาระของความอดทนไปได้เหมือนกันนะ

0394 : Cash Reserve



อย่างที่เรารู้กันอยู่ว่า SET กับ USDTHB มักจะ correlate ไปในทางตรงข้ามกัน ซึ่งวิธีง่ายๆที่ผมใช้อยู่ตลอดก็คือการใช้ USDTHB เป็น lagging กับ SET


อย่างแรกก็คือเวลาเรามีหุ้นแล้วหุ้นขึ้น เราก็จะมี positions ที่เราขายออกทำกำไรไป แล้วเกิดหุ้นวิ่งไปต่อ เงินสดก้อนที่ได้มา ก็จะกลายเป็น cash reserve รอซื้อหุ้นกลับเข้า port หากหุ้นลงมา


ปกติอาจจะเอาไปฝากธนาคารหรือซื้อ MMF รอไว้ แต่อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ การเอา cash reserve มาเก็บไว้ในรูปของ USD จะฝากไว้ในธนาคารแบบสกุลเงินต่างประเทศ หรือจะแลกมานอนกอดไว้ก็ได้ (แต่ไม่แนะนำ เพราะไม่ได้ดอกเบี้ย 555) ส่วนวิธีที่ผมใช้ก็คือโอนไปไว้ใน Port Forex ซึ่งจะมีบางโบรคที่แค่ฝากเงินไว้เฉยๆ ก็จะได้ดอกเบี้ยทุกสิ้นเดือน โอนเข้า port ให้เราอัตโนมัติ (แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่มากกว่าฝากไว้กับธนาคาร)


วิธีบริหารความเสี่ยงก็คือ ผมจะแบ่ง cash reserve เป็นระดับชั้น เช่นเรามี cash reserve 1,000,000 บาท เราก็จะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ

1. 25% แรก เก็บไว้ในที่ที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง เช่น ฝากไว้ใน Bank ถ้าหุ้นลงหรือเกิดอะไรขึ้นก็พร้อมโอนถ่ายมาซื้อหุ้นได้เลย

2. 25% ที่สอง เก็บไว้ในกองทุน MMF ซึ่งสภาพคลองต่ำกว่านิดนึง (T+1)

3. 25% ที่สาม เก็บไว้ในรูปของ USD รับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ถ้า step 1-2 ใช้ไม่หมด ก็ถือไปเรื่อยๆ กำไรในจุดที่พอใจเมื่อไหร่ก็เปลี่ยนกลับมาเป็น THB

4. 25% ที่สี่ อาจจะเอาไป short put option รอหุ้นลง ถ้าไม่ลงก็ short กิน premium ไปเรื่อยๆ


มอง Cash Reserve ให้เหมือนขนมชั้น ชั้นบนสุดกินก่อน ต้องรับความเสี่ยงน้อยๆสภาพคล่องสูง ชั้นล่างๆก็เสี่ยงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ทั้งหมดต้องคำนึงถึงการปกป้องเงินทุนก่อน ทุนต้องไม่หาย เพื่อที่จะกลับมาซื้อหุ้นได้เวลาที่โอกาสมาถึงอีกครั้ง


Cash Reserve ของเราเปรียบเสมือนกองบัญชาการ ดูแลมันให้ดีๆนะครับ อิอิ


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions

Tuesday, July 21, 2015

0393 : การ Short หุ้นตัวเอง



อย่างที่เคยเกริ่นไว้ช่วงก่อน ระบบเทรดหุ้นไทยของผมจะบันทึกรับรู้รายได้เมื่อซื้อคืนได้ (รับรู้กำไรเมื่อซื้อ) ทำให้ตลาดในช่วงนี้ผมก็มีซื้อหุ้นคืนเข้า port เหมือนกัน หลังจากที่ให้เค้าเช่าไปเทรดกันพักใหญ่ 555


ผมมอง CF เป็น position เช่น สมมติหุ้นตัวนึงผมขายออกไปที่ 10 บาท ตอนนี้หุ้นลงมาเหลือ 8 บาท แสดงว่า position นี้ผมกำไร 2 บาท คิดง่ายๆก็ ไม้นี้กำไร 20% ละนะ ในความเจ็บปวดของ port รวมยังมีเรื่องน่าดีใจอยู่ เห็นไหม แล้วเราก็มาถามตัวเองต่อว่า ณ จุดนี้เราพอใจกำไรใน position นี้ไหม หรือจะ let profit run ต่อ (จริงๆก็ต้องวางแผนล่วงหน้ามาแล้วแหละว่า position นี้จะรับคืนที่ตรงไหน)


การเล่นแบบนี้แตกต่างจากการ cut loss นิดเดียวคือ การจดบันทึก ถ้าเรา cut loss คือ เราจะลืมที่เรา cut loss ไปซะ แต่การ short หุ้นตัวเอง คือการจดบันทึกเอาไว้ว่า เราขายออกที่ตรงไหน แต่ไม่ได้เอาไป match กับบัญชีที่เราซื้อมา เราก็แค่รอรับคืน ลงมาไม่ถึงก็ถือเงินสดเอาไปฝากแบงค์ ซื้อ money market fund รอ ไม่ก็เอาไป short put รอก็ได้ ถ้ามาลงมาเมื่อไหร่ก็ switch เงินกลับมาซื้อหุ้น


หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเกิดไอเดียในยามที่ตลาดแดงๆแบบนี้นะครับ

Tuesday, July 14, 2015

0392 : จงนิยามความมั่งคั่งของเราเอง



เมื่อวานคุยกับเพื่อนเรื่องการ Trading for living ผมนึกถึงคำของพี่หนุ่ม Money Coach ที่เคยพูดว่า “จงนิยามความมั่งคั่ง” ของตัวเอง เราคุยกันถึง CF ต่อวัน เพื่อนผมเทรดเก็บ CF ได้วันนึงราวๆ $20-$30 บางวันฟอร์มดีๆตลาดเป็นใจก็ได้ $100+ คุยกันว่า เออ มันก็พอใช้นะ คนเราวันนึงจะใช้ตังค์วันละเท่าไหร่กันเชียว ทำไมเราต้องทำให้ได้วันละพันเหรียญหมื่นเหรียญโดยการยิงปืนใหญ่ lot หนักๆด้วย
 

ปัจจุบันการตลาดมันค่อนข้างเยอะ เราก็เลยโดนปั่นหัวว่าต้องรวยขนาดนั้นขนาดนี้ อันที่จริงเราออกแบบชีวิตของตัวเองจะดีกว่านะ วันนึง สัปดาห์นึง เดือนนึงเราใช้จ่ายเท่าไหร่ แล้วอยากเหลือเงินเก็บ เงินออม เป็นทุนเพิ่มเท่าไหร่ จ่ายค่าเบี้ยประกัน ลดหย่อนภาษี ไปท่องโลกเปิดหูเปิดตาต้องใช้เงินเท่าไหร่ ปีๆนึง (หรือไตรมาสนึงก็ได้)


Trading for living วันที่เราพอร์ตเล็กก็ต้องอดทน กินง่ายอยู่ง่าย อย่าเพิ่งไปนึกภาพว่าตัวเองเป็น Leonardo Dicaprio ใน The Wolf of Wall Street จนกว่าจะเหลือกินเหลือใช้มากๆ ก็ค่อยให้รางวัลตัวเอง (หรือจังหวะที่หวดโฮมรันได้)


เป้าหมายเราไม่จำเป็นต้อง พันล้าน หมื่นล้านก็ได้มั๊ง ถ้าถึงก็ถือว่ามันเป็นโบนัส เป้าหมายของเราจึงควรจะมาจากการรู้จักตัวเองให้ถ่องแท้ เราใช้เท่าไหร่ อยากเหลือเก็บเท่าไหร่ ไอ่ส่วนเหลือเก็บนี่สำคัญเหมือนกันนะ ถ้าเทรดได้ CF $1,000 ต่อเดือน แล้วใช้หมดทั้งพันเหรียญ ความมั่งคั่งก็จะไม่เพิ่มขึ้น แถมพอร์ตยังลดลงจากเงินเฟ้ออีก แต่ถ้าเทรดได้ $1,000 ใช้ $500 ก็เท่ากับเราเหลือเก็บ $500 จะเก็บไว้ในพอร์ตหรือเก็บไว้เป็นเงินสดสำรองไว้ในบัญชีธนาคารก็ไม่ว่ากัน
 

ส่วนของผมที่ตั้งใจไว้ก็คือ 25% ของ cash flow รายเดือนนั้นเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายประจำเดือน ถ้าทำได้ก็ถือว่า ok อยู่สบายๆ (อีก 75%ทบต้นเข้าพอร์ต)  แต่ภายในเงื่อนไขที่ว่า personal finance ของผมและครอบครัวมีความแข็งแรงแล้วด้วยนะ นั่นก็คือ มีเงินออมสำรองเผื่อฉุกเฉิน มีพอร์ตเพื่อเกษียณ และมีประกันคุ้มครองความเสี่ยง ซึ่งก็ต้องค่อยๆสร้างกันไป (รีบทีไรพังทุกที ฮ่าๆ)


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions

Sunday, July 12, 2015

0391 : ลาป่วยมา 1 สัปดาห์



สัปดาห์ที่ผ่านมาลาป่วย 555 เนื่องจากเป็นหวัด เจ็บคอ เลยบอกโค้ชว่าขอลาดีกว่า ทั้งเทรด ทั้งวิ่ง ไม่ได้ฝึกเลย ฝึกแต่สมาธิ กำหนดลมหายใจบ้าง เวลาระลึกได้


ดูจิตตัวเองแล้วถ้าเทรดก็พังแน่ๆ แค่ใช้ชีวิตประจำวันยังอึดอัด หงุดหงิดเลย


แต่การที่เรามี multi-strategy มันก็ดีอย่าง ไม่เทรด เราก็มี passive model คอยแบ่งเบาภาระของเราไปได้ (พวก model ที่ตั้ง pending order กะ correlation hedge กิน swap อ่ะนะ)


ส่วนหุ้นไทยเราก็เคาะขายออก-รับคืนไปตาม step มันยังไม่ไปไหนเลย เราก็กิน volatility ไปเรื่อยๆ แถมช่วงนี้ยังได้ Volume จากคำทำนายหมอไพศาลมาอีกดอกเป็นตัวเร่ง Volatility ให้ตลาด เราก็เลยได้เก็บจังหวะ swing ไปด้วยเลย


จริงๆแค่ 5 วันนี่ก็รู้สึกว่าห่างการเทรดไปเหมือนกัน ตอนนี้ก็อาการดีขึ้นเยอะแล้ว พรุ่งนี้ลุยกันต่อไปทั้งเทรด ทั้งวิ่ง...

Monday, July 6, 2015

0390 : เรียนวิ่งเท้าเปล่า



เมื่อวานไปเรียนวิ่งเท้าเปล่ากับ อ.โยชิ ซึ่งเราคิดว่าจริงๆเค้าน่าจะชื่อ โยดา มากกว่า เพราะพูดถึง Force พูดถึงพลัง อะไรงี้บ่อยเหลือเกิน จนเรานึกว่าเราเป็นพาดาวันหนุ่มแห่งคอรัสซังซะอีก


ไอ่เราไปสายนิดหน่อย ก็มึนๆ เค้าอธิบายถึงแรงกระแทกเวลาเราลงเท้าไปที่พื้น ถ้าใช้ส้นลงแรงจะสะท้อนไปยังไง ถ้าใช้เท้าด้านหน้าลงจะเป็นยังไง และมีเรื่องของ flow ซึ่งการวิ่งปกติจะทำให้แรงไปปะทะพื้นแล้วหยุด แต่ถ้าฝึกวิ่งเท้าเปล่าแบบถูกวิธี แรงที่ลงพื้นจะเด้งกลับมาส่งให้ก้าวถัดไป เหมือนปั่นจักรยาน เหมือน momentum อะไรงี้


มันคือการควบคุมพลัง แต่ถ้าไม่เข้าใจก็จะตกเข้าไปอยู่ด้านมืด เอ้ย ก็อาจจะบาดเจ็บได้ 555


เวลาวิ่ง เค้าบอกว่า "อย่าคิด แต่ให้ใช้ความรู้สึก" ในหัวเรานี่หน้าอาจารย์ ไควกอน จิน ลอยมาเลย ประโยคเดียวกับที่ อ.ไควกอน บอกกับ อนาคินฯ ตอนที่จะแข่งขับยาน ใน Star Wars EP.1 เบย


การวิ่งของ อ.คล้ายๆกับ นินจาฮัตโตริ มาก ซอยขาถี่ๆ ถ้าออกเสียง นิน นิน นิน ล่ะใช้เลย
 

ตอนท้ายมีให้ปลดปล่อยสัญชาติญาณนักล่า นั่นคือเค้าให้เล่นวิ่งไล่จับ ตอนเราวิ่งไล่จับ เราจะเหมือนเด็ก วิ่งโดยไม่ต้องสนใจท่า เราจะสนใจแค่การวิ่งไปแตะเหยื่อที่อยู่ใกล้ที่สุดของเราเท่านั้น speed เท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องไปให้ถึง พอเล่นเกมนี้เสร็จ HR ปรี๊ดไปแถวๆ 170 bpm เบย แต่ก็หนุกดีๆ


สรุปจะวิ่งเท้าเปล่าได้ก็ต้องไปฝึกให้ร่างกายมันจำให้ได้ ฝึกกันต่อไปนะเรา

Saturday, July 4, 2015

0389 : Life is a choice.



ชีวิตมันคือทางเลือก...
ปัจจุบันสิ่งเร้ามันก็ช่างมากมายเหลือเกิน
บางทีแม็ค เอ้ย ผมก็คิดนะ
ตอนนี้ ณ เวลานี้ มีหลายอย่างที่เราอยากทำ
นู่นก็อยากทำ นี่ก็อยากทำ
แต่คนเรา... แม่งมีเวลาจำกัดหว่ะ
เวลามีจำกัดยังไม่พอ พลังงานก็ยังมีจำกัดอีก
สิ่งที่ทำได้ก็คือทำทีละอย่างล่ะมั๊ง


หรือบางอย่างก็แบ่งเวลาไปทำ
หากมันเป็นกิจกรรมใช้พลังงานคนละส่วนกัน


มันคือการจัดลำดับความสำคัญละมั๊ง
หลักๆที่ผมต้องทำให้สำเร็จก็คือเรื่องฝึกเทรด
แต่จริงๆผมก็อยากทำอย่างอื่นด้วย (แค่ความอยากนะ)
อยากออกไปถ่ายรูป ฝึกแต่รูปด้วยโปรแกรม
แต่เวลามีจำกัด ถ้าผมแบ่งเวลาไปทำกิจกรรมอื่น
หมายถึงผมต้องแบ่งเวลาในการฝึกเทรด
ซึ่งมันจะทำให้เสียเรื่องหลักของเราไป


ผมเลยเลือกกิจกรรมที่ผมอยากทำ
แต่ไม่ได้แบ่งเวลาและพลังงานจากการฝึกเทรดไปเท่าไหร่
เช่นการเขียนเพจ เขียน blog ซึ่งมันเป็นเร่องที่เกี่ยวเนื่องกัน


พี่ต้านเคยพูดไว้ว่า...
การฝึกมันเหมือนกับเราทำสัญญากับซาตาน
เราเลือกที่จะเดินทางนี้ เพราะงั้นเราก็ต้องเสียบางอย่างไป
เออ มารู้สึกจริงๆก็ช่วงนี้แหละ


ชีวิตประจำวันตอนนี้ทำงานประจำเสร็จ
กลับมาถึงห้องราวๆ 5 โมง
อ่าน The Greatest Salesman 1 บท 1 รอบ
แล้วก็ไปออกกำลังกาย
กินข้าวเย็นเสร็จ มานั่งดูตลาด ทำการบ้านส่งโค้ช
ถ้าการบ้านเสร็จไวก็มีเวลาอ่านหนังสือ
ก่อนนอน อ่าน The Greatest Salesman 1 บท 1 รอบ
เข้านอน ปิดไฟ แต่ก่อนที่จะหลับ
ทำสมาธิแบบกำหนดลมหายใจ จนเผลอหลับไปเอง
วนเวียนอยู่แค่นี้เองนะ


แต่ถามว่ามีความสุขไหม
เออ มีสิ มันคือระหว่างทางที่เราเลือกนี่หว่า...


เรามีความสุขที่ได้เห็นการเติบโตของตัวเอง
เอาชนะตัวเองทีละเล็กละน้อย
ขยาย comfort zone ของตัวเองไปทีละนิด
แต่เรายังรักษาสมดุลของชีวิตและการงานเอาไว้ได้


#วันนี้บ่นอะไรแว๊ #ถถถ

Thursday, July 2, 2015

0388 : Racing Toward Excellence



ช่วงนี้ค่อยๆอ่าน Racing Toward Excellence เพราะเป็นหนังสือที่พี่ต้านแนะนำ และพี่สหายก็แนะนำให้อ่าน เพื่อจะได้เข้าใจในเรื่องของการตั้งเป้าหมายชีวิต ส่วนตัวผมก็อยากอ่านนานแล้ว (สงสัยเพราะอยากไม่พอ) ช่วงนี้กลับมาคิดเรื่องเป้าหมายของชีวิตให้มันชัดเจน เลยตะลุยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในชีวิตหลายเล่มเลย


หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Muzzaffar Khan & Jan Sramek ในอดีตเคยทำงานใน Hedge Fund


โดยเค้าจะเน้นการดำเนินชีวิตให้มีประสิทธิภาพ และมีความสุข โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ซึ่งเค้าเรียกว่า The Four Accounts ดังนี้...


1. Emotional health สุขภาพทางอารมณ์
2. Material wealth ความมั่งคั่งทางวัตถุ
3. Mental health สุขภาพทางจิตใจ
4. Physical health สุขภาพร่างกาย


เราจะต้องค่อยๆเพิ่มทั้ง 4 ด้านอย่างมีสมดุล เค้าใช้คำว่า สมดุลเชิงบวก เพราะทั้ง 4 ด้านจะเปรียบเหมือนตัวแทนของความสุข


ลองนึกภาพดูว่า หากมีเงินทองมากมาย (Material wealth) แต่สุขภาพร่างกายไม่ดี ก็คงไม่มีความสุข หรือมีทุกอย่างครบเลย แต่ไม่มีตังค์ ไม่มีข้าวจะแดก เป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ก็คงบอกว่ามีความสุขได้ไม่เต็มปาก


หรือ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ครอบครัวล้มเหลว สามีภรรยา เมินเฉยต่อกัน ก็เท่ากับสอบตกในเรื่องของ Emotional health


การตั้งเป้าหมายในชีวิตก็ควรใส่ใจทั้ง 4 มิตินี้ให้ครบและสมดุลไปด้วยครับ

0387 : ลบ Facebook ออกจาก Smart Phone



หลังจากที่เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ผมตัดสินใจลบ App Facebook ออกจาก iPhone (ผมใช้แต่ iPhone นะไม่มี iPad) ก็พบว่าชีวิตมีเวลาเยอะมากขึ้น ไม่วอกแวกเวลาอ่านหนังสือ หรือ Focus การเทรด

ไม่มีมันเราก็อยู่ได้นะ เข้ามาอ่านนานๆครั้งพอ ส่วน FB Page หรือ FB Messenger ก็ไม่ได้ลบออก เพราะว่าไม่ค่อยได้เข้าดูเท่าไหร่อยู่แล้ว twitter ก็ไม่ค่อยได้เข้าไปอ่านเลย ถ้าไม่มีใคร mention มาก็ไม่ได้เข้า ส่วน Line ก็ปล่อยมันกองไว้ตรงนั้นนานแล้ว สรุปคือ ก็ดึงเวลาคืนมาได้เยอะเหมือนกัน

ผมรู้สึกว่า ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลามีค่ามากขึ้นเท่านั้น...

Wednesday, July 1, 2015

0386 : บันทึกหลังจบไตรมาส 2 / 2558



Note ไว้สักหน่อย...


ผลตอบแทน Port หุ้นไทยล้วนๆ ครึ่งปีอยู่ที่ 4.04% (ไม่นับรวมเงินค่าบริหารพอร์ตที่ pay out 25% of cash flow)


ปีนี้เป็นปีที่เล่นยาก คือหุ้นชาวบ้านวิ่งหมด หุ้นเราไม่วิ่ง ต้องอาศัยเก็บ cash flow ทีละเล็กละน้อยจังหวะที่มันสวิงไปมาๆ เนื่องจากมันไม่ไปไหน T T


ส่วนนึงอาจจะเกิดจากการเลือกหุ้นของเราด้วยแหละ ที่ skill ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ อ่อนด้อยมาก ตัวที่ลอกเค้าก็ได้ค่อนข้างดี แต่ก็ bet ไม่มาก (อะไรที่ลอกคนอื่นเรามักจะไม่ค่อยกล้า invest ในความคิดของเขาเท่าไหร่)


ที่รอดมาได้ส่วนนึงก็เพราะเราหัดยืดหยุ่นขึ้น ไม่ไปเถียงตลาด ไม่สวนตลาด หากหุ้นลงเราก็ Short sell หุ้นตัวเองตามน้ำไปเลย ยิ่งลงก็ยิ่งขาย แล้วค่อยกลับมารับคืน ทำให้รอดจากการยืน Tank จนเลือดหมดกดโพชั่นไม่ทันได้


ซึ่งมันเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนระบบบัญชี เปลี่ยนระบบรับรู้ Cash Flow ของเราด้วย เราเปลี่ยนมาใช้ระบบรับรู้ Cash Flow เมื่อซื้อหุ้นกลับคืนได้ วิธีนี้เอาความคิดของพี่เด่นศรี DSM มาใช้ คือ กำไรเมื่อซื้อ ตามแนวคิดของ Robert T. Kiyosaki


สรุปก็คือครึ่งปีหลังควรจะเพิ่ม skill การเลือกหุ้นให้ดีขึ้น ไม่งั้นเหนื่อย 555

Sunday, June 21, 2015

0385 : Back to Basics



หลังจากที่หยุดเทรดเพื่อครุ่นคิด แสวงหาอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป จริงๆก็เกี่ยวกับเรื่องความมั่นใจด้วยอีกเรื่องหนึ่ง


สิ่งที่เราขาดไปก็คือเรื่องของการวัดค่าว่าการเทรดของเรานั้นมันคุ้มค่า หรือ จะทำกำไรได้ในระยะยาวหรือไม่? พูดภาษาระบบเทรดก็ expectancy ของเราเป็นอย่างไรนั่นแหละ ในระยะยาวมันจะกำไรไหม


ถ้า expectancy ติดลบ ก็เหมือนเอาเงินมาแจกชาวบ้านในตลาด เงินจะค่อยๆหดไป (ด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ บางทีแม้เราจะออกแบบมาดี แต่วันนึงที่เราหลุด เราก็โดนอยู่ดี)


เราก็เลยกลับมาที่ทำยังไงให้เรามีความได้เปรียบ หรือ Edge ในตลาดนี้ ซึ่งจะทำให้ Expectancy เราเป็นบวก


เรากลับมาฝึกเบสิคใหม่อีกรอบเลย ตั้งแต่ต้น ไป Cocktail คุกเข่า ให้อาจารย์ท่านนึงสอนให้ตั้งแต่ระดับ Beginner


เรานึกถึงตอนที่โกคูพาโกฮังไปฝึกในห้องกาลเวลา ก่อนจะสู้กับเซลล์ โกคูบอกว่า "เรามาฝึกกันตั้งแต่ต้นดีกว่า" สุดท้ายโกฮังทะลุไปเป็นซุปเปอร์ไซย่า 2


เราหวังว่าเราจะค้นพบพลังแบบนั้นในตัวเราบ้าง...

Thursday, May 28, 2015

0384 : Diary 28 พ.ค. 2558



หลังจากที่งานประจำเราเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ รู้สึกว่า Job มันส่งเสริม skill เรื่องการลงทุนได้ดีเลยแหละ ได้เจอนักธุรกิจที่เจ๋งๆบ่อยๆ ได้ความรู้เค้าสิ่งที่เค้าเล่าให้เราฟัง ผ่านประสบการณ์อันยาวนานของเขา เออ เจ๋งโคตร


วันนี้ก็ได้นั่งคุยกับเจ๊คนนึง สายโหดเรื่อง Farm กุ้ง ถึงขนาดที่ว่า CP ยังต้องส่งคนมาดูวิธีการเลี้ยงของฟาร์มเค้า ความรู้เค้าเยอะมาก ทั้งการบริหาร ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เราฟังแล้วเราคิดว่าที่เราใช้วิเคราะห์หุ้น หรือ ใช้เทรด นี่กากไปเลย 555


แกบอกว่า นอกจากจะมีความรู้แล้ว ต้องมีจิตวิญญาณของเถ้าแก่ด้วย จิตวิญญาณของเถ้าแก่ กับ จิตวิญญาณของลูกน้อง มันต่างกันนะ ไม่เกี่ยวกับตำแหน่ง เป็นพนักงานเจ๊ก็ฝึกให้เขาเป็นเถ้าแก่ อยู่ในบริษัทเจ๊ "ปลูกต้นอะไร ได้ผลแบบนั้น" อยากได้เยอะ ก็ทำเอา มีปัญญาเท่าไหร่ ทำได้เลย เจ๊กล้าจ่าย (แกแบ่ง Department net profit sharing 10% ให้ลูกน้องระดับ manager ทุกปี) แกให้ความสำคัญกับคนมาก


แกสอนว่า จะทำอะไรต้องรู้...

1. รู้ว่าเราทำอะไร

2. รู้ว่า Key Success Factor มีอะไรบ้าง ต้อง List ออกมาเป็นข้อๆให้ได้

3. Crisis จะมาจากทางไหนได้บ้าง


เวลาเจอ Crisis จงหยุดความเสียหาย แกใช้คำว่า Cut Down ส่วนที่เสียหาย ป้องกันมันลามไปส่วนอื่น และ Protect ส่วนที่เหลือให้ดีที่สุด แกบอกว่าแกแบ่ง Phase เพื่อกระจายความเสี่ยง ป้องกันการเจอ Crisis ทั้งระบบ ถ้าแบ่ง Phase ก็ เลือก Cut Down ได้สะดวก (เรารู้สึกว่า นี่มันการ Cut Loss ชัดๆ 555)


Trader คือ พ่อค้า วันนี้ได้ศึกษาจากโคตรแม่ค้ารู้สึกว่าเค้าเจ๋งโคตร

Wednesday, May 27, 2015

0383 : Diary 26 พ.ค. 2558



การเทรดปัจจุบันของเราเหมือนตอนเราเล่น Ragnarok มาก

เมื่อก่อนปล่อยบอทโร๊คหาอีลู บอทม๊องอาชูร่าหาการ์ดม้าดำ
(เขียนสคริปท์ให้มันวาร์ปไปต่อยม้าดำแล้วกดบีวิงบินกลับมาเติม SP ที่คาฟราแล้วก็วาร์ปไปใหม่)

แล้วก็ปล่อยบอทพ่อค้าตั้งขายไอเท็มในมอร็อค แม่งทำโคตรเป็นระบบ 555

พอได้ Cash มาก็มาหาไอเท็มให้ตัวละครหลักที่เล่นซึ่งก็คือ Champion สาย Str+Dex+Int
คือเอาไว้ต่อยบอสกะต่อยคน เน้นต่อยแรกต่อยไว 555


ส่วนปัจจุบันในพอร์ตตอนนี้แทบจะยกหน้าที่หา Beta ให้พอร์ต Arbitrage เลย
ไม่เหนื่อยสมองดี ได้เรื่อยๆสม่ำเสมอ
ส่วน Trading Department ใน Fx ก็วางถุงกาวชั่วคราว 555


ได้ Cash Flow จากพอร์ต Arbitrage ก็แบ่งไปใช้จ่าย แล้วก็ซื้อหุ้น
พอร์ตหุ้นก็เทรดเน้นกิน Trend
แต่ก็มี positions swing trade ราวๆ 20% ของจำนวนหุ้นที่มี
เอาไว้ช่วยในการสะสมหุ้น

ตอนนี้อยากทำให้พอร์ตหุ้นมันกลายเป็น Champion สาย Str+Dex+Int ต่อยแรงๆนั่นแหละ
คงต้องหา skill หาหุ้น Big Shot กะเค้ามั๊ง

Saturday, May 23, 2015

0382 : Diary 23 พ.ค. 2558



1. พี่ Ajakkk ชวนลงไตรมาราธอน ประเภททีมที่หัวหิน โดยให้เราลงวิ่ง 11 km ส่วนพี่ Ajakkk ลงปั่นจักรยาน 40 km แล้วก็ขุนนิว buddy dark side ของเราลงว่ายน้ำ งานจัดช่วงกลางเดือนสิงหาฯ

เราไม่เคยวิ่งถึง 11 km มาก่อนเลย เคยมากสุดก็ 8 km แต่ถามตัวเองว่าทำได้ไหม ก็ไม่สงสัยหรอก ถ้าจะทำก็ต้องทำได้อยู่แล้ว เดินขึ้นดอยสุเทพ ตรูยังเดินมาแล้วเลย

ช่วง 5-6 ปีก่อนเคยคิดทดสอบตัวเอง วันศุกร์ทำงานเสร็จ นั่งรถเมล์ไปเชียงใหม่ แล้วก็เช้าวันเสาร์ น่าจะประมาณ 6 โมงเช้า ออกเดินจากโรงแรมขึ้นดอยสุเทพ ถึงเกือบเที่ยง โชคดีที่วันนั้นำไม่ร้อน แถมฝนยังตกปรอยๆ เดินสบายๆเลย ฝรั่งนั่งรถบัสผ่านมาก็ยกนิ้วโป้งให้ 555 ขำดี ระหว่างทางมีคนที่ขี่มอร์ไซด์ขึ้นมาเค้าก็ถามว่าไปด้วยกันไหมอยู่เป็นระยะๆ เราก็บอกไม่เป็นไรครับ มีบางคนก็ถามเดินแก้บนรึเปล่า เราก็เออออไป 555 ขี้เกียจตอบว่า จริงๆแล้วก็มาเดินเฉยๆนี่แหละ พอไปถึงไหว้พระเสร็จก็นั่งรถแดงกลับลงมา เพราะเดินลงไม่ไหวล่ะ ไม่ได้เตรียมใจมาเดินลงด้วยอ่ะนะ แหะๆ

เออ บ่นซะยาวเลย สรุปคือ 11 km ไม่หวั่น แต่ระหว่างนี้ก็พยายามซ้อนให้ดีที่สุดละกัน พี่ Ajakkk แนะนำวิ่งช้าๆแบบไวกว่าเดิมหน่อยเดียว แต่ต่อเนื่องทุกๆวัน

ซ้อนวิ่งแบบให้ HR อยู่ราวๆ 65-70% ของเราก็ตกอยู่ที่ 124-133 วิ่งต่อเนื่องให้นานที่สุด

ชื่อทีมก็ตั้งกันได้ฮามาก คือ ทีม "ตะ เตือน ไตร"

จะเป็นยังไงต่อไปก็ไว้มาอัพเดทให้ฟังใหม่นะจ๊ะ


2. กลับมาถามตัวเองอีกครั้งเรื่องเป้าหมายในชีวิต ช่วงนี้รู้สึกสับสนเหลือเกิน หยุดเทรดในส่วนของ trading department ไปเลย เหลือแค่ double box department เท่านั้น ซึ่งวันนี้ก็พยายามสงบใจคุยกับตัวเองเหมือนกันว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ เราไม่อยากให้โจทย์เราผิด ซึ่งต่อใ้ห้เราตอบถูก มันก็ผิดอยู่ดี

Monday, May 18, 2015

0381 : Diary 18 พ.ค. 2558

 
 
วันนี้เปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายตำแหน่งน่ะ ก็รู้สึกดีกว่าเดิมนะ เพราะการเปลี่ยนแปลงล่ะมั๊ง แต่ก็ต้องดูต่อไป มันย่อมมีทั้งวันที่ดีและวันที่แย่ แต่ตำแหน่งใหม่ก็เหมือนจะสามารถ focus และมีสมาธิได้ดีกว่างานเดิมอ่ะนะ
 
 
ตกเย็นออกไปวิ่งแป๊บนึง แล้วก็กลับห้องมาทำอาหารคลีนกิน ทำกะภรรยา 2 คน ใช้เวลาพอสมควรเลย การทำอาหารนี่ไม่ง่ายเนอะ กว่าจะเสร็จก็เป็นชั่วโมง แต่ก็หยั่งว่าน่ะแหละ มันก็ต้องแลก ถ้าไปกินตามร้าน มันสะดวกแต่คุณภาพก็ไม่เท่ากับเราทำเองอยู่แล้ว ก็ฝึกทำไปเดี๋ยวคงชินและก็ชำนาญขึ้นใช้เวลาน้อยลงล่ะมั๊ง
 
 
การเทรดหุ้นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากเลย mark จุดตลาดไปเรื่อยๆ ถ้าลงมาก็รับกลับ ขึ้นก็ขาย mark จุดกันไป ยังอยู่ในโซนเก็บ swing อยู่ positions ใหญ่ๆก็ถือ let profit run ไว้ใน port รับปันผลไปพลางๆ พวก positions เล็กๆก็เก็บ swing ลดต้นทุนกันไป เวลาที่เหลือก็เอาไปทำการบ้านเรื่องพื้นฐานหุ้นรายตัว (ยังไม่ได้เริ่มเลย ฮ่าๆ)
 
 
ส่วน Forex กำลังอยู่ในช่วงย้าย port อีกรอบ ย้ายบ่อยมากเลยช่วงนี้ โบรคเปลี่ยนแปลงประเภทบัญชี ก็ไม่ว่ากัน เพราะเค้าคงพยายามปรับปรุงการให้บริการ บัญชีใหม่ก็ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นด้วยสิ สบายเราเลย ยอมเสีย spread อีกนิดนึง ฮึ่มๆ แล้วก็วาง model ยาวๆ มันใกล้จะลงตัวล่ะ เพราะเราก็ปรับเรื่อง minimum capacity แระ ก็ทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นอีกนิดนึง ก็เกิดจากการตัดส่วนเกิน maximum capacity ของ port นึงมาใส่อีก port นึงนั่นแหละ ทำไมไม่คิดให้ได้ไวกว่านี้วะ 555
 
 
ดึกแล้ววันนี้ เข้านอนก่อน แล้วพบกันใหม่ครับ ^ ^

Tuesday, May 12, 2015

0380 : Diary 12 พ.ค. 2558



Gold


ใน port Xm.com วางแผนไว้เล่น 3 bullet ตอนนี้ปล่อยออกไป 2 let profit run 1 bullet คือ Gold 000 แผนคือถ้าลงมาก็รับกลับแถว 1183 เหมือนเดิม แต่ถ้าหลุดก็จบ พอร์ตนี้ก็ปล่อยว่างก่อน รอไปปลดกระสุนจาก port cent ของ lite forex มาค่อยกลับมาเล่น ที่ย้ายโบรคฯก็เพราะ Xm เทรดลื่นกว่า lite forex มากๆ สำหรับ port cent นะ สามารถ scalping ได้สบายๆเลย แต่ lite forex port cent มักจะติด re-quote อ่ะ ทำให้ เสียจังหวะไปหมดเลย



Monday, May 11, 2015

0379 : Diary 11 พ.ค. 2558



AJ


เปิดตลาดมาราคาร่วงลง ไม่ทันได้ทำ scenario ที่คิดไว้กับ bullet c.Banc01 เลยต้องจัดการกับ c.Banc03 แทน แผนต่อไปก็คือ จะแยกเป็น 2 Scenario


1. หากราคาลงมา ก็จะกลับเข้ามาเปิด call bullet ซ้ำแถวๆที่เดิม หรือต่ำกว่า ซึ่งจะแตกเป็น 2 scenario อีกที

1.1 หาก call bullet วิ่งขึ้น ก็จะไปลุ้น cover loss ของ c.Banc01
1.2 แต่ถ้าผิดทางวิ่งลงต่อ ก็อาจจะต้อง cut loss option ออกทั้งคู่ ซึ่งจะเสียค่า swap และ spread นิดหน่อย


2. หากว่าราคาไม่ลง แต่กลับวิ่งขึ้นก็จะ let profit run ต่อเพราะ nav มันฟื้นขึ้นมา แต่ถ้ากำไรก็อาจจะปิดให้กลายเป็น full hedge ต่อไป รอ CF จาก Close System มาปลดกระสุนออกทีละคู่



Saturday, May 9, 2015

0378 : Diary 10 พ.ค. 2558



AJ


ตัวนี้เมื่อวันที่ 27/4/2015 ยิง option ปลอมไป 1 ชุดที่ราคาแถวๆ 93.50 - 93.60


ตอนนี้ call bullet กำไรอยู่ $11.41
ส่วนนัดที่ติดดอยอยู่ต้องแก้ไขถัดไปคือ c.Banc03 ติดลบอยู่ $1.35
ถัดขึ้นไปอีกนัดจะเป็น c.Banc01 loss อยู่ที่ $10.44


หากตลาดเปิดมาวันพรุ่งนี้ ถ้าสามารถปิด c.Banc01 ออกได้ก็จะปิดก่อน แล้วเหลือ c.Banc03 ซึ่ง loss น้อยกว่าไว้ก่อน gap loss จะได้ไม่กว้างมากเกินไป ซึ่งจะแก้ไขได้ง่ายกว่า


ถ้าจบตาม Scenario นี้ก็จะเหลือ Net Long อยู่ 1 นัด


step ต่อมาที่จะแก้ก็คือ ถ้าหากราคาร่วงลงมาก็คงเอา call bullet ที่ปิดไปมาเปิดให้ต่ำกว่าเดิมหรืออย่างน้อยก็ราคา entry เดิมคือแถวๆ 93.60


ส่วนถ้าราคามันวิ่งขึ้นต่อก็ค่อยหาจังหวะตอนมันกลับตัวปิด Long ออก 1 นัด เพื่อให้กลายเป็น Full Hedge แล้วค่อยหาก Close System มาปลด loss ดีกว่า






Friday, May 8, 2015

0377 : Diary 9 พ.ค. 2558



กลับมาดูตลาดบ้าง หลังจากไม่ค่อยได้ดูเลย เพราะมัวแต่ไปแก้ port double box โดนโบรคฯกวนทีนนิดหน่อย โดนค่าเสียหายไปราวๆ $300 กำไรที่ทำมาหายหมด และกินทุนไป $50 เศร้าเบย แต่ก็คิดวิธีแก้ได้อีกทางละ คือแยกโบรคฯไปแม่มเลย ส่วน port อื่นก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีตามปกติ


Oil


มาปิดแถวๆจุดวัดใจของเราเลย ก็คงรอรับแถว bridge อีกนัดนึงแหละ เพราะเราเก็บระยะได้เยอะแล้ว เล่นขึ้นขาย ลงซื้อ ไปเรื่อยๆ เพราะเราได้เปรียบเรื่องต้นทุนละ แต่ถ้าหลุดลงต่อก็ค่อยรอต่อไป เพราะเราเทรดฝั่ง Long Only อ่ะนะ





Gold


กราฟ month เห็น bridge ชัดเจนมาก น่าเก็บสะสมเลยแหละ




ส่วน H4 จุดที่น่าเข้า Long คือแถว 1183-1184 ซึ่งเมื่อวานเราก็เก็บแถวนี้ทำรอบได้ เก็บแล้วไปปล่อยโซนบนแบบกระจาย Layer ก็น่าจะดี เพราะดูท่ามันน่าจะใกล้ระเบิดพลังแล้วแหละ ทางไหนก็อีกเรื่องนึง 555






Double Box Model


ตอนนี้รอราคาไปโซนใหม่อย่างเดียวเลย เพราะ price zone ในแต่ละ product เราวาง Layer กระจายไว้หมดแล้ว ถ้า move zone ไปเมื่อไหร่ก็จะได้ทำ cf / day ได้เพิ่มขึ้น

Monday, May 4, 2015

0376 : พื้นฐานแน่นหรือยัง




จะ trading for living แล้ว personal finance แข็งแรงรึยัง ?


ช่วง 2-3 เดือนก่อน พี่สหายชี้แนะประเด็นนี้ขึ้นมา เราฝันอยากทำโน่นทำนี้ เทรดแบบนั้นแบบนี้ เออ แล้วตกลง basic มึงแน่นรึยังวะ ?


พูดถึงพวก RRR หรือ expectancy แล้วก็เลยไป personal finance การเงินส่วนบุคคลเนี่ย เอ็งครบแล้วหรือยัง


เอาง่ายๆก็ เงินสำรอง , การป้องกันความเสี่ยง แล้วก็เตรียมตัวเกษียณไว้หรือยัง


เตรียมตัว เตรียมตังค์ เกษียณแบบคุณภาพชีวิตเท่าเดิม วางแผนไว้หรือยังวะ (วางแผนเกษียณให้ไม่จนไปกว่าปัจจุบัน เพราะคนเรามักจะรับการลดระดับคุณภาพชีวิตไม่ค่อยได้)


step แรกอย่าเพิ่งคิดรวย เอาแค่เลเวลนี้ให้ผ่านก่อน


ถ้าผ่านแล้วก็ทำส่วนของความมั่งคั่งควบคู่กะการเกษียณไปด้วยได้


อย่าเพิ่งสร้างตึกสูง ถ้าฐานยังไม่แข็งแรง ถ้าล้มแล้วมันเจ็บหนักนะ...

Sunday, May 3, 2015

0375 : In Time



In Time


ผมได้ยินมุมมองจากพี่สหายและได้ยินจากพี่ต้าน live trade พี่ๆเค้ามอง convert จากจำนวนเงินเป็นหน่วยของเวลา ซึ่งน่าจะมาจากการศึกษาเรื่อง ทุน ของ Karl Marx


เรามีรายได้เท่าไหร่ คิดออกมาเป็นวัน เป็นชั่วโมง แล้วเทียบกับสิ่งของที่เราจะซื้อ


เช่น iphone 6+ ราคา 30,000 เราต้องทำงานเป็นเดือนเลย กว่าจะซื้อได้ ไม่นับต้นทุนชีวิตเราอีกนะ ค่าข้าว ค่าเดินทาง โอ้โห มันสูบชีวิตเราไปเป็นเดือนๆเลย


นึกง่ายๆลองคิดว่าทุกคนมีนาฬิกาชีวภาพติดแขนเหมือนหนังเรื่อง In Time พอเราจ่ายเงินค่า iphone 6+ เวลาชีวิตเราก็ถูกโอนถ่ายไปให้ ทิม คุก และ ผู้ถือหุ้น apple ซะแล้ว


แล้วทำยังไงดีล่ะ เวลาจะหมดก็ต้องทำงาน หาเวลาใหม่อ่ะสิ ในหนังดีตรงที่ไม่แก่ ไม่ตาย ยกเว้นยากจน จนเวลาหมดถึงตาย แต่ชีวิตจริงเรามีเวลาจำกัด และไม่รู้ด้วยว่า วันสุดท้ายคือเมื่อไหร่


หรือใครเป็นเทรดเดอร์ ก็มองทุกอย่างเป็น pips หรือ point แบบพี่สหายของผมก็ได้ ของชิ้นนี้ราคากี่ pips แล้ว average ของเราเทรดวันนึงได้กี่ pips เราต้องเทรดกี่วันถึงจะได้ของชิ้นนี้มาครอง สุดท้ายเราก็คงถามตัวเองอีกทีว่ามันจำเป็นจริงๆไหม 555

ผมเล่นเกม เกมนึง มันมีประโยคที่ว่า "โฆษณา คือ เส้นเลือดใหญ่ของระบบทุนนิยม" นั่นคือเค้าใช้โฆษณาล่อให้เราอยากได้ อยากมี พยายามจับแขนแล้วดูดเวลาออกจากนาฬิกาชีวภาพของเราแบบใน in time


เออ ทำไมเราต้องยอมวะ ขโมยเวลามันกลับบ้าง สร้างเครื่องปั้มเวลาขึ้นมาบ้างกันเถอะ เครื่องปั้มเวลาก็คือ asset นั่นเอง asset ปั้มเวลาให้เรา แทนที่เราจะต้องไปทำงานแลกเงิน เพราะงั้นอิสภาพทางการเงินเลยสำคัญ


อิสภาพทางการเงินทำให้เกิด leverage ด้านเวลา คนที่มีเวลาว่างได้เปรียบกว่า ไปไหนมาไหน ไม่ต้องแย่งกับคนอื่น เพราะคนอื่นไม่ว่างไง มีเวลาว่างสามารถใช้อิสระทางความคิดได้เต็มที่ ไม่ต้องแบ่งสมองไปคิดเรื่องงานประจำที่บางทีเราต้องเอาเวลาเราไปแลก มีเวลาดูแลสุขภาพ ครอบครัว ได้เต็มที่


ขอให้ทุกคนมีเวลาเยอะๆครับ ^ ^

Friday, April 17, 2015

0374 : Real System



"When I'm out in the field, my bow, my arrows, those are just tools. I'm the weapon."

- Oliver Queen ‪#‎Arrow‬


เมื่อคืนผมดูซีรีย์ Arrow ได้ยินประโยคนี้จากพระเอก ชอบมากเลย


พระเอกบอกกับ Ray Palmer ว่า "เมื่อผมอยู่ในสนามรบ ธนู หรือ ลูกธนู เป็นเพียงแค่เครื่องมือเท่านั้น แต่ผมต่างหากที่คืออาวุธ"


ประโยคนี้ตรงกับที่พี่สหายเซียนหุ้นแม่สอดแนะนำผมเลย "ตัวเรา คือ ระบบ , ระบบ คือ ตัวเรา" จะใช้อาวุธ (indicator) อะไร ก็อยู่ที่เราเลือก ถ้าต่อสู้ประชิดตัว เราคงไม่เลือกหอก ถ้าต่อสู้ระยะไกล เราคงไม่เลือกมีด หรือ ดาบ จะเลือกอะไรก็อยู่ที่การประเมินสถานการณ์ของเรา


ไอ่การประเมินสถานการณ์นี่แหละสำคัญ มันก็คือมุมมองการอ่านตลาดของเราละมั๊ง ถ้าเราพัฒนามุมมอง mindset ของเราให้ดีๆ เราก็ย่อมเลือกหยิบจับอาวุธได้อย่าเหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ


แต่... ด้วยความมักง่ายของเม่ามือใหม่นั้น เราชอบพยายามหาสุดยอดเครื่องมือที่จะใช้ได้ผลในสถานการณ์ ซึ่งมันไม่มีอยู่จริง จนบางทีเราก็หลงทางกันไป


อย่าลืมว่า พัฒนาตัวเรา = พัฒนาระบบ นะครับ

Thursday, April 16, 2015

0373 : Diary 16 เม.ย. 2558



AUDJPY


เด้งขึ้นมาแรงๆ ตอนนี้จะ short ก็ทำได้นะ เพราะกลับเข้าโซนเดิมที่รอบที่แล้วพลาดไปนั่นแหละ แต่มาดูกราฟ day มันมาชนเส้น MA เลย เลยลอง bet ไปดู เพราะถือว่าเล่นกับจังหวะ linear vs non-linear ถ้าถูกได้ Cash Flow ถ้าผิดก็ข้างบนของ trading department หลุดดอย


exit ของ bullet นี้คือเมื่อกลับลงมาชนโซนก่อนหน้าที่ข้างล่าง ก็หาจังหวะเทรดลดทุนอีกรอบ







Tuesday, April 14, 2015

0372 : Update trading for living way



เมื่อตอนปลายปี 2013 ผมตั้งใจจะทำ port เพื่อ trading for living ให้ได้


แล้วก็มา update อีกทีตอน http://value-visions.blogspot.com/2014/07/0251.html


จนมาวันนี้อยากมา update อีกที...


ณ ตอนนี้ก็สามารถทำได้แบบสบายๆแล้ว เพียงแต่ทำได้แค่ ... ทำ excess cash flow ทดแทนรายได้จาก active income ได้แล้วเท่านั้น


step ต่อไปก็คือ ตั้งใจจะทำให้ 25% ของ excess cash flow cover ค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ได้


ที่ต้องตั้งเป้าให้ 25% ของ excess cash flow มันเพียงพอกับกาารใช้จ่ายก็เพราะ ถ้าเราดึงกำไรออกมาใช้จ่ายแค่บางส่วน ก็จะทำให้กำไรที่เหลือใน port โตแบบทบต้นไปด้วยอีกทางหนึ่ง


ซึ่งถ้าเรากำไร 100 บาท ดึงออกมาใช้ 100 บาท port ของเราก็จะไม่โตเลย แต่ไม่จำเป็นต้องเอากำไรที่ได้มาทั้งหมดอีก 75% ไปเทรดตลอดเวลา บางทีเก็บมันในรูปของเงินสด(หลายๆสกุลเงิน)ไว้ก็ได้ ค่อยๆเทรดไปตามปกติ ถ้าตลาดเจอวิกฤติมา เงินสดที่เรามี ก็จะกลายเป็นกระสุนให้เราได้คว้าโอกาสเหล่านั้น


นึกย้อนไป จริงๆการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง หรือ ทำตามความฝัน มันอาจจะอยู่ที่ว่า เราจะตัดสินใจทำมันหรือเปล่า แค่นั้นเองแหละมั๊งครับ ... ถ้าวันนั้นผมไม่ตัดสินใจ เอาวะ! ตรูจะต้องเทรดเลี้ยงตัวเองให้ได้ มันก็คงไม่มีการก้าวเดินตามเส้นทางมาถึงวันนี้


ณ วันนั้น วันที่ผมตัดสินใจ ถามว่า วันนั้นรู้ไหมว่าต้องทำยังไงบ้าง ไอ่การเทรดเพื่อเลี้ยงชีพเนี้ย วันนั้นผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่รู้ว่า ต้องออกเดินทาง ต้องจับดาบขึ้นมาสู้แล้ว


มันอาจจะเป็นความเชื่อด้วยแหละที่ส่งเสริม และให้พลังงานหล่อเลี้ยงจิตใจผม


ผมไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าตัวเองจะทำได้ไหม รู้ว่าทำได้แน่ๆ เพียงแค่เมื่อไหร่เท่านั้นเอง


พอเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็ไปหาความรู้ ไปหากลยุทธ์ที่จะลงมือทำ และลดระยะเวลาจาก ที่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ก็ลดระยะเวลาลงเหลือ 5 ปี , 3 ปี , หรือ 1 ปี ก็ได้


ถ้าออกเดินทาง เราจะค้นพบเส้นทาง ...


อย่ากลัวที่จะออกเดินตามความฝันครับ ^ ^

Sunday, April 12, 2015

0371 : Diary 13 เม.ย. 2558



AUDJPY


เม่าอีกแว้ววว ทำพลาดในการเทรด AJ ไป จริงๆตอนนั้นมีกระสุนที่ปิดไปก่อน 1 นัดแล้ว คือ bullet hedge 02 ซึ่งเทรด sell จาก 92.707 มาปิดที่ 91.313 แล้วรอบที่มันเด้งรอบนี้ เราลืม monitor bullet นัดนี้ไป ทำให้อดเทรดลดต้นทุน เก็บระยะเลย ถ้าเข้าเทรดแถวๆเดิม น่าจะเก็บระยะได้อีกราวๆเกือบ $10 เลย ฮือๆ พลาดจริงๆ วันนี้ตลาดเปิดมาแล้วราคาร่วงแรงเลยเอะใจว่าเราลืมอะไรไปสักอย่าง มาเปิดกระสุนย้อนดู โอ้ย พลาดแล้วตรู จริงๆก็เพราะเราไม่ได้ทำ trader profile ของ layer กระสุนแต่ละนัดด้วยแหละ เอาใหม่ๆ T T


ที่เราไม่กล้าเข้าก็อาจจะเป็นเพราะ มันดีดขึ้นแรง เราก็กลัวจะติดด้วยแหละ แล้วก็ชะล่าใจ ปล่อยให้ nav มันฟื้นตัวอย่างเดียว เลยลืมนึกถึงกลยุทธ์ไปเลย





Oil


วันหยุดนั่งฟังไฟล์เสียงที่พี่ต้านสอน advance option มีหลุดๆเรื่อง bridge มาเพิ่มเติม ก็เลยเอามาคิดใหม่กับการเทรดน้ำมัน ซึ่งเราก็เลยลองแบ่งโซนใหม่ดู อันเก่าเหมือนจะโลภไป 555 เลยแบ่งแล้วก็ปิด position ไปก่อนมันอยู่แถวๆ bridge แนวต้านพอดี เพราะทาง trading department อยากให้เน้นเทรด ไม่อยากให้เกิด drawdown ก็เลยต้องมาวางแผนใหม่อีกครั้ง



Friday, April 10, 2015

0370 : Diary 10 เม.ย. 2558

 
 
EURJPY
 
 
วันนี้ EJ ทิ้งตัวลงมายาวๆเลย ห่าง MA TF H4 เกิน 2 SD แล้วก็เลย ปิดดึง CF ออกมาก่อน แล้วรอเทรดลดต้นทุนตอนมัน mean reverse กลับหาเส้น ไม้นี้จริงๆก็เสียโอกาสไปมากพอดู ตอนที่มันขึ้นไปสูงๆ loss ไป $10 กว่าเหรียญ ไม่ยอมยิงซ้ำ เพราะคิดว่าปล่อยให้ equity ฟื้นตัว และไม่อยากไปยิงสวน เลยพลาดโอกาสไป แต่ก็นั่นแหละ มันคือทางเลือกที่เราไม่ได้เดิน รอบหน้าต้องคิดเผื่อไว้ใหม่ จริงๆน่าจะเล่นวนจังหวะฉีก 2 SD ได้เหมือนกันนะ เอาใหม่ๆ
 
 
ไม้นี้เห็นกำไร เห็น price ฉีกห่างๆ MA ก็ปิดเลย รอดูกันว่าตลาดจะเอายังไงต่อไป ตอนนี้เรา bet ว่ามันจะดีดตัวกลับขึ้นไป ถ้ามันจะลงต่อก็คง follow ตามไปอีกนั่นแหละ สร้าง layer ไว้ 1 layer ละ เหลือ Quota อีก 2 layer
 
 
 
 
 
Oil
 
 
น้ำมันปล่อยให้กำไรหดจนเป็นขาดทุน เพราะโลภจะเอากำไรก้อนใหญ่ ฮ่าๆ กะกินแบบ max เลย ซึ่งโอกาสจะโดนมันก็น้อย สู้กินในช่วง SD ดีกว่าเนอะคราวหลัง พลาดไปๆ ลุ้นต่อเหมือนเดิม ดูไปๆก็เห็น Bridge เริ่มหนาๆบน ma ละนะ
 
 

Tuesday, April 7, 2015

0369 : Diary 7 เม.ย. 2558

 
 
Oil
 
 
วิ่งขึ้นมาแรงๆ ใจก็อยากปิดดึง CF ออกเหมือนกัน เริ่มใจสั่นละ 555 เห็นกำไรไม่ได้ จริงๆแผนก็คือ ถ้าฉีกจาก ma เกิน 2 SD ค่อยปิด
 
 
SD อยู่ที่ 2.1
2 SD = 4.2 หรือ กำไร $42 นั่นเอง
MA อยู่แถวๆ 49.60
 
 
จะปิดก็ต่อเมื่อฉีกไปอยู่ที่ 53.80 - 53.90 ก็แล้วกัน แต่ถึงตอนนั้นก็ดูอีกทีว่าถ้ามันไปต่อแรงจริงๆก็อาจจะใช้ stop profit เลื่อน trailing stop แทนก็ได้ เพราะอยาก run trend ให้ยาวๆเหมือนกัน มองว่ารอบนี้มันน่าจะวิ่งยาวๆอยู่นา หลอกเรามา 3 ครั้งแล้ว (ใน TF Day ด้วย)
 
 

Sunday, April 5, 2015

0368 : Diary 6 เม.ย. 2558



วันนี้ตื่นมาเจอทองเปิดโดดขึ้นมาแถว 1215-1218 เลยปิด position ออกไป 1 bullet เพราะมันฉีกออกจาก ma 2SD ($20) เลยมองว่ามันน่าจะไปต่อได้ไม่ไกล อาจจะมีย่อลงมาก่อน ส่วน positions ใน zone trading ก็ซื้อขายตามโซนปกติ


ตอนนี้แผนที่วางไว้ก็คือ ถ้ามันย่อลงมาใกล้ ma ก็ long กลับ เพราะลดต้นทุนได้ แต่ถ้ามันไม่ลงมาก็รอให้มันสร้างกรอบราคาใหม่ค่อยไป long นัดใหม่ที่กรอบล่าง





Oil


วันนี้เริ่มเห็น bridge ชัดเจนขึ้น แล้วก็เริ่มยืนๆเหนือ ma ได้ เลยคิดว่าจะเข้า long 1 นัดใน close system





AUDJPY


จากที่เข้าวันนั้น มองผิดไป ตลาดยังไม่ไปไหนเลย กลับโดน volatility ลงขึ้นไปอีก ตอนนี้เลยราคาเท่าทุนอยู่ รอต่อไป





EURJPY


EJ let price run ไปก่อน