Pages

Friday, September 28, 2012

0071 : Value Visions 28-09-2012


ไม่ทันไร Q3 ก็จะผ่านไปแล้ว
ปีนี้เป็นปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดีอีกปีนึงครับ
SET วิ่งขึ้นมา 27% ได้มั๊ง

ส่วนผลตอบแทน Port ของผมนั้นเน่าเหลือเกิน
สาเหตุก็คือในช่วงต้นปี ตัดสินใจพลาดไปหน่อยครับ
ถือหุ้นน้อยตัว และแถมไอ้น้อยตัวนั้น
ก็ดันไม่ Rally ไปกะ SET (แม่นเหลือเกิน)
เสียซะนาน จนตอนนี้ก็ยังนิ่งอยู่
(แต่ผมทยอยปล่อยไปเยอะแล้ว)

ผลตอบแทนในปีนี้ของผมอาจจะไม่มาก
และแพ้ตลาด แต่ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร
แต่สิ่งที่ได้นั้นก็คือประสบการณ์ที่มากขึ้นครับ

ปีนี้ Learning Cruve ของผม
ชันมากขึ้นเยอะเลยครับ
จากปีที่แล้วที่แทบไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่
ขี้เกียจโคตรๆ เพราะอะไรๆก็ดูง่ายไปหมด
แต่พอปีนี้พอร์ตนิ่ง ผลตอบแทนน้อย
ก็รู้ตัวว่าเราคงผิดอะไรสักอย่าง
ต้อง Active กว่าเดิมให้มากๆ
ก็เลยหาความรู้อย่างจริงๆจังๆ
จากที่เล่นหุ้นแบบมั่วๆ
เข้าเทรกแต่ละที ตามอารมณ์และทรงผมไรงี้
ก็เริ่มศึกษาโมเดลเทรด
เพื่อตัดอารมณ์ออกจากการตัดสินใจ
แล้วก็เทรดแบบมีMoney Management
จำกัดความเสี่ยงด้วย positions sizing
แล้วก็เริ่มมี Trailing Stop แล้วครับ
จากเดิมที่ทนดูเงินหายแบบมึนๆ

ผมว่าสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในปีนี้มีค่ามาก
มากกว่ากำไรที่ได้น้อยในปีนี้เยอะเลยครับ
ปีหน้าคงอยู่ในตลาดได้ดีขึ้นแน่นอน

ส่วนปีนี้ก็ใช้ว่าจะยอมแพ้นะครับ
เหลือเวลาอีก 2 เดือน ก็สู้เต็มที่ึครับ : )

Thursday, September 27, 2012

0070 : Value Visions 27-09-2012



เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา  มีเพื่อนสนิทของผมคนนึง
โพสรายได้รายจ่ายประจำวันลงใน Group ใน Facebook
ในภาพนั้นรายได้หักรายจ่ายแล้ว จะเหลือเงินสุทธิอยู่ 50 บาท ต่อวัน
ภาพนี้ก็เลยกลายเป็นประเด็นสนทนาในวันนั้นไป
ผมก็บอกยังดีนะที่เหลือ 50 บาท
เดือนนึงก็ตกอยู่ 1,500 นะโว้ย!
บางคนไม่เหลือแถมยังต้องรูดบัตรเครดิตหมุนหนี้ไปมาอีกนะ
เพื่อนก็บอกจริงๆแล้วเหลือ 50 บาทต่อวันไม่พอหรอก
เพราะต้องมีค่าภาษีสังคม เช่นงานบุญ งานแต่ง อะไรอีกจิปาถะ

ผมก็เลยคิดว่า การทำงานแต่ไม่เหลือเงินเก็บนี่มันช่างโหดร้าย
เพราะมันเหมือนเราเอาเวลา เอาร่างกายของเรามาให้บริษัทเช่า
แต่พอรับรายได้มา เราก็ดันจ่ายออกไปหมดซะนี่
แบบนี้ ถ้าเป็นการค้าเรียกว่า ขายเท่าทุน!
อันที่จริงขาดทุนเสียด้วยซ้ำ ถ้านับค่าเสื่อมทางกายและสุขภาพจิตนะ

จริงอยู่บางทีเราอาจจะได้ประสบการณ์ หรือ Skill จากการทำงานประจำ
ไม่ก็ได้ Connection จากคนที่เราติดต่อประสานงาน นั่นก็อีกเรื่องนึง

แต่การทำงานแล้วไม่เหลือเงินเก็บ ใช้แบบเดือนชนเดือนนี่ผมมองว่า
แม่งโคตรไม่คุ้มเลย ถ้าทำไปๆ เกิด Crisis มา บริษัทปลดคน
เราไม่มีเงินเก็บ เท่ากับว่าเรามีแต่ตัวเลยนะครับ

แต่ถ้าเราทำงานแล้วเหลือเก็บทุกเดือน
เราก็ยังมีเงินมาตั้งตัว ตั้งต้นธุรกิจของตัวเอง
หรือไม่ก็มีเงินไว้ใช้จ่ายในช่วงเวลาที่กำลังหางานใหม่ได้
ไม่ก็ออมไว้ใช้ยามแก่ยามเฒ่าก็ได้เอ้า!

บางทีเราก็ต้องหันมามองตัวเงินบ้าง
ว่าแต่ละเดือน รายได้ หัก ค่าใช้จ่าย แล้วเนี่ย
เหลือกำไรที่เป็นของเราจริงๆกี่บาท ?
หรืออันที่จริงแล้วทุกวันนี้เราขาดทุนอยู่...

Wednesday, September 26, 2012

0069 : Value Visions 26-09-2012

 
 
สวัสดีครับ ,

ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ
ช่วงที่หายไปก็ไม่มีอะไรมากครับ
หนีไปฝึกวิชามา อ่านตำราบ้าง หัด Set Model เทรดบ้าง
เรียกได้ว่าตอนนี้ผมก็เทรดเป็นระบบกว่าแต่ก่อนเยอะเลยครับ


พอร์ตของผมตอนนี้ก็เน้นสร้างกระแสเงินสดครับ
ใช้แนวทาง DSM ของพี่เด่นศรี
โดยที่เน้นสร้างกระแสเงินสดก็อย่างที่พี่ Mudley เคยสอนไว้ว่า
เราควรสร้างพอร์ตที่ทนทานต่อสถานการณ์การที่เลวร้ายที่สุด
และสร้างกระแสเงินสดได้สม่ำเสมอ
โดยใช้ประโยชน์จากความผันผวน
จากนั้นก็นำกระแสเงินสดนั้นมาลงทุนต่อ
เพื่อขยายพื้นที่ Asset ของเรา ( ยึดครองพื้นที่ให้มากขึ้นนั่นเอง )

ตอนแรกผมเลือก KZM ในการเทรดเพื่อสร้าง Cash Flow
แต่พอได้มาศึกษา DSM อย่างจริงๆจังๆ ก็พบว่า...
กอง A ของ KZM นั้นมันก็คือ ส่วนหนึ่งของ DSM นั่นเองครับ
กอง A ของ KZM จะคล้ายๆ ส่วน 2 ใน Formation 3-0-2-8 ของ DSM
ผมก็เลยหัดเทรดแบบ DSM ซะเลย

ถ้าพูดตามหลักการทำสงคราม
DSM นั่นเน้นที่การจัดกระบวนทัพ
สร้างสมดุลให้พอร์ต แปรเปลี่ยนตามสถานการณ์
หุ้นขึ้นก็กอดหุ้น + กล้าซื้อหุ้น
หุ้นลงรีบทิ้ง + กล้าขาย เรียกได้ว่าไม่สวนตลาด

ส่วน KZM กอง A นั้นผมมองว่า
เป็นการเทรดแบบเน้นการตั้งรับรอจังหวะสวนกลับ
คือสู้ด้วยจำนวนที่น้อยที่สุด รอจังหวะที่ได้เปรียบก็ชิงโจมตี
( ซื้อรวบ ไม้แรกๆกำไรน้อย ไม้หลังๆกำไรเยอะ )

แต่ตั้ง 2 โมเดล นั้น
ต่างก็ใช้ประโยชน์จากความผันผวน Swing ตัวของราคาหุ้นทั้งคู่


ที่นี้พอพอร์ตเราสร้างกระแสเงินสดออกมาได้สม่ำเสมอทุกวันๆ
เราก็สามารถนำกำไรนั้นไปลงทุนต่อ
ถ้าแนวพี่ต้าน MudleyGroup ก็จะให้เอาครึ่งนึงของกำไรมาเสี่ยง
เพื่อลุ้นผลตอบแทนที่มากขึ้น หรือไม่ก็ Bet แบบ Un-expect
เช่น ซื้อ Call Option ไว้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
ถ้าตลาดปรับตัวขึ้นก็กำไรเละเทะกันไป

ส่วนทางฝั่งของพี่เด่นศรี ก็จะเน้นให้เอากำไร 50% มาขยายพอร์ต
อาจจะซื้อหุ้นตัวเดิมเพิ่มหรือขยายไปเทรดหุ้นตัวใหม่
ส่วนอีก 25% นั้นจะเก็บเป็น Cash ไว้รองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
หรือเอาไปลงุทนแบบอื่นๆ เช่น ซื้อที่ดิน , บ้าน , ตึกแถว ,
สลากออมทรัพย์ , ประกันชีวิต , เงินฝาก ฯลฯ
ส่วนอีก 25% ที่เหลือ ก็จะเก็บไว้เป็นค่าบริหารพอร์ต (จ่ายให้ตัวเอง)


สรุปนี่คือหลักการบริหารเงินของผมอย่างคร่าวๆในตอนนี้ครับ
1. เทรดเพื่อสร้าง Cash Flow
2. จากนั้นก็เอา Cash Flow ที่ได้มาไปขยายพอร์ต ( 50% ของ Cash Flow )
หรืออาจจะเก็งกำไรบางส่วน โดยยืมกลยุทธ์ KZM กอง C , D ของพี่ Mudley มาใช้ครับ
3. 25% ของ Cash Flow เก็บไว้เป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
4. 25% ที่เหลือของ Cash Flow เป็นค่าบริหารพอร์ต จ่ายให้ตัวเอง
เพื่อนำไปพักผ่อน ท่องเที่ยว หรือ หาความรู้ ครับ


วันนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ
หวังว่าทุกท่านจะได้สาระจาก Entry นะครับ
( ปกติผมไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ เน้นบ่น กะ เน้นเกรียน ซะส่วนใหญ่ ฮ่าๆ )