Pages

Monday, December 19, 2011

0048 : Value Visions 19-12-2011

1.) วันนี้เหมือนจะเริ่มมีอาการไม่สบาย รู้สึกว่าจะกำลังเจ็บคอ
ขอพักผ่อนให้มากๆดีกว่า พรุ่งนี้งานยังรออีกตรึม สู้โว้ยๆ!


2.) จะสิ้นปีแล้วยังไม่ได้เตรียมทำบัญชีรายรับรายจ่ายแล้วก็
พวกไฟล์เก็บข้อมูลพอร์ตการลงทุนเอาไว้เลย
เด๋วไว้งานซากว่านี้อีกนิดนึงจะมาจัดการให้เรียบร้อยครับ


3.) วันนี้อ่าน Twitter เจอประโยคนึงจาก Twitter ของ คุณบัณฑิต อึ้งรังษี
@BunditUngrangse เป็นประโยคของ นโปเลียน ฮิลล์ ครับ
มีอยู่ว่า... " ถ้ามันไม่ใช่หน้าที่คุณ บางทีมันอาจจะเป็นโอกาสก็ได้ "
ซึ่งจากชีวิตการทำงานของผมที่ผ่านมานั้น ผมคิดว่ามันจริงเลยทีเดียว
บางทีงานที่เราได้รับมอบหมายเพิ่มเติ่ม มันไม่ใช่หน้าที่ของเราหรอก
แต่ถ้าเรารับอาสาทำ งานนั้นจะจะพาโอกาสดีๆมาให้เรา
อย่างที่เราคาดไม่ถึงทีเดียวครับ เนื่องจากคนที่มอบหมายให้เรานั้น
เค้าต้องมีความไว้วางใจเราในระดับหนึ่งแล้วหล่ะ เค้าถึงได้มอบหมายให้เรา
และถ้าเราทำมันได้ดี เค้าก็ยิ่งไว้วางใจเรา เชื่อถือเรามากยิ่งขึ้น
ส่งผลให้หากมีอะไรดีๆ คนที่เค้าจะนึกถึงก่อน ก็ไม่พ้นเราแน่นอน...


4.) ราตรีสวัสดิ์ครับ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โอกาศไม่ได้มาบ่อยๆ
รักษาสุขภาพและคว้าให้ได้ในทุกโอกาสนะครับทุกท่าน ^ ^

Sunday, December 18, 2011

0047 : Value Visions 18-12-2011

1.) อ่านเจอประโยคโดนจาก Twitter ของพี่แกะดำ ครับ

" ความพยายามครั้งที่ 100 ดีกว่า ความล้มเหลวครั้งที่ 1 "

โดนมากมายครับ มาไล่ตามความฝันแบบกัดไม่ปล่อยจนกว่าจะชนะ
เหมือนพิตบูลที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้กันเถอะครับ !



2.) วันนี้ตื่นสายอีกวันนึงครับ ตื่นราวๆ 10 โมง เพราะแฟนโทรฯมาช่วยปลุก
ตื่นมาก็หยิบ BB ขึ้นมาดู Facebook เห็นรูปในหน้า Page ร้าน Bakery ของรุ่นน้อง
Post รูป ณเดชน์ กะ ญาญ่า กำลังทานขนมเค้กร้านน้องเค้าอยู่ เห้ย! เจ๋งหว่ะ!
เอาคู่พระนางสุตฮอทมาโปรโมตด้วย จริงๆน้องเค้าทำร้านมาไม่นานเท่าไหร่นะครับ
( เปิดร้านแบรนด์นี้ พร้อมกับ Central เชียงราย ) แต่เห็นคนเข้าตลอดเช่นกัน

ทำให้ผมย้อนคิดถึงธุรกิจที่ผมอยากทำ...
การทำสิ่งที่เราชอบให้ทำเงินมันคงรู้สึกดีมากมาย

ผมมีหลายอย่างที่อยากทำให้มันเป็นธุรกิจ
แต่การเป็นนักลงทุนผมก็ชอบนะ เพราะผมชอบอ่าน ชอบหาข้อมูล ชอบมองในหลายๆมุม
ทีชอบอีกอย่างนึงก็คือการทำอสังหาฯ (แต่ทุนยังไม่ถึงคร๊าบ)
ช่วงหลังผมยอมรับผมย่ำอยู่กับที่
อาจเป็นเพราะทำงานประจำด้วย
ด้วยหน้าที่รับผิดชอบที่มากขึ้น (งานยุ่งขึ้นว่างั้น)
และงานประจำ มันถือเป็น Comfort Zone ชั้นดีทีเดียวนะครับ
พอเราอยู่อย่างสบายๆ ไอ้แรงผลักดันต่างๆมันก็เลยดูเฉื่ยชาไป

ต่อจากนี้ผมจะจัดการเวลาในชีวิตให้ดีกว่านี้ครับ
ต้องแบ่งเวลาให้กับสิ่งที่รักมากขึ้นแล้ว...

" เมื่อเวลาผ่านไป เราจะรู้ว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด
แต่พอเมื่อเรารู้ตัว เวลาก็ผ่านเลยไปแล้ว ไม่สามารถเรียกคืนได้
สิ่งที่เราทำได้ก็คือการใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เท่านั้นเอง... "



3.) 19 ธันวาฯ เป็นวันเกิดแฟนผมเองครับ
ยังคิดหาของขวัญให้เธอไม่ออกเลย เลือกยากมาก แต่แฟนผมก็เข้าใจนะ
ว่าเราอยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เค้า (เค้าก็คิดหนักเหมือนกัน เวลาวันเกิดผมน่ะ)
เวลาเที่ยงคืน 00.00 น. ก็เล่น Ukulele เพลง Happy Birthday ให้เธอฟังครับ ^ ^

0046 : หัดวาดแผนที่สู่อิสรภาพทางการเงิน

คนส่วนมากมีความมุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะ
แต่น้อยคนนักที่จะมีความมุ่งมั่นในการเตรียมตัวเพื่อคว้าชัยชนะ - Bobby Knight


วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องการเตรียมตัวเกษียณครับ
บางคนอาจจะว่า แหม อายุยังไม่เท่าไหร่เลย ทำไมพูดถึงเรื่องเกษียณซะแล้ว

ผมก็ขอตอบว่า การเกษียณของผมนั้น
ผมหมายถึง "การมีอิสรภาพทางการเงิน" ครับ

วันเกษียณของผมก็คือ วันที่ผมมีอิสรภาพทางการเงิน
วันที่ผมมีอิสรในการเลือก ผมอยากจะทำงานก็ได้ ไม่ทำก็ได้
เพราะผมมี Passive Income ที่สามารถเลี้ยงผมและครอบครัวได้
โดยไม่ต้องพึ่งรายได้จากเงินเดือน หรือจากการค้าขาย

บางคนมีอิสรภาพทางการเงินแล้วก็ยังทำงานประจำต่อก็ได้ ไม่ผิด...
ไม่จำเป็นว่ามีอิสรภาพทางการเงินแล้วต้องหยุดทำงานอยู่กับบ้านเฉยๆ
หรือไม่ก็ไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนา ตามแบบที่เหล่า MLM เอาข้อนี้มาดึงดูดใจ

จั่วหัวด้วยประโยคเด็ดโดนใจของ Bobby Knight ( ใครฟระ ?! )
ซึ่งผมจดมาจาก Twitter

" คนส่วนมากมีความมุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะ
แต่น้อยคนนักที่จะมีความมุ่งมั่นในการเตรียมตัวเพื่อคว้าชัยชนะ "

เหมือนกับเรื่องของ "อิสรภาพทางการเงิน" นั่นแหละครับ
หลายคนบ่นอยากรวย ไม่อยากทำงานประจำ อยากไปทำอะไรที่ชอบ
แต่ติดตรงที่จำเป็นต้องหารายได้เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว
ซึ่งบางคนก็เอาแต่บ่น แต่ไม่เคยคิดมองหาหนทาง
หรือไม่เคยจะวางแผนในการเดินทางในเส้นทางที่อยากเดิน
แล้วมันจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไรกันนน!


ผมเลยอยากให้ทุกคนหันมาวางแผนครับ
ก่อนอื่นเราก็ต้องถามตัวเราเองก่อนว่า "อิสรภาพ" ของเรานั้นมี " ราคาเท่าไหร่ ? "
ราคาที่ว่า ก็คือ ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนที่เราต้องใช้ต้องจ่ายนั่นเอง มันเท่าไหร่ ?
เอาแค่ปัจจุบันก็ไม่ได้นะครับ ต้องคิดเผื่อล่วงหน้าไปหลายๆฉากด้วย
ต้องคิดเผื่อไปเวลามีภรรยา มีสามี มีลูกหนึ่งคน สองคน สามคน
มีพ่อตา แม่ยาย ที่ต้องเลี้ยงดู หรือ น้องเมียที่ต้องส่งเสียอะไรทำนองนั้น
หรือหากออกไปทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ช่วงแรกๆอาจจะยังไม่มีกำรี้กำไรอะไรมาก
ต้องอัดฉีดเงินทุนเข้าไปให้กิจการบ้างอะไรบ้าง ประมาณนั้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันมีราคาเท่าไหร่...
ลองคิดออกมาเป็นรายเดือน รายปี ดูครับ

บางคนอาจจะคิดเบ็ดเสร็จออกมาที 40,000 บาท / เดือน = 480,000 บาท / ปี
ก็ต้องมาดูว่าการสร้าง Passive Income ให้ได้ 40,000 บาท นั้นจะวางแผนยังไง
หากลงทุนในหุ้นกู้ หรือ หุ้นสามัญ ตีเฉลี่ยที่ ผลตอบแทนจากเงินปันผล 5% ต่อปี
( อัตราผลตอบแทนนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะครับว่าจะวางแผนการลงทุนอย่างไร
บางคนอาจจะทำได้มาก บางคนอาจจะทำได้น้อย แต่ผมก็เอาอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ
ที่ทุกคนสามารถทำได้สบายๆ อย่างการลงทุนในตราสารหนี้เป็นเกณฑ์นะครับ )
ก็ต้องมี Port การลงทุนประมาณ 9.6 ล้านบาท จึงจะถือว่าอยู่ได้ แต่...!

แต่ยังไม่ปลอดภัยครับ!
ได้มา 480,000 บาท ใช้ไป 480,000 บาท
แต่ละปีไม่เหลือเงินเลย
จะอุ่นใจได้อย่างไร...?

จึงต้องมีการเผื่อ...เผื่อเจออะไรที่เราไม่คาดคิดเอาไว้บ้างครับ
ก็แนะนำให้มี Passive Income เป็น 2 เท่าของค่าใช้จ่าย ในที่นี้ก็ราวๆ 20 ล้านบาท
หรือบางคนใจร้อนก็อาจจะ 1.5 เท่า ก็ไม่มีใครว่า มันไม่ใช่สูตรตายตัว
แล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละบุคคลครับ
ที่ 20 ล้านบาท จะได้ Passive Income ที่ ผลตอบแทน 5 % = 1 ล้านบาท / ปี
ตกเดือนละ 80,000 กว่าบาท ใช้เหลือเฟือ เก็บออมได้อีกทุกเดือน
เรียกได้ว่าความมั่งคั่งจะสถิตย์อยู่กับท่านตลอดไปเลยแหละครับ


จากนั้นก็ต้องมาวางแผนว่า การที่เราจะหาเงิน 20 ล้านบาท นั้น เราจะหามาอย่างไร
ต้องเก็บออมเงินเดือนละเท่าไหร่ ต้องนำไปลงทุนให้งอกเงยอย่างไร
ต้องหารายได้เพิ่มยังไงบ้าง ตรงนี้อยู่ที่แต่ละคนครับ ว่าจะวางแผนอย่างไร
ยกตัวอย่าง ถ้าสมมุติว่าเราจบใหม่ อายุ 22 เงินเดือน 20,000 + โบนัสอีก 3 - 4 เดือน
ในแต่ละปีออมเงินให้ได้ปีละ 150,000 บาท ( จากเงินออม + โบนัสสักครึ่งนึง )
นำเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 10% แล้วนำผลตอบแทนมาลงทุนแบบทบต้น
จากนั้นพอเงินเดือนขึ้น (ตีสัก 7 %) ก็ออมเพิ่มในสัดส่วนเดียวกันคือ จาก 150,000 บาท
ในปีที่แล้ว ก็เพิ่มเป็น 160,500 บาท ในปีนี้
นำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 10% เช่นเดียวกัน
ผลตอบแทนนำมาทบต้นอีก ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ 22 ปี
ก็สามารถมี Port ลงทุน 20 ล้านบาทได้ ณ ตอนที่อายุ 44 ปีครับ
แต่ปัจจุบันการให้ผลตอบแทนในการทำงานประจำนั้น
สูงกว่าที่ผมประมาณไว้มาก เงินเดือนขึ้นทีเยอะแยะ
ย้ายงานทีก็เรียกเงินเดือนเพิ่มได้มาก
ทำให้หลายคนถ้ามีวินัยทางการเงินดีๆ
สามารถสร้างพอร์ตลงทุนขนาดนี้ได้ในเวลาไม่นานครับ
อย่างเพื่อผมเองทำงานได้ 3-4 ปี เงินเดือนยังไม่ถึง 20,000 เลย
ก็สามารถทำงานเก็บออมเงิน
แล้วก็นำเงินมาลงทุนให้พอร์ตกลายเป็น 7 หลักได้สบายๆ
( คาดว่าอีก 4-5 ปี พอร์ตลงทุนของไอ้เพื่อนคนนี้ มันจะไป 8 หลักแน่ๆ )


จะเห็นได้ว่า อิสรภาพทางการเงิน นั้น
มันอยู่ที่การวางแผนครับ (อีกส่วนอยู่ที่ความมีวินัย)
ยังไงก็ลองหัดวางแผนการเดินทางดูครับ

ถ้าไม่หาทาง จะเจอหนทางได้อย่างไร จริงไหมครับ ?

0045 : Value Visions 17-12-2011

1.) ต่อไปนี้จะหัดนิสัย "นาฬิกาปลุกปุ๊บตื่นทันที" แล้วครับ
ปกติเวลานาฬิกาปลุกแล้วผมจะขอนอนต่ออีกนิดน่า... ประจำเลย
สุดท้ายก็ไปทำงานแบบเกือบสาย รีบๆร้อนๆประจำ
ซึ่งไม่ดีเลยครับ ทำให้เราไม่มีเวลาเตรียมตัวในการทำงาน
ทางที่ดีควรไปถึงก่อนเวลาสักพัก เพื่อที่จะมีเวลาเตรียมตัว
เตรียมสมอง เตรียมข้อมูลไว้ลุยในงานที่จะต้องทำในวันนั้นๆ
การที่ไปทำงานแบบเกือบสายก็เนื่องมาจากการไม่ยอมลุกขึ้น
จากที่นอนของผมนั่นเองครับ เรียกได้ว่าผมเป็นคนที่ความอดทน
ต่อเสียงปลุกมาก พอนาฬิกาปลุกดัง ผมก็เลื่อนเวลาปลุกอีกไป 10 นาที
ทำอย่างนี้ไปสักสองสามครั้งก็สายพอดี พฤติกรรมแบบนี้ผมว่า
มันเป็นการผลัดวันประกันพรุ่งแบบนึงครับ...
จากนี้ไปผมจะเลิกมันให้ได้ เปลี่ยนตัวเองเสียใหม่
ให้ตื่นมาทุกเช้าแล้วต้องลุกมาอย่างมีพลัง ชีวิตจะได้สดใสในทุกๆวัน!


2.) วันนี้มีเหตุต้องทำให้ผมตื่นแต่ตี 5 เพื่อไปส่งน้องขึ้นรถไปทัศนศึกษา
ที่เชียงใหม่ครับ กลับมาถึงบ้านเกือบ 6 โมงเช้าก็มานอนต่อ ตื่นมาอีกที...
เกือบ 11 โมง ( วันหยุดผมจะไม่ตั้งนาฬิกาปลุก เพื่อให้ร่างกายได้นอน
พักผ่อนชาร์จพลังอย่างเต็มที่ ) พอตื่น อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเสร็จ
ก็ไปทานข้าวหมูแดงที่ " ร้านนครปฐม " ครับ ร้านขึ้นชื่อของเชียงรายนะ
( ร้านประจำผมตั้งแต่เด็กน่ะ แหะๆ แต่อร่อยจริงอะไรจริงนะครับ ใคร
มาเที่ยวเชียงรายต้องมาลองชิมให้ได้เลยครับ ) จากนั้นก็ไปเดินดูหนังสือ
ที่ Central ครับ ปากก็บอกว่ามาเดินดูหนังสือ แต่กลับได้กระเป๋าใส่กล้อง
ถ่ายรูปติดไม้ติดมือกลับบ้าน เป็นกระเป๋ายี่ห้อ Manfrotto ครับ ผมเห็นว่า
ขนาดมันกะทัดรัดเหมาะสำหรับใส่กล้องไปเดินเที่ยวชิลๆดีก็เลยสอยมาครับ
โดนค่าเสียหายไป 1,300 บาท แต่ผมยอมนะ เพราะช่วงนี้หลังกะไหล่ของผม
ไม่ค่อยสมบูรณ์สักเท่าไหร่ มักจะปวดเคล็ดบ่อยๆ หากยกของหนักนี่ปวด
ประจำเลย การสะพายกระเป๋าหนักก็ส่งผลเหมือนกัน ผมก็เลยอยากหา
กระเป๋ากล้องใบเล็กๆไว้พกไปนั่นมานี่ครับ


3.) เดินซื้อของเสร็จจาก Central ก็กลับมานอนอ่านหนังสือที่บ้านครับ
ก็อ่านหนังสือเล่มที่เพิ่งซื้อมานั่นแหละครับ ชื่อ " เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน
อย่างแท้จริง เริ่มต้นง่าย แค่ใจมองเห็น " อ่านรวดเดียวจนจบเลยครับ
ได้แรงบันดาลใจในการเดินสู่เป้าหมายทางการเงินอีกโขเลยทีเดียว
หากว่ากันตามหนังสือ ก็มีเรื่องที่ผมยังทำไม่ได้ในการวางแผนการเงิน
นั่นก็คือ "การกันเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน" ครับ ซึ่งเงินส่วนนี้เราควรจะมี
ประมาณ 3-6 เท่า ของค่าใช้จ่ายรายเดือนของเรา อย่างผมใช้จ่าย
เดือนละประมาณ 12,000 บาท ผมก็น่าจะมีเงินส่วนนี้อยู่ราวๆ
36,000-72,000 บาท อยู่ในที่ๆมีสภาพคล่องสูงหน่อย ในหนังสือก็แนะนำให้
เก็บไว้ใน บัญชีออมทรัพย์ หรือฝากประจำ ไม่ก็ Money Market Fund ครับ
ผมคงต้องแบ่งเงินออมในแต่ละเดือนเพื่อมากันไว้เป็นส่วนนี้บ้างแล้ว
ซึ่งเงินในส่วนนี้ก็ควรจะมีไว้ก็เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในชีวิตเราครับ
เช่นอาจจะ ป่วย หรือ เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับทรัพย์สินหรือคนในครอบครัว
( เอาง่ายๆ น้ำท่วมบ้าน 2 เดือนแบบที่เจอๆกันเนี่ยแหละ ไม่ก็ตกงานไรงี้ )
บางคนอาจจะเถียงว่า "ก็ฉันก็มีบัตรเครดิตอยู่แล้วจะกลัวอะไร" แบบนี้ก็ต้อง
นึกไปล่วงหน้าถึงวันนี้บิลบัตรเครดิตส่งมาถึงบ้านด้วยนะครับ ว่าถ้าเวลานั้นมาถึง
เราจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายบัตรเครดิต หากเราไม่มีเงินฉุกเฉินก้อนนี้
แล้วรูปแบบการเก็บเงินก้อนนี้ อย่างผมไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมเลือก MMF แน่ๆ
เพราะผลตอบแทนสูงกว่าอีก 2 แบบที่เหลือและสภาพคล่องก็แทบไม่ต่างกัน
( MMF T+1 หากจำเป็นต้องใช้เงิน ก็ใช้บัตรเครดิตรูดไป อีกวันก็ขาย MMF
เอาเงินมาชำระบัตรเครดิต ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับท่าน )

อีกอย่างที่ผมขาดไปก็คือการวางแผนในการซื้อประกันชีวิต
ซึ่งผมไม่มีประกันชีวิตที่ซื้อเองเลย ( มีแต่ที่แม่ทำให้ วงเงินไม่มากเท่าไหร่ )
อันที่จริง ผมคิดว่าผมยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษีผมก็เลยไม่สนใจ
แต่บางทีหน้าที่ของมันโดยจริงๆแล้ว มันก็คือประกันชีวิต
ไอ้ที่ลดหย่อนภาษีเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น
บางทีผมคงจะต้องมีไว้บ้างครับ ต้องหาข้อมูลแบบประกันบ้างซะแล้ว
ผมไม่ได้ซื้อเพื่อตัวผมเองหรอก แต่ผมซื้อเพื่อคนที่ผมรัก...

ขอพอเท่านี้ก่อนนะครับ
เดี๋ยวคราวต่อๆไปจะเอาประเด็นอื่นๆมาแชร์ให้ฟังอีกนะครับ
หนังสือเล่มนี้ดีมากเลย เข้าใจง่าย ตรงประเด็นมากๆ
( ไม่ได้เป็นอะไรกับคนเขียนนะครับ )

Thursday, December 15, 2011

0044 : Value Visions 15-12-2011

1.) วันนี้เก็บหุ้น BLA มา 1 ไม้ครับ
เนื่องจากเห็นว่า BLA ราคานี้ถือว่ายังถูกมาก
( สำหรับ EPS ปีหน้านะครับ ) ก็ถือว่าเป็นการซื้ออนาคตครับ
สำหรับธุรกิจประกันชีวิตผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ทบต้นสุดๆครับ
ก็เลยให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มนี้เป็นพิเศษ
แต่จะให้มอง SCBLIF ก็คงไม่ไหว สภาพคล่องน้อยเหลือเกิน
ก็เลยได้แต่คอยจดๆจ้องๆ BLA
คอยหาจังหวะสะสมไปเรื่อยๆครับ
ส่วนธุรกิจประกันภัยนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก
ไม่มีเวลาอ่านข้อมูลเลย ได้แต่โหลดทิ้งไว้
ถ้างานซาเมื่อไหร่เจอกันแน่ครับ

อ้อ มีข่าว BREAKING จาก CNN ครับ :
Number of people filing for initial unemployment benefits (U.S. Jobless Claim)
falls to a 3-year low of 366,000 in the latest week, the government says.
ถือเป็นข่าวดีในสถานการณ์ที่ดูเลวร้ายเลยนะเนี่ย
แล้วคืนนี้ DJ DAX ก็เขียว (ในขณะที่นั่งเขียนบันทึกอยู่นะครับ)



2.) วันนี้ช่วงเย็นแอบแว๊บไปร้าน SE-ED มาครับ
ยังไม่เลิกงานหรอกครับ แต่รู้สึกว่าอยาก Relax ก็เลยแว๊บออกมา
ก็ได้หนังสือมาเล่มนึงครับชื่อ...
" เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง เริ่มต้นง่าย แค่ใจมองเห็น "
ลองเปิดอ่านผ่านๆดูเห็นว่าอ่านง่าย มีเนื้อล้วนๆ
ก็เลยสอยมาอ่านเพิ่มความรู้ด้านการบริหารเงินครับ
ใครที่สนใจเรื่อง อิรภาพทางการเงินก็ลองหามาอ่านดูนะครับ ผมแนะนำ



3.) วันพรุ่งนี้วันศุกร์แล้ววว!
จะได้พักผ่อนเสียที มีหนังสือที่อยากอ่านหลายเล่มเลยครับ
การพักผ่อนของผมไม่ใช่การออกไปปาร์ตี้ หรือ Hang Out อะไรหรอกครับ
แค่นอนอ่านหนังสืออยู่บ้าน หรือเดินห้างดูหนังสือ หาของกินอร่อยๆ
ก็ถือเป็นการพักผ่อนสำหรับผมแล้ว
แต่มีบางคนแอบบอกว่าผมแปลกที่ไม่ค่อยออกไป Hang Out (น๊านนานไปที)
ผมว่าสำหรับผมแล้ว ชีวิตแบบที่ผมเป็นนี่คือธรรมชาติที่สุดของผมแล้ว
คุณจะเอาไม้บรรทัดของคุณมาวัดว่าผมแปลกไม่ได้
เราต่างก็มีวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เป็นของตัวเองใช่ม่ะ ?...

แต่จะว่าไปผมก็อยากลองใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์
เหมือนกันนะ (เหมือนที่เพื่อนที่ทำขายตรงชอบเอามาโฆษณา)
ชีวิตที่มีวันหยุดทุกวันมันจะเป็นยังไงหว่า... แต่ยังไงผมก็ต้องรู้อยู่ดี
เพราะถ้าวันไหนตลาดปิดก็คือวันหยุดของชาวบ้านใช่ม่ะครับ แหะๆ

Wednesday, December 14, 2011

0043 : Value Visions 14-12-2011

1.) เวลางานยุ่งมากๆ ผมมักจะหัวเสียบ่อยๆครับ
ส่งผลให้บางทีคุณภาพในการทำงาน และ การให้บริการลูกค้าลดลง
เฮ้อ จะแก้นิสัยนี้ยังไงดีเนี่ย...
เท่าที่คิดไว้ก็มี
1. คุณภาพในการทำงานหรือการให้บริการลูกค้าห้ามตกเป็นอันขาด
รอยยิ้มต้องมีตลอด บางทีงานยุ่งมากๆ ลูกค้าอาจจะรอเรานาน
แต่ยังไงก็ตามห้ามให้ลูกค้าเสียความรู้สึกกลับไป
2. ตอบข้อสงสัยให้เคลียร์ เวลายุ่งมากๆเรามักจะตอบคำถามแบบรีบๆ
ทำให้บางทีลูกค้าไม่หายสงสัย แล้วก็ย้อนกลับมาถามเราอีก
(เป็นการเสียเวลา 2 ต่อ ทั้งลูกค้าทั้งเรา)
3. หยอดอารมณ์ขันใส่ลูกค้า ระหว่างที่ลูกค้ารอเราเป็นระยะๆ
ซึ่งจะทำให้เราอารมณ์ดีด้วย
4. อย่าลืม ขอบคุณ และ ขอโทษ ลูกค้า

คิดออกเท่านี้อยู่นะ วันนี้ลองเอาไปทำดูก็ช่วยได้มากเลยครับ
ก็ต้องเอาไปใช้ให้ต่อเนื่องต่อไป ^ ^



2.) เพิ่งดูคุณโก๊ะตี๋ ในรายการราตรีสโมสร มีสิ่งดีๆหลายอย่างที่ได้เรียนรู้ครับ
ผมสรุปได้ดังนี้นะครับ

" การทำธุรกิจ คือ การดูแลใส่ใจลูกค้า "

" การใช้ชีวิตให้มีความสุขนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการเลือกเก็บแต่สิ่งดีๆไว้ในชีวิต
สิ่งแย่ๆก็ปล่อยมันผ่านไป อย่าไปจำ อย่าไปใส่ใจ "

" สำหรับคู่รัก เวลาทะเลาะกันให้นึกถึงสิ่งดีๆที่เคยทำให้กัน
อย่าไปนึกถึงแต่มุมแย่ๆ อย่าไปขุดความไม่ดีของฝ่ายตรงข้ามมาด่ามาว่ากัน
ให้มองแต่มุมดีๆ ความโกรธก็จะหายไปเอง "



3.) ผมตั้งใจว่าจะเป็น "คน" ที่ดีขึ้นในทุกๆวัน
ผมจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า...
ผมจะสามารถพัฒนาตัวผมให้ดีกว่านี้อย่างไรได้บ้าง
วันนี้ของผมต้องดีมากกว่าเมื่อวานนี้
ผมจะไม่ยอมถอยหลังลงคลองเด็ดขาด
เดินทางข้างหน้าด้วยก้าวย่างที่มั่นคงทุกก้าว
บางก้าวบางจังหวะอาจจะช้าไปบ้าง
แต่ผมไม่ยอมถอยหลังหรือหยุดอยู่กับที่แน่นอน...



4.) ราตรีสวัสดิ์ครับ Zzz...

Tuesday, December 13, 2011

0042 : Value Visions 13-12-2011

1.) หยุด 3 วันก็หลบไปพักผ่อนเที่ยวในกรุงเทพมาครับ
( กรุงเทพช่วง Long Weekend นี่คนน้อยดีนะ )

ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองชักอยากได้โน่นอยากได้นี่มากเกินไปซะแล้ว
ทั้งๆบางอย่างที่อยากได้มันก็ยังไม่จำเป็นกับชีวิตสักเท่าไหร่
ก็คงต้องตั้งสติให้ดีก่อนใช้จ่ายแหละครับ

ถ้าเลือกจ่ายให้กับสิ่งที่ฉาบฉวยก่อน
แล้วช่วงเวลาที่มีอิสระภาพทางการเงินขยับไกลออกไป
ผมคงไม่เลือกแน่ๆ ยังยืนยันว่าอยากได้ชีวิตที่มีอิสระภาพมากกว่าครับ



2.) เมื่อวันเสาร์ ผมเห็นคนเตะหมาครับ!
ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเตะหมาตัวนั้นทำไม เตะแบบหลายทีด้วย
คนที่อยู่แถวนั้นก็ตะโกนด่าใหญ่เลย
แต่เค้าก็ไม่ยอมหยุด ไม่รู้ว่าเค้าคิดว่าการเตะหมามันเท่หรืออย่างไร
ผมรู้สึกไม่ดีเลย ที่เห็นคนรังแกสัตว์แบบนั้น
ขอให้คุณคนนั้นได้รับกรรมทันตาเห็นทีเถิด...



3.) เวลาเจอเหรียญตกอยู่กะพื้นไม่ว่าจะเป็นเหรียญ 1 บาท 5 บาท
หรือแม้กระทั้งเหรียญ 25 สตางค์ ก็ตาม
ผมจะก้มลงเก็บเสมอ
ซึ่งบางทีก็มีคนมองว่าเราก้มลงเก็บทำไมกัน
บางทีก็แอบกลัวมีคนมองเรางกเหมือนกันนะครับ
แต่ผมอยากจะบอกว่า ที่ผมก้มลงเก็บ ไม่ใช่ว่าผมงกหรืออยากได้อะไรหรอกครับ
เงินเท่านั้นไม่ได้ทำให้ผมรวยขึ้น
แต่ผมเก็บก็เพราะว่าบนเหรียญนั้นมีภาพของในหลวงอยู่
หากคุณปล่อยทิ้งไว้บนพื้น แล้วคนเดินผ่านไปผ่านมาไม่ทันมองเหยียบเข้า
คงจะไม่ดีแน่ เพราะงั้นถ้าเห็นก็ช่วยกันเก็บเถอะครับ
ไม่อยากได้ก็เอาไปหย่อยตู้บริจาคก็ได้
ดีกว่าปล่อยมันไว้บนพื้นแน่ๆครับ



4.) แล้วก็เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้ไปเดินเที่ยวที่งาน Motor Expo มาครับ
อันที่จริงก็ไปส่งแฟนจองรถมาด้วย
แฟนจองรถ Honda City ครับ
กว่าจะได้จองก็ต้องคุยกับเซลล์ถึง 5 คน
ผมก็แปลกใจว่าทำไมเซลล์แต่ละคนของแถมไม่เท่ากัน
คนแรกบอก ถ้าจะแถมเบาะหนัง หรือแถมประกัน ต้องเพิ่มเงินหมื่นกว่าบาท
ถ้าจะให้แถมทั้ง 2 อย่างต้องเพิ่ม 3หมื่นกว่าบาท
( ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม... แล้วมันเรียกว่าแถมตรงไหนวะ?! )
คนที่ 2 - 3 ไม่ต้องจ่ายตังค์เพิ่มแต่ให้ของแถมกระจุกกระจิกมาก
ก็เลยค้นฟ้าคว้าดาวกันต่อไป
เจอคนที่ 4 บอกว่า ถ้าเซ็นใบจองแล้วถึงจะบอกว่าแถมอะไร
ถ้าไม่จองก็บอกได้แค่ว่าแถมป้ายทะเบียน
( เออดี กูคงจองกะมึงหรอก! )
สุดท้ายก็เลยมาเจอน้องคนที่ 5 จัดเต็มของแถมให้เบาะหนังอะไรพวกนี้
Happy กันไป เลยจองไป 2 คน Jazz กะ City ( Jazz ของญาติแฟนผมคันนึง )

แต่แปลกใจว่าทำไม ของแถมแต่ละคนถึงให้ไม่เท่ากัน ?...



5.) แล้วเมื่อวานก็ได้มีโอกาสไปกินก๋วยเตี๋ยวในตลาดท่าสะอ้าน
ไม่ไกลจากบ้านแฟนผมเท่าไหร่
รสชาติใช้ได้ แต่บริการห่วยแตกมาก
สั่งอะไรไม่ได้ตามสั่งเลยครับ ทำให้ผิด
แถมสั่งเพิ่มก็ลืม ไม่ทำให้อีก
ก็เลยคิดไว้ในใจว่า ร้านนี้คงไม่ได้ตังค์ผมอีกแล้ว

การทำการค้า บางทีการบริการก็ต้องมาก่อนนะครับ
อย่างร้านอาหาร บางทีคุณไม่จำเป็นต้องอร่อยที่สุด หรือเป็นหนึ่งในตองอูก็ได้
แต่คุณอาจจะเป็นที่ 2 ที่ 3 แต่ว่าบริการคุณดีเยี่ยม
คุณก็ดึงดูดให้ลูกค้าขาจร กลายเป้นลูกค้าประจำได้ไม่ยากหรอก
บางอย่างก็วัดกันที่การบริการนั่นแหละครับ...

Thursday, December 8, 2011

0041 : Value Visions 08-12-2011

วันนี้ Up Blog 2 Entry นะครับ
Entry ก่อนหน้าเป็นของเมื่อวาน
เนื่องจากเมื่อวานสลบคาสมุดบันทึกเลยทีเดียว
ไฟเฟยไม่ต้องพูดถึง ตื่นมาอีกทีตอนเช้า 6 โมงกว่าๆ สว่างโร่เลยทีเดียว

เมื่อ 4-5 วันก่อน อ่านเจอประโยคนึงจาก twitter ของคุณ @cheechud
นั่นก็คือประโยคที่ว่า... " When you start, you say yes to everything.
As you grow, you need to learn to say no " - Kabani
ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ "จริง" มากๆ จากการทำงานประจำมาเกือบ 4 ปี
ผมพบว่า " การปฏิเสธ " ให้เป็น นั้นเป็นสิ่งจำเป็นมากในการทำงานและการใช้ชีวิต
การปฏิเสธให้เป็น นั้นไม่ใช่การปัดความรับผิดชอบ หรือ เอาตัวรอด อะไรนะครับ
คนละเรื่องกันเลย... แต่มันเป้นส่วนนึงในการบริหารการทำงาน หรือ บริหารชีวิต
ผมมีพี่ที่รู้จักคนนึง เวลาดีลกับลูกค้า ปฏิเสธลูกค้าไม่เป็น แล้วก็ชอบรับปากส่งๆไว้ก่อน
ลูกค้าขออะไรมาพี่แกบอก "ได้ครับ" , "สบายมากเลยครับ" , "ผมจัดการให้ครับ"
โดยที่ในใจนั้นยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทำอย่างที่รับปากไว้ได้หรือไม่
สุดท้ายก็ต้องมานั่งเครียดว่าจะแก้ตัวกับลูกค้ายังไงไม่ให้ลูกค้าเสียความรู้สึก
ทั้งๆที่หากคุยกันให้จบแต่แรกว่าทำให้ไม่ได้ รู้จักปฏิเสธให้เป็น ก็จบไปนานแล้ว

ซึ่งการปฏิเสธิก็ใช้ว่าจะมีแค่การปฏิเสธอย่างเดียว แต่ในการทำงานจริงๆ
เราสามารถเสนอทางเลือกอื่นๆที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดลูกค้าได้นี่
ทางนั้นให้ไม่ได้ ให้ข้อเสนอที่เราพอให้ได้ดู
เอาใจเค้าแบบไม่เข้าเนื้อเรา แบบนั้นน่าจะดีกว่า

ประโยคของ Kabani ก็เช่นกัน
ตอนเข้าทำงานใหม่ๆ ยังไม่ผ่านทดลองงาน เวลาถูกให้ทำอะไร ก็ทำได้หมด
แต่พอคุณทำงานไปนานๆเข้า คุณก็ต้องรู้จักเอาตัวรอดด้วย
เพราะในที่ทำงานบางทีก็มีคนที่ "เป็นแต่โยนงาน โยนความรับผิดชอบให้คนอื่น" อยู่เยอะ
ถ้าคุณไม่รู้จักปฏิเสธให้เป็น บางทีเวลาชีวิตเวลาพักผ่อนคุณจะถูกสูบไปอย่างไม่รู้ตัวนะ
ในขณะที่คนที่มีนิสัยโยนงานเป็นอาชีพเค้านั่งชิลสบายใจเฉิบ
เพราะงั้นหัดปฏิเสธไว้ก็ไม่เสียหลายหรอกครับ ^ ^


แล้วช่วง 2 ทุ่มกว่าเกือบ 3 ทุ่ม มีลูกค้าโทรเข้ามาหา
บอกจะให้สินน้ำใจกับเรา เรื่องที่เราเสนอสินเชื่อให้ผ่าน
เราก็บอกขอรับไว้ด้วยใจก็แล้วกัน ถ้าจะตอบแทนผมไม่ต้องอะไรมากหรอก
ส่งหนี้ตรงตามเวลาแบบไม่ต้องให้ผมไปตามก็พอแล้ว

ลูกค้าทุกรายผมบริการไว พอได้เงินเร็วเค้าก็นึกว่าต้องมีค่าน้ำร้อนน้ำชามั๊งครับ
แต่ผมอยากจะบอกว่า ไม่ได้ทำเพื่อหาค่าอะไร แต่เป็นสไตล์การทำงานของผม
ผมไม่ชอบให้งานค้างคา ไม่ชอบดองไว้ ทำๆให้เสร็จ
ก็จะได้มีเวลา Relax มีเวลาเอาสมองไปคิดเรื่องอื่นบ้าง
( บางทีก็แอบดูหุ้นในเวลางาน ฮ่าๆ )

วันนี้ตลาดพลิกมาลบนิดหน่อย
แต่ฝรั่งยัง Net Buy อยู่พันกว่าล้าน
มาดูฝั่งยุโรป กลายเป็น you low ไปแล้ว
อเมกาก็แดง พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรหนอ...

0040 : Value Visions 07-12-2011

วันนี้เลิกงานประมาณ 2 ทุ่ม
มีโอกาสได้กลับห้องมาเล่น Net อ่านเวบ อ่านหนังสือกะเค้าบ้าง

อ่าน pantip ไปเจอกระทู้ของ "ลุงแอ็ด" เกี่ยวกับหนังสือของ โจ จีราร์ด
เจอประโยคประมาณที่ว่า "เวลาเราขายสินค้าอะไรก็ตาม เราไม่ได้ขายสินค้า
แต่เราขายตัวเราเอง" ผมว่าประโยคนี้มันไม่ได้ใช้ได้กับเฉพาะงานขายหรอก
แต่มันใช้ได้กับทุกเรื่องแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานอื่นๆ หรือ
เรื่องต่างๆในชีวิตของเราก็ตาม สิ่งที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างราบรื่น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่มันเป็นตัวเรานั่นเองที่เป็นผู้เลือก...

เราจะประสบความสำเร็จในการทำงานประจำ ไม่ใช่เพราะเจ้านายเลือกเรา
แต่เป็นเพราะเราเลือกที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลงานได้ดี

หรือ การที่เราประสบความสำเร็จด้านความรัก ไม่ใช่เพราะฟ้าส่งเธอมาคู่กัน
อะไรหรอก แต่เป็นเพราะเราเลือกที่จะเป็นคนที่เธอถูกใจเท่านั้นเอง

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับที่เราเลือก ดั่งปราชญ์จีนว่าไว้
ความพยายาม 70 : โชคชะตาฟ้าลิขิต 30 นั่นเองครับ
เราทำ 70% ของเราให้เต็มที่ ผมเชื่อว่ามันมีผลมากกว่า 30% ของฟ้าอยู่แล้ว...


อ้อ ลืมเล่าให้ฟังครับว่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านได้มีโอกาสไปทำบุญที่
"วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ" มาครับ ก็เลยได้เสี่ยงเซียมซี ได้เซ๊ยมซีใบที่ 9
คำทำนายก็ดังนี้ครับ...

" ใบที่เก้าตามตำรานั้นว่าร้าย เหมือนเทวทัตเมื่อตกลงอบาย
มีพระเพลิงเรี่ยรายอยู่รอบตัว ได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส
ซ้ำมีสัตว์คอยกัดกระบานหัว เมื่อรู้แล้วจงเร่งคิดเกรงกลัว
รีบฟื้นตัวเพียรพันกุศลทาน สรรพกิจคิดไปไม่สำเร็จ
ไม่ผลิเมล็ดผลสมอารมณ์หมาย มักจะเกิดอุปัทวเหตุต้องกาย
ถามหาของหายเห็นหลบไม่พบพาน ทั้งแปดด้านมืดมิดทุกทิศทาง
แม้นไต่ถามถึงความว่าทรามแสน มักขลาดแคลนเข็ยขลุกทุกทุกอย่าง
ใครเสี่ยงได้ใบนี้ไม่มีทาง ไม่ควรห่างเคหาดีกว่าเอยฯ "
The 9th number tells that you should not go away.

อ่านจบก็ "อื้อหือ" ในใจ
ไม่มีอะไรดีเลยเหรอฟระ ชีวิตตรู!...
แรกๆก็ใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ
แต่ก็ต้องปรับใจให้รู้ทันความทุกข์ที่มันเกิดขึ้น
มันยังไม่เกิด โชคดีที่ใบเซียมซีนี้ได้มาเตือนเราไว้
เปลี่ยนให้กลายเป็นพลังใจในการทำงานและดำเนินชีวิต
ให้มีความระมัดระวังและมีสติมากยิ่งขึ้น
ทำอะไรต้องรอบคอบ หมั่นทำบุญ แบ่งปัน มีจิตเมตตามากกว่าเดิม
แล้วก็ผ่านไปให้ได้ครับ ^ ^

ขอให้พระคุ้มครองให้ผมมีชีวิตที่ปกติสุขด้วยคร๊าบ สาธุ!

ตอนเย็นทานข้าวเสร็จก็แวะไป SE-ED มาครับ
สอยหนังสือมาเล่มนึง ชื่อ "JR Pass ใบเดียวเที่ยวทั่วญี่ปุ่น"
พลิกๆอ่านดูก็เห็นว่าน่าสนใจดีครับ เป็นหนังสือประมาณ Guide Book
แนะนำเที่ยวญี่ปุ่นแบบใช้ตั๋วรถไฟแบบเหมา
ผมเองก็มี Plan ที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบ Backpack เช่นกันครับ
ก็เลยสอยมาอ่านไว้หน่อย เผื่อใช้ในการวางแผน

ชีวิตเราหลังจากที่ทำงานมาทั้งปีแล้ว
เราควรให้รางวัลแก่ชีวิตตัวเองบ้าง
โดยรางวัลในชีวิตผมก็ใช้ 3T ของ เฮีย Jim Rogers นั่นเองครับ
1. Trade นั่นคือการลงทุนเพื่อสร้าง passive income
ให้รางวัลเป็นอิสระภาพทางการเงินแก่ชีวิต
2. Teach ให้รางวัลแก่ชีวิตโดยการแบ่งปันความรู้และมุมมองด้านการลงทุน
และการใช้ชีวิตแก่คนอื่น (เวลามีเพื่อน Get Idea การลงทุน
เพื่ออิสระภาพทางการเงินที่เราแนะนำนั้น มันทำให้ผมมีความสุขมากเลยครับ
3. Travel นั่นก็คือการให้รางวัลแก่ชีวิตโดยการท่องเที่ยวนั่นเองครับ

ดังนั่นการออกไปท่องเที่ยวบ้าง ในขณะที่เรายังมีแรงจึงเป็นสิ่งจำเป็นครับ ^ ^

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องการลงทุนหรือตลาดหุ้นสักเท่าไหร่
เนื่องจากผมยังไม่ค่อยมีไอเดียการลงทุนใหม่ๆครับ
หรือพูดอีกแบบว่าหาไอเดียการลงทุนที่ดีกว่าปัจจุบันอยู่ยังไม่เจอ
ไม่เจอหุ้นตัวที่น่าสนใจ หรือ จังหวะเก็งกำไรที่ชัวร์
ก็เลยถือหุ้นในพอร์ตไปเรื่อยๆก่อนครับ เนื่องจากมันสร้างผลตอบแทนที่ ok
และก็ยังไม่ลงไปแตะ Trailing Stop เลยยังไม่ได้ออก Action อะไรเลย
"บางทีเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่เฉยๆ"
แต่อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเราต้อง "เราไม่ควรหยุดแสวงหาความ"
จะสู้ต่อไปเพื่ออิสระภาพทางการเงินครับ!

Tuesday, December 6, 2011

0039 : Value Visions 06-12-2011

วันนี้ทำงานเลิกค่อนข้างดึกอีกแล้วครับ
นิสัยส่วนตัวของผมคือไม่ชอบทำอะไรที่มันค้างคา
ก็เลยทมักจะอยู่ลุยจนงานเสร็จ
ไม่ค่อยเหลือดองไว้ทำในวันต่อไปสักเท่าไหร่

ช่วงนี้งานเข้าเยอะและบ่อย
ก็ต้องหันมาให้ความสำคัญกับการจัดเวลาชีวิตให้ดีกว่านี้ซะแล้ว

ผมเคยได้ฟังเศรษฐีท่านนึงที่เค้าสร้างตัวจากติดลบ
กลายเป็นเจ้าของธุรกิจหลายร้อยล้าน พูดให้ฟังว่า
" ไม่ว่าจะเป็นการทำงานอะไรก็ตาม
อย่าให้มันมาเบียดเวลาว่างในชีวิตของเรามากจนเกินไป
เพราะหากเรายุ่งมากๆ เราก็จะไม่มีเวลามานั่งคิดทบทวน คุยกับตัวเอง "
บางทีการมัวแต่จัดการกับปัจจุบัน ก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ
แต่ชีวิตเราก็ต้องมีพื้นที่ว่างไว้สำหรับให้เรานั่งคิด นั่งคุยกับตัวเอง
ในเรื่องความฝัน หรือ อนาคต บ้าง
การมีพื้นที่ว่าง ผมว่ามันทำให้เราสามารถขยับขยายความคิดและเติบโตต่อไปได้
ลองนึกดูถึงเด็กที่เอาแต่เรียนๆๆๆ กับเด็กที่เรียนบ้างเล่นบ้าง
เด็กคนไหนจะทันเล่ห์ทันเหลี่ยม หรือ เอาตัวรอดในโลกได้ดีกว่ากัน
และเมื่อโตขึ้นมา เด็กคนไหนจะเข้าใจชีวิตได้ดีกว่ากัน
ผมว่าเด็กคนที่เรียนบ้าง เล่นบ้าง เที่ยวไปนั่นนี่โน่นบ้าง นะที่จะแกร่งกว่า...

อีกอย่างก็คือการที่เรางานหนักงานยุ่งง จนเวลาว่างไม่ค่อยจะมีเนี่ย
มันเป็นสถานการณ์ที่ดึงดูความคิดลบๆ ได้ดีเป็นบ้าเลย
สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องตัดทัศนคติลบออกไปจาหกความคิดให้ได้
ไอ้ประเภทที่ว่า เบื่อจัง , เหนื่อยโว้ย , ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย หรือ
อะไรๆก็กู ใช้จังตังค์ก็ไม่ให้ อะไรทำนองนี้ต้องตัดออกให้หมด
สิ่งที่เราควรทำก็คือการใช้โอกาสนี้พัฒนาความสามารถ & ประสิทธิภาพ
ของการจัดการเวลา และ การทำงาน เปลี่ยนจากลบเป็นบวกให้ได้
แล้วใช้แรงบวกส่งผลดีให้เราอีกต่อนึง
สุดท้ายเราก็จะไปได้ไกลกว่าคนอื่น...


วันนี้ขอจดบันทึกแค่นี้ก่อนครับ ง่วงเหลือเกิน ราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน...

Monday, December 5, 2011

0038 : Value Visions 05-12-2011

ไปกลับมาจากเชียงใหม่ครับ
หลังจากที่ไม่ได้ไปมาน๊านนาน...
และก็พบว่าเชียงใหม่นั้นเปลี่ยนไปเยอะ
ตึกผุดขึ้นเยอะแยะมาก ส่วนใหญ่เป็นพวกร้านกาแฟ หรือ
ร้านอาหารเก๋ๆที่ไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยว
ถ้าคนที่ชอบถ่ายรูปแล้วไม่รอดแน่
ต้องจอดแวะพักแวะเข้าไปถ่ายภาพตลอดทาง
แล้วอีกอย่างก็คือรถติดมาก!
ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะช่วง Long Weekend หรือเปล่านะครับ

ผมไปเชียงใหม่ตั้งแต่คืนวันที่ 2 ครับ
ไปถึงโรงแรมปุ๊บเพื่อนก็ขับรถมารับไปทานข้าว
ว่าจะไปนั่งเปิบไก่ทอดเที่ยงคืนเจ้าอร่อย ก็ดันเปิดขาย 5 ทุ่ม
( ใครจะมากินจำไว้นะครับ ว่าป้าแกเปิด 5 ทุ่ม
ไปก่อนครึ่งชั่วโมงก็ไม่ขายให้ ต้องนั่งรอ )
ผมกับเพื่อนก็เลยนั่งกินร้านข้างๆ ที่ขายพวกไก่ทอด ไส้อั่ว ข้าวเหนียว เหมือนกัน
ผลก็คืออร่อยไม่แพ้ร้านไก่ทอดเที่ยคืนของป้าจอมดุเลยครับ

เพื่อนคนนี้ก็เป็นเพื่อนสมัยเรียน ม.เชียงใหม่
แล้วก็ลงทุนในหุ้นเหมือนกัน ( ผมเป็นคนแนะนำให้รู้จักกับ Value Investment )
วันนี้มาเจอกันก็เลยมาคุยกันเรื่องการลงทุนและมุมมองเศรษฐกิจนิดหน่อยครับ

จากนั้นอีกวันก็ไปเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ครับ
เรียกได้ว่าไม่ได้คิดถึงเรื่องหุ้น หรือ เรื่องการลงทุนเลย
เป็นการพักผ่อนที่พักผ่อนจริงๆครับ


ช่วงที่อยู่เชียงใหม่ 2-3 วันนี้ก็ไปเที่ยวถ่ายรูปนั่นนี่ ไหว้พระ กินข้าว นั่งร้านกาแฟ
ขับรถไปๆมาๆก็ผ่านไปเห็นป้ายโฆษณาโครงการบ้าน , คอนโด เยอะแยะเลยครับ
ก็ราคาสูงใช้ได้ ถ้าเป็นคอนโดฯ แถบ ถนนนิมมานฯ ห้องละประมาณ 3 ล้าน
ส่วนบ้านเดี่ยวรอบนอกเมืองหน่อยก็ประมาณ 3 ล้าน
อ้อ ผ่านไปอีกที่เห็นตึกแถว(4ชั้น) ข้างคลองชลประทาน ตรงข้าง มช.
ประกาศขายห้องละ 7.5 ล้าน ซึ่งถือเป็นราคาที่เพิ่มขึ้นมากทีเดียว
เมื่อตอนผมเรียนจบใหม่ๆน่าจะห้องละ 4 ล้าน บวกลบนิดๆเท่านั้นเอง
เชียงใหม่ในช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นเลยแหละ
แต่ที่รู้แน่ๆก็คือการจราจร ต้องแก้ไข
เพราะเดินทางแต่ละที ถ้าไปด้วยรถยนต์จะเสียเวลามาก ส่งผลให้เซ็งสุดๆ
( ถนนเชียงใหม่แคบแบบขยายเพิ่มไม่ได้ )

ส่วนเรื่องราคาที่เห็น ผมก็คิดนะว่า มันเป็นราคาที่ขายให้ใครกัน
ถ้าไม่ขายให้เศรษฐี ก็ต้องคนที่เงินเดือนสูงๆ คนทั่วไปใครจะมีปัญญาซื้อ ?
( เดาอีกอย่างว่าเอาไว้ขายให้คนกรุงเทพที่จะหนีน้ำมาอยู่เชียงใหม่แน่เลย )

อันที่จริง ผมก็มี Plan B ที่จะมาอยู่เชียงใหม่เหมือนกันนะครับ
แต่ยังไม่เคยคุยให้แฟนฟังว่าแอบคิดแบบนี้ไว้นะ
เพราะผมมองว่าเชียงใหม่เป็นเมืองที่คุณภาพชีวิตดี
มีโรงเรียนดีๆ โรงบาลดีๆก็มี
ค่าครองชีพไม่แพงเท่า กทม. ( อาหารเชียงใหม่ถูกมาก )
ใกล้บ้านผม ( บ้านผมอยู่เชียงราย ) เดินทางไปบ้านแฟนสะดวก
( บ้านแฟนผมอยู่ฉะเชิงเทรา นั่งเครื่องไปลงสุวรรณภูมิ ต่อรถไปแป๊บเดียว )
แต่พอมาเจอรถติดรอบนี้สงสัยได้คิดใหม่ครับ T T
( ว่าแต่ว่า ความจริงอาศัยอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย
แบบ ดร.นิเวศน์ฯ ก็สบายไปอีกแบบนะครับ ^ ^ )


และผมก็มีโอกาสผ่านไปในที่ๆเคยผ่าน
เห็น ร้านค้า ร้านอาหารร้านโปรดของผมหลายร้านก็ยังไงเปิดอยู่
แต่ก็เปลี่ยนมือ ( เจ๊ง ) ไปหลายร้าน
ก็ได้ข้อคิดอะไรบางอย่างครับ
ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง
ธุรกิจที่จะอยู่รอด ต้องมีทีเด็ดจริงๆ ครับ
เพราะถ้าไม่เจ๋งจริง ไม่นานลูกค้าก็ลืมคุณ แล้วก็ไปหาร้านที่เค้ามีทีเด็ดมากกว่าคุณ
ร้านโปรดของผมแต่ละร้าน ที่ยังอยู่ต่างก็เติบโตแข็งแกร่งขึ้นมาก
เพราะฉะนั้นในการทำธุรกิจนั้น...
การโฟกัสจุดแข็งของตน และพัฒนาให้มันเด่นสุดๆไปเลยสำคัญมากครับ
เพราะมันอาจจะเด่นจนกลบจุดอ่อนให้ลูกค้ามองข้ามจุดอ่อนนั้นไปเลยก็ได้

หรืออย่างในการดำเนินชีวิตของเราเช่นกัน
บางทีการเลือกทำในสิ่งที่เราชอบหรือพัฒนา Skill ในด้านที่เราถนัด
อาจจะดีกว่าการเขี่ยวเข็ญให้เราทำอะไรที่เราไม่ถนัดนะครับ
เราจะเสียเวลาพํมนาสิ่งที่เราไม่ชอบไปทำ
ถ้าพัฒนาแล้วมันอยู่แค่ในระดับที่ "พอผ่าน"
เอาไปใช้ประโยชน์อะไรก็ใช้ได้ไม่เต็มที่
สู้เอาเวลาไปพัฒนาสิ่งที่เราถนัดให้มันเจ๋งล้ำหน้าชาวบ้านให้มากๆ
จนมันกลายเป็นสิ่งที่ชาวบ้านต้องมาง้อขอพึ่งความสามารถของเราจะดีกว่า จริงไหมครับ ?


ใกล้จะสิ้นปีเข้าไปแล้ว
ช่วงนี้ผมก็จะพยายามวางแผนการออมเงินและการลงทุนของปีหน้าครับ
โดยยึดแผนระยะยาวที่เขียนไว้เป็นหลัก (ก็มีการปรับปรุงแผนอยู่เรื่อยๆ)
ปีหน้าคงต้องขยันให้มากกว่าปีนี้ (ปีนี้แทบไม่ค่อยรู้จักหุ้นใหม่ๆเพิ่มเลย)
เดี๋ยวถ้าร่างเสร็จแล้วก็จะเอามาให้ดูกันนะครับ ^ ^


แม้เป้าหมายจะอยู่ไกล...
แต่ถ้าเราเดินอยู่ในเส้นทาง เดินอย่างสม่ำเสมอ
ระยะห่างระหว่างตัวเรากับเป้าหมาย มันก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ
หากเราเดินต่อไป เราต้องคว้ามันมาไว้ในมือได้แน่นอน!


ข้อมูลจาก Twitter ของพี่ @MrMessenger ขอนำมาแปะไว้นะครับ
ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันศุกร์
5 อันดับแรก ได้แก่
#1 US +3.82%
#2 Philippines 2.14%
#3 Indonesia 2.06%
#4 South Africa 1.91%
#5 Thailand -0.33%
( 3 ใน 5 คือตลาดกลุ่ม TIP = Thailand, Indonesia, Philippines )
ส่วนผลตอบแทนของทอง YTD ปีนี้ อยู่ที่ 22.4% (ชนะหุ้นขาดลอย)
และน้ำมันปีนี้เหวี่ยงไปเหวี่ยงเหมือนหุ้นเปี๊ยบ อยู่ที่ 0.80%

ส่วนข้อมูลจาก @FundTalk :
สัปดาห์หนี้จับตามองการประชุม European Union Summit ในวันศุกร์ที่ 9 ธค นี้
คาดว่าจะมีนโยบายเชิงรุกมากขึ้นจาก IMF & ECB



อ้อ วันนี้วันพ่อ เมื่อเช้าส่ง SMS ไปหาป๊าแล้ว ที่ไม่ได้โทรไปหาก็เพราะผมขี้เขินน่ะครับ
อยากบอกว่า " รักป๊าที่สุดเลย จะพยายามเพื่อป๊า จะรวยเพื่อป๊า ไม่ให้ป๊าต้องลำบากครับ! "

Thursday, December 1, 2011

0037 : Value Visions 01-12-2011

ตลาดหุ้นไทยวันนี้ทะลุขึ้นมาเหนือ 1,000 จุดอีกแล้ว
แต่ยังมีคนที่อยู่บนดอยลูกใกล้ๆ 1,100 จุดอีกเยอะรึเปล่า ?
ปีนี้เป็นปีที่ผันผวนมาก จากดัชนีเกือบพันจุด วิ่งไป 1,100 จุด
จากนั้นมาที่เก้าร้อยกว่าๆ แล้วก็วิ่งมาที่ 1,000 จุดอีกครั้ง
เจอแบบนี้บางทีคนที่ชนะอาจไม่ใช่เซียนก็ได้ แต่อาจเป็นคนที่ซื้อถั่วเฉลี่ย แบบ DCA ?

ด้านฝั่งคนที่ซื้อ LTF & RMF เพื่อจะลดภาษีเหมือนกัน
มาซื้อตอนนี้ก็ถือว่าซื้อแพงไปหน่อย แต่ถ้า DCA มาทั้งปี ต้นทุนก็น่าจะต่ำกว่า
คนที่มาซื้อตูมเดียวปลายปีแบบนี้...
แย่งกันซื้อกองทุน กองทุนก็แย่งกันเอาเงินมาซื้อหุ้น...

ทายตลาดผิดมาหลายวัน
ทายว่าจะลงๆ ก็พุ่งเอาๆ ดีนะที่ฝึกใน Paper Trade ไปก่อนเนี่ย
ไม่งั้นมีเสียตังค์แน่ๆ ก็ต้องฝึกกันไปครับ
ข้อจำกัดของผมในตอนนี้ก็คืองานประจำเนี่ยแหละ
ทำให้ไม่สามารถมาฝึกเทรดได้
ก็เลยได้แต่ลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน+กราฟมุมกว้างๆต่อไป


" โลกนี้ไม่มีใครคาดเดาตลาดหุ้นได้ "
สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น
และคุณจะชนะก็ต่อเมื่อคุณทำสิ่งที่ถูกต้อง...


สถานการณ์ในวันนี้ ฝรั่ง Net Short 6 สัญญา ( สู้กันสูสีมาก! )
แต่ Net Buy หุ้นไป 1,600 ล้าน ส่วนผู้กองเก็บหุ้นไป 3,200 ล้าน
( เงิน RMF + LTF แน่ๆเลย ) ปอบก็ร่วมวงเก็บหุ้นไปอีก 2,800 ล้าน
ย่อยขายเละเช่นเคย ไม่รู้จะขายหมูรึเปล่านะ >_<

ส่วนตัวแล้วผมคิดว่านี่เป็นอารมณ์หลุดดอยแล้วรีบปล่อยของร้อนออกจากตัวของรายย่อย
แล้วก็จะเกิดอารมณ์กลัวตกรถกลับมาไล่ซื้อคืนให้เค้า(หมายถึง ฝรั่ง กอง ปอบ )
ได้กำไรอีกรอบ... เหตุการณ์นี่จะเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
มันเป็นวัฏจักรของแมงเม่านั่นเองครับ

ส่วนตัวผมก็มองว่า Sideway ไปเรื่อยๆ เพราะปัญหายังไม่ได้ถูกแก้
พวกฝรั่งก็ได้แต่ผักชีโรยหน้า แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ
( หนี้ที่ใกล้จะถึงกำหนดชำระก็อีกหลายก้อน )
ตลาดน่าจะเล่นกับความกังวลและคลายกังวลต่อไป
แต่... พี่กันก็อาการดีขึ้น จากตัวเลขที่ออกมา และก็คงต้องหาที่ให้เงินไปพัก
เม็ดเงินก็น่าจะกระเด็นเข้ามาทาง Asia เป็นระยะๆด้วย
( แล้วก็ต้องดึงกลับเป็นระยะๆเมื่อยามที่ตลาดกังวล - - )
ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆนะครับ อย่าฟังผมมาก ทายทีไรผมก็ผิดตลอดเลย T T
แต่ก็ต้องฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์ ฝึกเชื่อมโยงข้อมูลและความรู้ กันต่อไป
ซ้อม ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม...!

สำหรับหุ้นในพอร์ตผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย
กลัวว่าจะลง เตรียมแผนเอาไว้รับมือ ก็ไม่ลงแถมพุ่งต่ออีก ก็ดีวุ้ยไปของมันได้
วันนี้ก็บวกมานิดหน่อยครับ พูดแล้วหุ้นในพอร์ตผมก็คงเป็นหุ้นลูกเมียน้อย
ที่ Fund Flow มักจะไหลเข้าช้าหน่อย
เพราะมัวแต่ไหลไปซื้อพวก Bank กะ พลังงาน ที่นำตลาด
กว่าจะมาซื้อหุ้นผมเค้าก็เขียวปี๋กันไปไหนต่อไหนแล้ว
แต่ไม่เป้นไรนะ ผมไม่รีบอยู่แล้ว ขอแค่ระยะยาวมันไปถึงที่คำนวนไว้ก็อิ่มแล้ว หุหุ

Wednesday, November 30, 2011

0036 : Value Visions 30-11-2011

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน พ.ย.
พรุ่งนี้ก็จะเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน
รู้สึกเหมือนว่ายังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่เลย
ปี 2554 ก็จะผ่านไปเสียแล้ว... แต่อีกแง่นึงมันก็ดีนะ
ในด้านของการลงทุนที่ต้องพึ่งผลตอบแทนแบบทบต้น คิดแบบบวกๆว่า
หากเวลาผ่านไปไว ผลตอบแทนแบบทบต้นก็ยิ่งทบไวตามสิ จริงไหมนะ ?

ตลาดหุ้นในวันนี้ยังคงปิดบวก
แล้วต่างชาติก็ยัง Net Buy เพิ่มอีก 785 ล้านบาท
รวม 2 วันนี้ Net Buy ไป 1,314 ล้านบาท
เป็นการซื้อพร้อมกับกอง & ปอบ
ปล่อยรายย่อย Net Sell ขายหมูแบบเมื่อวานเดี๊ยะเลยครับ
ส่วน TFEX พี่หรั่งก็ Net Long 2,485 สัญญา
นี่แสดงว่าอาจจะกะลากขึ้นยาวๆรึเปล่านะ ?

หรือไม่ก็ถ้ามองแบบคุณพิชัย จาวลา
เหล่ารายย่อยไล่ Short ใส่หรั่ง แม้หรั่งอยากจะ Short แต่มันก็ไม่มีคน Bid รึเปล่า ?

ชะแว๊บไปดูฝั่ง อเมกา + ยุโรป ก็เขียวทั้งแถบ
ก็เลยเข้าไปเช็คข่าวใน Google+ ดู
ก็อ่านเจอว่า หุ้นขึ้นเพราะข่าว FED + ธนาคารกลาง 5 แบงค์ชั้นนำของโลก
จับมือกันลดดอกเบี้ยสวอปดอลล่าร์ รวมถึง ธนาคารจีน
ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของ ธ.พาณิชย์
ผลก็คือหุ้นวิ่งกระจายแบบนี้แหละครับ

ไม่รู้ว่าหากความกังวลหนี้ยุโรปมาปะทะความรู้สึกของ นลท.
ไม่ว่าจะหัวดำหัวแดงก็ตาม อาจจะมีดราม่าอีกรอบรึเปล่า ?
เพราะดูจาก Webboard แล้วทุกคนมองเห็นแต่ความสดใส
ถ้าเอาทฤษฏีงานค็อกเทลมาจับนี่อยู่ในช่วง... เลยนะครับ
ก็ของถือหุ้นในพอร์ต ยืนดูก็แล้วกันครับ

พวก DW ช่วงนี้ผมคงหมดสิทธิ์จะเทรดเลย
เพราะงานประจำยุ่งมาก ช่วงเวลางานตอนกลางวันนี่แทบไม่มีเวลาดูหุ้นเลย
ขอพักไว้ก่อน สำหรับปีนี้คงถือคติ " พอใจเท่าที่มี ยินดีเท่าที่ได้ " ไปก่อนก็แล้วกันครับ
ณ วันนี้ผลตอบแทนผมอยู่ราวๆ 33% ก็เหนือกว่าคาดมากครับ
แต่ด้านจำนวนเงินยังไม่เข้าเป้าที่วางไว้ครับ
เนื่องจากปีนี้ออมเงินไม่ค่อยได้เลยครับ T T
ก็จะพยายามให้มากขึ้นครับ ต้อง ควบคุมรายจ่าย เพิ่มรายได้ ให้ได้ดีกว่านี้

ช่วงนี้แม้งานจะเยอะก็ยังคงต้องพยายามหาความรู้ใส่ตัว เพื่อพัฒนาตัวเองไปด้วยครับ
ผมวางแผนเอาไว้ว่าจะพยายามอ่านหนังสือทุกวัน โดยแบ่งเป็น
1. อ่านหนังสือพวกจิตวิทยาสู่ความสำเร็จ
อันนี้อ่านวันละหน่อย 4-5 บท อ่านแล้วก็นำไปฝึกใช้ให้ติดเป็นนิสัย
ช่วยได้มากครับในการประยุกต์ใช้กับการทำงานหรือการดำเนินชีวิตของเรา

2. อ่านความรู้ด้านการลงทุน พวกข่าว หรือ บทความต่างๆ เพื่อให้ทันข่าวสาร
และพัฒนาความคิดของเราให้เฉียบคมอยู่เสมอครับ

3. อ่านหนังสือ / ตำรา ที่เกี่ยวข้องกับงานประจำ ก็เพื่อพัฒนาความสามารถในการทำงาน
ซึ่งหากเราก้าวหน้าในสายงานได้ไว ก็ช่วยให้เรามีรายได้มากขึ้นตาม
Free Cash Flow ก็มากตามไปด้วย ส่งผลให้เราก้าวไปสู่ Financial Freedom ได้ไวยิ่งขึ้น

ไม่ได้อ่านทั้งหมด 3 อย่าง ในคืนเดียวหรอกนะครับ
อ่านๆสลับกันไปบ้าง วันนี้อ่านจิตวิทยาฯ อีกวันอ่านหนังสือด้านการลงทุน ประมาณนี้ครับ

เวลาเรามีจำกัด ดังนั้น จงใช้มันให้เกิดประโยชน์ที่สุด
จะได้ไม่ต้องมานั่งบ่นเวลาเสียดายเวลาในภายหลังครับ...

Tuesday, November 29, 2011

0035 : Value Visions 29-11-2011

ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆครับ ( สำหรับภาคเหนือนะ )
ผมเลยต้องหันมาใส่ใจกับการรักษาสุขภาพมากยิ่งขึ้น
ถ้าเกิดเป็นหวัด เป็นไข้ ขึ้นมาเนี่ย พลังชีวิตหายไปเยอะเลยครับ
ช่วงนี้ยิ่งเป็นฤดูงานชุกอยู่ด้วย วันนี้ก็เช่นเคย งานปกติเยอะกว่าปกติแล้ว
แถมยังต้องอยู่ทำ OT ช่วงเย็น กว่าจะเลิกก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าๆ
กินข้าวกลับมาห้อง คุยโทรศัพ์ + Video Call + อ่านเวบ เช็คข่าว ตามปกติ
จากนั้นก็ผ่อนคลายด้วยการเล่น PES สักสามสี่นัด

แล้วก็ตามด้วยการเล่น Texas Poker ผ่าน BB ครับ
ผมเพิ่งรู้ว่าผมได้เลื่อนระดับไปแข่งในระดับสูงขึ้นไปอีกครับ
ไม่รู้เหมือนกันว่าในเกมเอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด
แต่ผมเดาว่าน่าจะตังค์ในบัญชีของเรามั๊ง
ต้องเข้าไปเจอผู้เล่นระดับสูงกว่า ช่วงแรกก็ทำได้ดีครับ
ผมเอาหน้าตักเข้าไปเล่น 14,000 USD
ก็ทำกำไรได้ 2 เท่าของหน้าตักได้ในเกมแรกๆ
แล้วก็มาแพ้ยับหน้าตักลดลงไปเหลือ 4,000 USD
จากนั้นก็ตั้งสติ เล่นตามระบบของเรา
ไพ่ดีก็ค่อยๆล่อให้คนในวง Bet เพิ่มเรื่อยๆ กินคำใหญ่ๆ
ไพ่ไม่ดีก็หมอบ เน้นลากไปเชือดในเกมที่เรามั่นใจว่าเรามีโอกาสชนะสูงครับ
จนเงินหน้าตักเพิ่มขึ้นมาเป็น 12,000 USD
ก็มีผู้เล่นเข้ามาเพิ่มก็เลยทะลึ่งไปลองของ Bet หลอกเค้าบ้างนิดหน่อย
แล้วผมก็แพ้เค้า เสียตังค์... ก็เลยเกิดอาการหมั่นไส้
เล่นตามอารมณ์หมั่นไส้ อยาก Bet ก็ Bet ไป
Bet หนักๆแบบกวนตีนชาวบ้าน ผลก็โดนกินจนตังค์หมดเลย
สรุปวันนี้เล่นแพ้อารมณ์ตัวเองครับ
โอกาสหน้าขอแก้ตัวใหม่ จะไม่เล่นตามอารมณ์แล้ว T T

การลงทุนก็เช่นเดียวกับเกม Poker ครับ
หากเราถูกอารมณ์เข้าครอบงำการตัดสินใจเมื่อไหร่
นั่นหมายถึงความหายนะมาจ่อถึงคอหอยเราแล้ว...


สำหรับสถานการณ์ตลาดหุ้นวันนี้ก็ยังปิดบวกครับ
ไม่รู้ว่าจะลากกันไปถึงไหน ถล่มรอบถัดไปจะเป็นยังไงเนี่ยชักหวั่นๆหัวใจ

วันนี้กลายมาเป็นต่างชาติ Net Buy อยู่ 528 ล้านบาท หลังจากที่ขายสุทธิมาหลายวัน
ไม่รู้ว่าเป็นการสับขาหลอก หรือว่าจะเปลี่ยน Trend กลับมาซื้อหุ้นไทยเลย เดาไม่ออกครับ
ก็คงต้องให้ตลาดในวันพรุ่งนี้ Confirm แหละครับ

แต่ถ้ามองตามจิตวิทยาแล้ว เค้าจะมองอย่างนี้รึเปล่า...
วันนี้เค้าหลอกว่าเค้าซื้อ
ให้รายย่อยมั่นใจ ไล่ราคาซื้อหุ้นในวันพรุ่งนี้
เค้าจะได้ปล่อยของออกง่ายๆ และได้ราคา
จากนั้นวันต่อๆไป ก็ปล่อยของที่เหลืออยู่เพื่อทุบราคา
บีบให้รายย่อยคายของในมือออกมาในราคาที่ขายขาดทุน
ผมแค่ลองคิดดูนะ ก็ลองอ่านใจเค้าดู ตรงไม่ตรงไม่กล้าเดาครับ >_<

จากยอดพี่หรั่ง Net Buy ในวันนี้ ก็มีพี่กอง กับ ปอบ ผสมโรง Net Buy กะเค้าด้วย
ย่อยปล่อยของฮะวันนี้ มาดูในยอด TFEX พี่หรั่งก็ Net Long อยู่ 2,559 สัญญา
พี่กองอีก สองร้อยกว่าๆ สัญญา , ย่อย Net Short
ไม่รู้ว่าพี่หรั่ง Long เพิ่มแบบนี้กะจะลากขึ้นอีกรอบรึเปล่านะ ?

มาดูที่ทางฝั่ง อเมกา , ยุโรป
DJ , DAX ก็เขียวให้เห็น สถานการณ์มันไม่ได้ดีขึ้นหรอก
แต่ตลาดมักจะคลายกังวลเมื่อมันความกังวลเพิ่มขึ้น...
แล้วพอมีแนวทางอะไรออกมาให้ลุ้นช่วงเหลือก็มาคลายกังวล
เสร็จหุ้นขึ้นไปแล้วก็มากังวลกันต่อ...
วนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่รู้กี่รอบแล้ว

ถ้าสมมุติว่าเราลองเก็งกำไรตามการจับจังหวะตามความกังวล / คลายกังวล
บางทีอาจจะได้ค่าขนมหลายบาทแล้วก็ได้ :P

Monday, November 28, 2011

0034 : Value Visions 28-11-2011

วันนี้เป็นวันแคะกระปุกของผมครับ
อันที่จริงมันก็เป็นวันเงินเดือนออกด้วย
ผมก็เลยถือเอาวันเงินเดือนออกเป็นวันแคะกระปุกออมสินของผมไปด้วยเลย

กระปุกออมสินของผมจะมี 2 ใบครับ
ใบแรกออม เหรียญบาท กะ เหรียญ 2 บาท
กระปุกใบที่ 2 ออมเงินเหรียญ 5บาท , 10 บาท แล้วก็ ธนบัตร ครับ
แคะเดือนละครับ ก็ได้ไม่เยอะเท่าไหร่หรอกครับ
เพราะที่จะออมจริงๆ ผมกันไว้ ออม / ลงทุน ตั้งแต่เงินยังไม่เข้าบัญชีแล้ว

โดยเงินที่อยู่ในกระปุกจะเป็นเงินเหรียญที่ได้รับทอนมาในแต่ละวันครับ
ผมเป็นคนไม่ใช้เงินเหรียญนะ ได้ตังค์ทอนมาก็เก็บไว้ เพื่อเอามาหยอดกระปุก
ส่วนถ้าเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายรายวัน / รายสัปดาห์เหลือก็เก็บเป็นเงินแบงค์
หยอดไว้ในกระปุกนั่นแหละครับ ปลายเดือนก็มาแคะกระปุกที

นับแล้วก็แบ่งใส่ถุงพลาสติก แยกถุงละ 100 บาท รัดด้วยหนังยาง
เสร็จก็เอาไปฝากธนาคาร อ้อ ทางที่ดีอย่าเอาไปฝากเกิน 2,000 / ครั้ง นะครับ
เพราะถ้าเกิน 2,000 บาทเค้าจะคิดค่าธรรมเนียมนับเหรียญ "พันละ 10 บาท" นะ!
แต่ถ้าแบ่งไปทีละ 1,000 หรือ
ธนาคารนี้พันนึง อีกธนาคารพันนึง ไม่มีใครรู้นิ จริงป่ะครับ ^ ^

การออมเงินแบบเหลือจากการใช้จ่าย แบบนี้ก็ช่วยสร้างวินัยให้เราไปอีกแบบ
แตกต่างจากการหักออมเมื่อได้รับรายได้เลย
คือแบบค่อยๆหยอดกระปุกทีละเหรียญสองเหรียญ มันช่วยสร้างนิสัยมัธยัสถ์ให้กับเรา
ช่วยให้เรารู้จักยั้งคิดมากขึ้นในการใช้จ่าย (ในสิ่งที่ไม่จำเป็นบางอย่าง)
ถ้าใครยังไม่มีกระปุกออมสิน แนะนำให้หาไว้สักใบ
ได้เงินเหรียญทอนมา ลองเก็บๆไว้ ระหว่างวันก็ทำเป็นลืมๆมันไป
ตกเย็นกลับบ้านมาก็เอามาหยอดกระปุก
แคะเดือนละทีแบบผม แล้วคุณจะประหลาดใจว่า เงินก้อนนี้มันมาได้ยังไงว้าา... >_<


สำหรับตลาดหุ้น วันนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเพิ่มครับ เนื่องจากตลาดซึมสุดๆ
ครึ่งเช้าฝรั่งแอบมี Net Buy ให้เห็นนิดหน่อย แต่ช่วงบ่ายสับขาหลอก Net Sell ซะอย่างงั้น
ตลาดวันนี้ก็วิ่งด้วยฝีมือรายย่อยอีกแล้ว
ลองมาดูยอด TFEX ฝรั่งก็ Net Short 1,167 สัญญา
ผมเดาเอาตามความคิดของผมเองนะว่า...
อีกไม่นานเกินรอต้องมีดราม่า ตลาดแตกอีกรอบแน่ๆ
เมื่อกี้ก่อนเขียนบันทึกนี้อ่านผ่านๆใน Facebook
เห็นว่า Italy โดนลดเกรดจาก BB+ เหลือ BB พรุ่งนี้จะเป็นยังไงเนี่ย ?!
ขอให้งานไม่ยุ่งทีเถ๊อะ มีอะไรเกิดขึ้นจะได้เผ่นทัน...


วันนี้เลิกงานประมาณ 2 ทุ่มครับ
กลับมาก็คุยโทรศัพท์ + Video Call คุยกับแฟน + อ่านเวบ อ่านข่าว
จากนั้นก็พักผ่อนด้วยการเล่น PES ( Pro Evolution Soccer ) หรือ วินนิ่งฯ นั่นเองครับ
ตั้งแต่เกมนี้ออกโหมด Become the Legend ผมก็เล่นแต่โหมดนี้เลยครับ
( มีหนีไปเล่น Master League นิดหน่อย )
ผมว่าโหมดนี้เป้นโหมดที่มีเสน่ห์มาก ตอบโจทย์เด็กผู้ชายที่ชอบฟุตบอล
ตัวละครเริ่มจากเป็นนักเตะโนเนม มาเข้าร่วมทีมระดับล่างของลีกยุโรป
( ตัวละครสามารถเลือกสัญญชาติได้ตามใจเรา แน่นอนว่าผมเลือกสัญชาติไทย )
เล่นไปจากตัวสำรอง ก็ขยับเป็นตัวจริง มีทีมใหญ่ๆมารุมจีบซื้อตัว
จนกระทั่งติดทีมชาติ พาทีมชาติไปบอลโลก...
เห้ย เกมนี้แม่งตอบโจทย์ความฝันโคตรๆเลยครับ
ผลก็คือติดงอมแงม แต่หลังๆนี่ก็ไม่ค่อยมีเวลาเล่นสักเท่าไหร่
นานๆคิดถึงก็จะมาเล่นสักทีนึงครับ ถือเป็นการพักผ่อน

ตอนแรกๆ เล่นแล้วไม่ถูกใจก็เริ่มเล่นใหม่หลายรอบมาก
ผมพบว่าหากจะเล่น Become the Legend แบบที่ให้ตัวเราเทพไวไว แบบไม่โกง
เราต้องวางแผนช่วงที่สร้างตัวละครอย่างดีครับ ถึงจะมีชัยไปกว่าขึ้น
ถ้าวางแผนไม่ดี สร้างตัวที่ Status ไม่ถูกใจเราออกมา กว่าจะเก่งโดนใจเรา
ก็อายุอานามปาเข้าไป 24-25 โน่นแล้ว
แต่ถ้าเราวางแผนตอนสร้างตัวละครดีๆ + วางแผน Training ดีๆ
อายุ 21-22 ก็สามารถกลายเป้นนักเตะระดับโลกที่เป็นตัวพลิกเกมส์ได้แล้วครับ

บางที "เกม" มันก็กระซิบบอกอะไรเราเหมือนกันนะ
การที่เราจะประสบความสำเร็จให้ไวนั้น
เราต้องรู้จักวางแผนในการเดินทางตามความฝัน
และฝึกหมั่นฝึกซ้อมตามแผนที่วางไว้
จากนั้นก็สนุกกับมัน
รู้ตัวอีกที ความฝันอาจจะอยู่ตรงหน้า ให้เราเอื้อมมือไปหยิบแล้วก้ได้...

Sunday, November 27, 2011

0033 : Value Visions 27-11-2011

เมื่อครู่เพิ่งผ่านเหตุการระทึกขวัญมาครับ
เหตุการณ์ที่ว่าก็คือ " ผมติดอยู่ในห้องนอน! " เพราะลูกบิดประตูเสียครับ
คือบ้านพักของผมเนี่ยหลังข้างเคียง เย็นวันอาทิตย์อย่างนี้
ยังไม่มีใครกลับมากันหรอก ผมจึงเหมือนอยู่คนเดียว
ยามที่มีอยู่คนนึงก็มักจะไปหลับไปก็ดูทีวีอยู่แถบๆหน้าออฟฟิศโน่น
หากตะโกนเรียกคาดว่าไม่มีใครได้ยิน
ตอนแรกกะจะไปอาบน้ำ เอาไปเอามานั่งงัดห้องตัวเอง เหงื่อออกชุ่มเลย
รู้สึกว่าตัวเองเป็นไมเคิล สกอฟิลด์เลยครับ
ถ้าติดอยู่จนถึงพรุ่งนี้เช้าผมก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่นัก
อย่างมากก็มีปัญหาเรื่องเข้าห้องน้ำเท่านั้นเอง
ช่วงเวลาเลวร้ายมันมักจะมาตอนที่เราไม่ทันได้ตั้งรับเสมอ

อย่างผมตอนที่พยายามจะออกจากห้องในห้องแทบไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย
ค้นไปในที่ใส่ปากกาเจอไขควง ไม้บรรทัดเหล็ก แล้วก็เหลือไปเห็นแม่กุญแจ
อันที่ผมใช้ล็อคห้องเวลาออกไปข้างนอก ลองจับดูน้ำหนักพอใช้ได้
ก็เลยเอามาเป็นตัวตอกต่างค้อนครับ
ก็เลยจัดการเคาะ เจาะ ทุบ ลูกบิดเจ้าปัญหา ใช้เวลาไปชั่วโมงครึ่ง!
เหนื่อยโคตรๆเลยครับ แต่ก็โชคดีที่ยังเปิดห้องออกมาได้
ไม่งั้นคงลำบากน่าดูตอนพรุ่งนี้เช้า

" บางทีชีวิตเราไม่ได้มีพร้อมทุกช่วงเวลาหรอกครับ
แต่อยู่ที่ว่าเราจะใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์กับเราอย่างไรต่างหาก "


ช่วงสุดสัปดาห์นี้หอบหนังสือ Technical Analysis กลับบ้านมาอ่าน
แต่ก็อ่านไม่ถึงไหนเลยครับ วันเสาร์ดันป่วยเป็นเยื่อตาอักเสบ
ไปหาหมอกินยาเสร็จก็นอนพักทั้งวัน ส่วนวันอาทิตย์ก็ได้อ่านนิดนึง
ก็ต้องเตรียมตัวเดินทางกลับมาที่บ้านพักที่ทำงาน
จนมาเจอไอ้ลูกบิดบ้านี่ขังผมอยู่ในห้องนั่นล่ะครับ
ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนก็แล้วกัน
ผมสังเกตุว่าสัปดาห์ไหนที่ผมต้องทำงาน 7 วัน
เสาร์ - อาทิตย์ ไม่ได้หยุดพักผ่อน , วันจันทร์ถัดมาอารมณ์ผมจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
การทำงานหามรุ่งหามค่ำ โดยไม่หยุดพัก ตามความคิดผม มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกครับ
หากเราไม่ Relax เสียบ้าง ร่างกายก็จะเหนื่อยล้า สุขภาพจิตก็ไม่แจ่มใส
การทำงานของเราก็จะด้อยประสิทธิภาพลง
สู้ทำงานเต็มที่แต่พอดี เวลาพักก็พักจริงๆ
แบบนั้นจะดีกว่าครับ ดังที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าให้เดิน "ทางสายกลาง" ไงล่ะครับ

สำหรับการลงทุนในวันพรุ่งนี้
ผมก็คงยึดแผนเดิมต่อไป
คือ หาก SET ร่วง พร้อมกับราคาหุ้นในพอร์ตผมลงมาถึง
Trailing Stop ใน Volume หนาๆ ก็เผ่นให้ไว
พร้อมกับไปสอย Put DW ของหุ้นนำตลาดไว้

บางคนอาจจะค่อนขอดผมว่า ไหนบอกว่าเป็นวีไอ
ทำไมหุ้นลงหน่อยเดียวเผ่นซะป่าราบเลย แล้วก็ยังมาเล่น DW อีก
แหม ผมก็อยากจะบอกว่า ที่เจอมาน่ะผมเข็ดแล้วค๊าบ!
นั่งดูเงินหาย กำไรหด จากกำไร +60% เหลือ +10%
แม้จะยังกำไรอยู่ แต่ผมก็ช้ำใจเป็นนะ
ถ้ากำไรหายก็เท่ากับว่าปีนี้ผมเล่นหุ้นฟรีเลยงั้นเหรอ ?
แหม เล่นหุ้นเอากำไรนะ ไม่ใช่เพื่อการกุศล
ถ้าจะเป็นวีไอ ผมก็ขอเป็นวีไอตอนเลือกหุ้น หาหุ้นก็แล้วกัน
แต่การบริหารพอร์ตผมขอบริหารแบบ Trader ดีกว่า
ส่วน DW ก็มีไว้ใช้ Hedge พอร์ต หรือไม่ก็ Leverage เพิ่มผลตอบแทนในอัตราเร่ง
ถ้าเราเข้าใจมันก็ไม่เสี่ยงหรอกครับ
มีเครื่องมือหลายหลากที่ถ้าเราใช้เป็น มันจะมีประโยชน์มาก
อย่าให้คำนิยามมาจำกัดขอบข่าย ขอบเขตของเราดีกว่าครับ
เราไม่ได้ลงทุนเอาโล่ห์สักหน่อย แต่เราลงทุนเพื่อเอากำไรกันไม่ใช่หรือ ?

ณ วันนี้ SET ให้ผลตอบแทน -6.35%
พอร์ตผม +อยู่ราวๆ 32%
เป้าหมายปีนี้ สำหรับกำไรเท่านี้ผมก็โอเคแล้ว
ที่เหลือถ้ามันจะได้มา ก็ถือเป็นโบนัสให้กับตัวเองแล้วก็หุ้นส่วนก็แล้วกันครับ

แต่ถ้าจะให้ทนดูเงินหาย หรือนั่งดูกำไรหายไปเป็นขาดทุน
แบบนั้นผมถือว่าผมทำผิดเรื่องเดิมซ้ำสอง
ซึ่งผมคงรับไม่ได้แน่ๆ...

Tuesday, November 22, 2011

0032 : Value Visions 22-11-2011

วันนี้งานประจำผม โค-ตะ-ระ ยุ่งเลยครับ
ไม่มีเวลาเปิด App. Blue ดูตลาดเลย
กว่าจะเคลียร์งานเสร็จมาเปิดจอดูตลาดก็ปาเข้าไป 5 โมงกว่าแล้ว
เปิดมาดูเห็นหุ้นไทยเขียว หุ้นในพอร์ตก็เขียวก็โล่งใจเลย
"โชคตรูยังมี" เพราะถ้าหุ้นหลุดจุด Take Profit ที่วางไว้เมื่อวาน
แต่ผมไม่มีโอกาสทำอะไรผมคงเซ็งมากแน่ๆ

ตอนนี้ก็มีโครงการจะเปลี่ยนมือถือจาก BB
ที่ปัจจุบันใช้ได้แต่ดูราคาหุ้นอย่างเดียว ผ่าน App. Blue
ที่ราคาก็อัพเดทช้ามากมายด้วย - -"
มาเป็นมือถือรุ่นที่ใช้ Streaming ได้ครับ
ที่เล็งๆไว้ก็ตัว Samsung Galaxy Note ครับ
เนื่องจากจะได้เอามาอ่านนั่นนี่ด้วย
( คิดว่ามันน่าจะพอไหว ผมว่า Iphone 4S จอมันเล็กไปน่ะครับ )
แต่ก็คงรอราคามันตกลงมากว่านี้ก่อนครับ
เพราะว่ากันว่าใครซื้อของ Samsung ราคาเปิดนี่ช้ำใจทุกราย
ยิ่งกว่าติดดอยหุ้นเสียอีกนะครับ นึกจะลดราคาก็ลดทีหลายพัน
เพราะงั้นขอมี Margin of Safety ในการซื้อมือถือเครื่องใหม่หน่อยแล้วกันครับ ^ ^

มาถึงเรื่องของวันนี้กันต่อครับ
หุ้นในพอร์ตผมเด้งขึ้นมาจากเมื่อวาน แต่ไม่ทำ New High ของรอบ
ลักษณะนี้ไม่รู้จะเป็นสัญญาณอะไรไหม ?
เด้งแต่ไม่ทำ New High แบบนี้น่ะอันตรายตลอดเลย ( เจอมาหลายครั้งแล้ว T T )
ผมเรียกบ้านๆว่า เด้งแบบลูกปิงปองตกพื้น
เวลาลูกปิงปองตกพื้นมันจะเด้งขึ้นทุกครั้ง
แต่ก็จะเด้งต่ำลงทุนครั้งเช่นกัน
หุ้นที่จะลงจะมีลักษณะเป็นแบบนี้ครับ
แต่ยังไงผมก็ยึดจุด Trailing Stop ไว้เป็นเกราะป้องกันตัวครับ

เมื่อวานผมเดาว่าตลาดลงแน่ๆ
หน้าแหกเลยครับ ! แหะๆ
แต่แค่เดาไว้ในใจนะครับ
ยังไม่ได้ Action ซื้อ Put DW หรือ ขายหุ้นในพอร์ตอะไร
เนื่องจากมันยังไม่ลงมาถึงจุดที่ผมตั้งไว้ ก็เลยยังไม่ต้องออก Action ครับ

สิ่งที่เราคิดล่วงหน้าไว้ ถ้ามันไม่เกิดขึ้นก็ยึดแผนเดิมต่อไปครับ

การเอาตัวรอด ต้องปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงให้ได้
อย่าไปยืนหยัดสู้เสียทุกครั้ง ในสงครามคนประเภทนี้มักจะตายก่อนเสมอครับ
รักษาตัวรอดเป็นยอดดีนะครับ สำหรับตลาดหุ้น
แล้วเราก็ไม่ควรยึดติดกับความคิดของเรา ว่ามันจะต้องถูกทุกครั้งไป
เพราะมันต้องมีถูกบ้าง ผิดบ้างแหละครับ
ตลาดมันมีแต่ความผันผวน เอาอะไรไปจับก็ไม่อยู่หรอกครับ
เพราะงั้นความคิดของเรามันต้องมีผิดอยู่แล้ว
แต่ครั้งที่ผิดเราต้องเจ็บให้น้อยที่สุด
รีบปรับตัวกลับมาอยู่ฝ่ายถูกให้เร็วที่สุดและทำกำไรจากมันให้ได้ครับ


ขอนอกเรื่องการลงทุนไปเรื่องของการทำงานสักหน่อย
ในการทำงานให้ก้าวหน้า เวลาทำงานต้องไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
และอย่ากั๊กงานไว้ทำวันอื่น แบบประมาณว่ากลัววันพรุ่งนี้ไม่มีผลงาน
เลยกั๊กงานไว้เพื่อวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้อะไรงี้ คนคิดเล็กจะดองงาน กั๊กงาน
แบบที่ผมว่านะครับ แต่คนคิดใหญ่จะลุยทำให้สำเร็จ เสร็จไปก่อนเลย
แม้จะเข้าเป้าหมายไปแล้วก็จะลุยต่อเพื่อ Growth ครับ หรือไม่
หากงานเสร็จก่อนเวลา มีเวลาเหลือก็สามารถเอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้
สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้เรื่อยๆไม่มีหยุด
แต่คนที่ดองงาน กั๊กงานไว้ทั้งๆที่สามารถทำให้เสร็จตอนนี้เลยก็ได้
แต่ก็ไม่ทำ แบบนั้นก็เหมือนเรามีโอกาสเดินไปข้างหน้า
แต่เราดันเลือกที่จะย่ำเท้าอยู่กับที่ครับ...

ดึกแล้วตอนนี้คงต้องเข้านอนแล้วครับ
ชาร์จพลังไว้สู้ต่อไปในวันพรุ่งนี้ ^ ^

อ้อ ข่าวจาก ASP : SET50 มีหุ้นที่จะถูกคัดเลือกเข้า มี 3 บริษัทนะครับ
คือ BJC, SPALI, TPC โดยจะเข้ามาแทน SSI, KK, TTW ที่คาดว่าจะถูกคัดออกไป
มีหุ้นเก่าผมตั้ง 2 ตัวที่จะถูกคัดออก นั่นก็คือ KK & TTW ครับ
โชคดีที่ขายทิ้งทำกำไรไปนานแล้ว ^ ^

ขอให้ทุกท่านโชคดี และ "มีสติ" ในการลงทุนนะครับ

Monday, November 21, 2011

0031 : Value Visions 21-11-2011

วันนี้ทำงานทั้งวัน มีโอกาสได้เปิด Blue ดูตลาดนิดหน่อยครับ
ช่วงเช้าตลาดหยังออกอาการแข็งขืนกันอยู่ แต่ช่วงบ่ายนี่ไม่ไหว
ไหลรูดกันเลยทีเดียว คืนนี้ผมจึงต้องมาคิดแผนการลงทุนสำหรับวันพรุ่งนี้สักหน่อย
หันไปมองตลาดทางยุโป อเมริกา ก็แดงเถือกกันไป
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพรุ่งนี้พี่ไทยของเราแดงตามแน่ๆ
แต่จะเป็นเปิดโดดลง หรือเปิดแบบลบนิดหน่อยแล้วค่อยๆไหลก็ต้องว่ากันอีกที
แต่ผมเดาว่าแบบแรกนะ เพราะเหมือนทุกคนรับข่าวสารเข้าไป
ยุโรปแดง อเมกาเน่า พรุ่งนี้เช้าแย่งกันทิ้งหุ้นปล่อยของ
เปิดโดดแล้วอาจจะมีเด้งขึ้นบ้าง แล้วก็มาปิดแดงมั๊ง
ผมมองลงไว้นะช่วงนี้ เพราะเงิน USDTHB ก็วิ่งจาก 30.60 มา 31 บาทแล้ว
บวกกับการที่ฝรั่งขายติดกันหลักพันอัพอีก
แสดงว่าเค้าจนเงินกลับบ้าน สถานการณ์บ้านเค้าคงไม่ดีเท่าไหร่

พรุ่งนี้สิ่งที่ผมจะทำก็คือ
ผมตั้งจุด Trailing Stop ของหุ้นในพอร์ตไว้ที่ -5% จาก High รอบนี้
ณ จุดนี้พอร์ตผมจะยังมีกำไรอยู่ราวๆ 30% ซึ่งเป็นจุดที่ผมพอใจ

และแบ่งเงินมาซื้อ Put DW ค่าย 01
(ที่เค้าว่ากันว่าค่ายนี้ Market maker ไม่เล่นตุกติกกับเรา)
ของหุ้นนำตลาดไว้บางส่วน เพื่อหากว่าตลาดตกหนักๆ
หุ้นเหล่านี้จะต้องเป็นตัวแรกๆที่ถูกเทขาย
Put DW ก็จะทำให้เราได้กำไรจากส่วนนี้ครับ

การใช้ DW แทน Option ในการบริหารพอร์ตก็สะดวกไปอีกแบบนะครับ
เพราะมันมีสินค้าอ้างอิงเป็นหุ้นรายตัว ใช้ Hedge พอร์ตได้ตรงใจกว่านั่นเองครับ
อีกทั้งยังเทรดในกระดานเดียวกับหุ้น สภาพคล่องก็ดีกว่า (แล้วแต่เราเลือกเล่นตัวไหน)
ถ้าลองศึกษาไว้ก็ไม่เสียหลายครับ ใช้ Put DW ป้องกันความเสี่ยงในขาลง
แล้วใช้ Call DW เพิ่มอัตราเร่งของพอร์ตตอนทำกำไรในขาขึ้น
ไว้จะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ DW นะครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนกัน
เพราะผมเองก็เพิ่งศึกษา DW ได้สักพักเนี่ยแหละครับ
แหะๆ โทษทีครับ พูดถึงแผนการเทรดในวันพรุ่งนี้อยู่หยกๆ ออกทะเลไปเรื่อง DW ไปนั่น

สุดท้ายแล้ว... แผนการลงทุนของเราก็ต้องพึ่งความมีวินัยครับ
ทำตามแผนที่วางไว้ อย่าไปแปรปรวนตามตลาด
ตลาดจะคอยกระตุ้นความโลภและความกลัวของเราอยู่ตลอดเวลาครับ


พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาจะมาดูตลาดยุโรป อเมกา อีกรอบครับว่าอาการเป็นอย่างไร
แล้วก็อาจจะต้องปรับแผนการเทรดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นครับ


ช่วงนี้รู้สึกว่าเวลาในชีวิตไม่ค่อยพอเลยครับ
ทั้งงานประจำที่เยอะแยะมากมาย (งานเข้าเรื่อยๆ)
การศึกษาหาความรู้ด้านการลงทุนที่อยากเก่งไวไว
ไหนจะต้องแบ่งเวลามาการออกกำลังกาย เพื่อรักษาสุขภาพ
แล้วก็ต้องแบ่งเวลาให้กับการดูแลแฟน
ผมจึงต้องจัดการเวลาในชีวิตผมให้มีประโยชน์ที่สุดครับช่วงนี้
เพราะไม่ว่าจะเรื่องใด ล้วนแต่สำคัญกับชีวิตผมทั้งสิ้น

ขอให้ทุกท่านโชคดี และ "มีสติ" ในการลงทุนนะครับ

Sunday, November 20, 2011

0030 : ฝึกจิตใจในเกม Poker

ช่วงที่ผ่านมาผมได้เข้าไปอ่าน Blog ของนักลงทุนหลายท่าน
ซึ่งแต่ละท่านก็ได้กล่าวถึงเกม Poker ไว้ครับ
ว่าเป็นเกมที่เหมาะสำหรับใช้ในการฝึกฝน Trader
อันที่จริงผมว่ามันก็เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทนั่นแหละครับ

ก่อนอื่นต้องขอเล่าก่อนว่า ผมเล่น Poker ครั้งแรกน่าจะราวๆ ม.2
เป็นการเล่นกับเพื่อนๆในห้องเรียนเดียวกัน
ตอนนั้นก็นั่งดูเค้าเล่นก่อน พอจับทางได้ก็เล่นกับเค้าบ้าง
แต่สมัยก่อนก็ไม่รู้เรื่องอะไรมากหรอกครับ
เล่นกันตาละ บาทสองบาท มีจำกัดด้วยว่า Bet ไม่เกิน 5-10 บาท

มาเล่นอีกทีก็ตอน ม.ปลาย
เพื่อนในห้องที่เป็นเซียนไพ่จะเก่งมาก
เก่งในที่นี้หมายถึง Poker Face เก่งมาก
เดาไม่ออกเลยว่าไพ่ในมือมันดีหรือไม่ดี
แต่ตอนเราได้ไพ่ดี ก็โดนมันอ่านออกแทบทุกครั้ง
ก็เลยทำให้ตอนได้ไพ่ดี กำไรน้อย
ตอนได้ไไม่ดีก็หมอบ
แต่ถ้ามี Poker Face ได้ไพ่ไม่ดีก็อาจจะทำเงินได้ก็เป็นได้
( ด้วยการ Bet ขู่ หลอกให้ดูเหมือนว่าเราได้ไพ่ดี จนฝ่ายตรงข้ามป๊อดไปเอง )
แต่ส่วนใหญ่ถ้าไพ่แย่ก็หมอบไป
เกม Poker ก็เหมือนกับการลงทุนนั่นแหละครับ

เวลาคุณได้ไพ่ดี คุณทำกำไรได้มากแค่ไหน
พูดให้ง่ายกว่านั้นก็คือ เวลาคุณได้ไพ่ดี คุณล่อให้คนอื่น Bet สู้คุณได้มากแค่ไหน
ถ้าได้ไพ่ดี แต่ทำให้คนอื่นรู้ว่าคุณมีไพ่ดีมากๆ ใครจะไปอยากสู้กับคุณ
( เปรียบเหมือนกับการที่รีบ Take Profit เร็วเกินไป ซึ่งก็คือ ขายหมู นั่นเอง )
ได้ไพ่ดีๆมาทั้งที ต้องทำกำไรให้คุ้มสิ จริงไหมครับ
ล่อให้คน Bet , Let Profit Run ให้เต็มๆคำไปเลย

หรืออย่างตอนที่เราอาจจะได้ไพ่ไม่ดี
เราจะจัดการกับมันอย่างไร
จะเสี่ยงหลอกใช้ Poker Face หรือ
จะหมอบเพื่อรอเริ่มต้นในเกมถัดไป

สิ่งที่เกม Poker ช่วยในการฝึกจิตใจของนักลงทุนหรือ Trader ได้
ก็คือการฝึกความมีวินัยเนี่ยแหละครับ
คนที่เล่น Poker ไปสักระยะพอจับทางได้ จะมีระบบการทำกำไรของตัวเอง
ซึ่งในตาที่เราได้ไพ่ไม่เข้าท่า ไม่เข้าเกณฑ์ของระบบ ดูแล้วแพ้ชาวบ้านชัวร์ๆ
เราก็ต้องหมอบ เหมือนกับการ Stop Loss นั่นแหละครับ
หมอบก็เสียแต่ค่าต๋ง
แต่ถ้าทะลึ่งไปเกทับ Bet สู้กับชาวบ้านก็อาจจะทำให้ยิ่งเสียหนักเข้าไปใหญ่
การที่เราควบคุมตัวเองให้เข้าไปเล่นเฉพาะในเกมที่เราได้เปรียบเป็นสิ่งสำคัญมาก
เพราะเราจะทำกำไรได้จากเกมที่เราชนะ
เราก็เลือกเล่นแต่เกมที่เรามีโอกาสชนะก็พอ
เกมที่แพ้ก็อย่าดันทุรังที่จะเล่น

พูดง่าย... แต่ขอบอกว่าเวลาทำจริงๆยากมาก
ยิ่งในโลกของการลงทุน ที่เต็มไปด้วยความโลภและความกลัว

เพราะงั้นเกม Poker อาจช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อยครับ
ฝึกวินัยในการเล่น Poker ดู แล้ววินัยในการลงทุนท่านจะเพิ่มมากขึ้นไม่มากก็น้อย

อ้อ อีกอย่างก็คือการเล่น Poker ช่วยให้เราได้หัดบริหารหน้าตักด้วยครับ
ทำอย่างไรให้เราไม่หมดตัวออกมาจากเกม
สิ่งเหล่านี้เราต้องคิด ต้องวางแผนระหว่างเล่นครับ
ซึ่งมันเอามาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ดีเลย

ยังไงก็ลองฝึกเล่นดูได้นะครับ ถือเป็นการพัฒนาสกิลด้านวินัยของตัวเราอีกทางนึงด้วย
แต่แนะนำให้เล่นแบบ Online ก็พอนะครับ
อย่างใน BB iPhone หรือ Facebook ก็มีให้เล่นเยอะแยะ
อย่าไปเล่นเงินจริงเลย เด๋วผีพนันจะเข้าสิงเสียเปล่าๆ ^ ^

Sunday, October 30, 2011

0029 : Trading Diary

ในช่วงที่ตลาดผันผวน
จนทำให้จิตใจเราแกว่งไปกับการเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงของราคาหุ้นจนเกินไป
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ
เช่น ช่วงที่ผ่านมา วันนึงตลาดขึ้น 10-20 จุด
พอมาอีกวัน หุ้นตกอีก 30 จุด
สลับกันไปมาสัก 2 รอบ
ถ้าวันที่หุ้นขึ้น 20 จุด เรากลัวตกรถ เข้าไปซื้อ
แต่มันดันไม่ได้วิ่งไปแล้วไปเลย
อีกวันดันตก 30 จุด เราก็กลัวหุ้นมันรูดลง ปล่อยไปอีก
อีกวันดันขึ้นไปใหม่ 10 กว่าจุด แล้วเราเข้าไปรับอีก...

แบบนี้สภาพศพไม่สวยแน่ครับ
ผมเองมีช่วงที่มึนๆแบบนี้เหมือนกัน
เจอไปรอบนึงรู้ซึ้งเลย เงินหายไปหลายหมื่นบาท
ต้องเขกกะโหลกตัวเอง แล้วก็ออกมายืนนอกวง
สูดหายใจลึกๆ วางแผนการลงทุนใหม่

แล้วก็เลยไปซื้อสมุดมาเล่มนึงครับ
ก็เอามาทำ Trading Diary นั่นเองครับ
กะเอาไว้จดแผนการลงทุนที่เราวางไว้
แล้วก็จดสิ่งที่จิตใจเรา Action ต่อตลาด
จดลงไปให้หมดว่า ตลาดมาสภาพนี้ ใจเราคิดอะไรบ้าง
เราอยากทำอะไร แล้วมันขัดกับแผนการลงทุนที่เราวางไว้หรือไม่
ถ้ามันขัดกัน ก็ต้องมาวิเคราะห์ดูว่า หาก Action ออกไป
จะเกิดผลดีต่อพอร์ตหรือไม่ ถ้าไม่ก็ต้องสงบใจไว้

โดยการจดบันทึกการลงทุนนี้ นักลงทุนระดับโลกต่างก็ทำเช่นกันครับ
เคยได้ยินมาว่า จอร์จ โซรอส เองก็จดบันทึกการลงทุนไว้ตลอดเช่นกัน

ประโยชน์ของมันก็คือ ทำให้เราได้เรียบเรียงความคิดที่กระจัดกระจาย
ให้เป็นระเบียบ ส่งผลให้เราใช้ความคิดอย่างเป็นระบบมากขึ้นด้วยครับ
อีกอย่างก็คือ การจดแผนการลงทุนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้เรา
เฉออกนอกแผนได้ยากขึ้น ( อย่างน้อยก็มีหลักยึด )

บางทีเราอาจจะตั้งกฏไว้ว่า ก่อนจะซื้อ-ขายหุ้น ให้เปิดสมุดเล่มนี้อ่านทุกครั้ง
แบบนี้ก็ช่วยเตือนสติเราได้เป็นอย่างดีอีกทางหนึ่งครับ

ตลาดหุ้นที่ผันผวน เต็มไปด้วยความโลภและความกลัว
บางทีมันก็ทำให้ใจเรารวนเรเอาง่ายๆ
เราจึงต้องพยายามเอาชนะความโลภและความกลัวให้ได้
ถ้าทำได้ สุดท้ายแล้วเราจึงจะชนะตลาด...

ขอให้ทุกท่านโชคดี และ " มีสติ " ในการลงทุนครับ

Thursday, October 27, 2011

0028 : นี่คือสิ่งสำคัญ...

จั่วหัวไว้เหมือนจะร้องเพลงสิ่งสำคัญของ ดา เอนโดฟิน เลย
แต่วันนี้ผมไม่ได้จะมาร้องเพลงให้ฟังหรอกครับ
แต่จะมาพูดถึงสิ่งสำคัญที่สุด ที่ในชีวิตของเรานั้นจะเสียมันไปไม่ได้เด็ดขาด

เนื่องจากผมได้ดูรายการทางช่อง 5
ซึ่งสัมภาษณ์คุณต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ หรือเจ้าของ สาหร่าย เถ้าแก่น้อย ครับ
มีอยู่คำนึงเค้าให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่เราไม่ควรเสียไปนั่นก็คือ กำลังใจ นั่นเอง
หลายคนอาจท้อแท้ หุ้นก็ตก น้ำก็ท่วม (แถมยังโดนขโมยขึ้นบ้านช่วงน้ำท่วมอีก)
สิ่งเหล่านี้เราจะผ่านมันไปได้ หากเรามีกำลังใจในการก้าวต่อไป

กำลังใจเหมือนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อสู้
หากไม่มีกำลังใจ โอกาสชนะก็จะหายไป
หมายถึงเราถอดใจ ยอมแพ้ไปแล้ว

ในการเรียนรู้ก็เหมือนกันครับ
บางทีมันอาจจะยากแสนยาก ( เช่น เรื่องบัญชีอะไรงี้ )
จะพึ่งใจรักอย่างเดียวบางทีมันไม่พอ
แต่มันต้องมีแรงบันดาลใจ รวมถึงกำลังใจ
ที่ทำให้เราตั้งใจศึกษา เรียนรู้ด้วย มันถึงจะไปรอด

อีกอย่างนึงก็คือ คนเรามักหวังพึ่งกำลังใจจากผู้อื่น
หวังพึ่งมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะจากแฟน จากเพื่อน จากพ่อแม่
บางคนอกหัก รักคุด แฟนทิ้ง ถึงกับไม่มีกำลังใจทำอะไร
แบบนี้ก็เท่ากับว่า คุณแทบไม่เหลืออะไรเลย
ปล่อยให้คนที่ทิ้งไปนั้น เอาหัวใจ เอาชีวิตคุณติดไปด้วย ห่อเหี่ยวท้อแท้อยู่อย่างนั้น

อันที่จริงกำลังใจนั้นไม่จำเป็นต้องมาจากคนอื่นก็ได้ครับ
สร้างเองก็ได้ โดยการหาความฝัน หรือ แรงบันดาลใจ
เอามาสร้างเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิตเพื่อมุ่งสู่สิ่งนั้น
กำลังใจที่เกิดจากใจของเราเองนั้น จะแข็งแรง มั่นคงกว่ากำลังใจจากคนอื่นครับ

คนเราถ้าหาที่ชาร์จแบตฯตัวเองไม่เจอ
ก็ได้แต่ต้องปั่นไฟให้ตัวเองแหละครับ
ชีวิตมันก็แบบนี้แหละครับ
อยู่ที่ตัวเราเลือกว่าจะอยู่แบบไหน
อยู่แบบนักสู้ หรือ แบบไอ้ขี้แพ้...

Wednesday, October 26, 2011

0027 : โลกนี้ไม่มีอะไรง่าย

โลกนี้ไม่มีอะไรง่าย

อะไรที่ดูเหมือนง่ายๆ มักจะนำมาซึ่งคาวมลำบากในภายหลังเสมอ
แต่อะไรที่มันยากเย็นแสนเข็ญในตอนแรกๆ
หลังๆก็มักจะไม่ค่อยยุ่งยากอะไรสักเท่าไหร่
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการลงทุนหรือเรื่องอะไรในชีวิตเราก็ตาม

ก่อนที่เราจะเก็บเกี่ยวผล
ก็ต้องผ่านการลงทุนลงแรง(รวมถึงลงไอเดีย)กันก่อน
หลายคนก็ลำบากมาเยอะกว่าที่จะมาประสบความสำเร็จ
ดูอย่าง "เถ้าแก่น้อย" เอาก็ได้
(โปรโมตให้เค้าหน่อย ช่วงนี้หนัง Top Secret วัยรุ่นพันล้านกะลังลงโรง)

ผมเห็นหลายคนเข้าตลาดหุ้นมาแบบคิดจะจับเสือมือเปล่า
มาแบบกำมาแต่เงิน , บางคนเงินก็ยังไม่มีด้วยซ้ำไป
มาถึงก็มาไล่ถามคนนั้นคนนี้ว่าซื้อหุ้นตัวไหนดี
ไม่ก็แอบไปลอกหุ้นกันตามเวบบอร์ด
ได้ชื่อหุ้นมา เห็นเค้าว่าหุ้นดี อัพไซด์เยอะ ก็ซื้อเข้าพอร์ต
โดยไม่ได้มีการลงทุนลงแรงหาหุ้น วิเคราะห์หุ้นเองเลย

สถานการณ์หลังจากที่ซื้อหุ้นตามโพยเด็ด
จะเป็นอย่างไรต่อไปพอเดาออกใช่ไหมครับ
พอหุ้นวิ่งต่อไปได้อีกหน่อยก็เริ่มโดนแรงขายทำกำไร
จากการที่พอหุ้นเด็ดกระจายออกไปราคาก็ค่อยๆวิ่งขึ้นมา
คนที่ซื้อไว้คนแรกๆ ก็กำไรมากโข ขายทำกำไรนิ่มๆ
พวก "มักง่าย" เพิ่งเข้าไปรับของตามโพยเด็ดก็ติดค้างอยู่กลางดอยตามวัฏจักรต่อไป

ในชีวิตเราส่วนใหญ่ สิ่งดีๆ นั่นไม่ค่อยได้มาง่ายๆหรอกครับ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิตเรายากๆนะครับ
อย่างเรื่องการเรียน ทำงาน ธุรกิจ หรือ การลงทุน
คงไม่มีอะไรง่ายแน่ๆ หากจะหวังผลที่ดีเลิศอย่างน้อยก็ต้องใส่ใจและให้เวลากับมัน
เพราะถ้าโลกนี้ง่ายเกินไป ก็คงไม่มีคนที่ผิดหวังหรอกครับ แต่นี่ไม่ใช่!
พระเจ้าจึงสร้างอุปสรรค บททดสอบ ขึ้นมา
เพื่อวัดว่าใครสมควรที่จะได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จ...

เพราะมี "การลงทุน" เกิดขึ้น
จึงเกิด "ผลตอบแทน"
แต่ถ้าไม่ยอมลงทุนลงแรงอะไร
ผลตอบแทนจะมาจากไหน จริงไหมครับ ?
ชีวิตเราจะหวัง Leverage อย่างเดียวคงไม่ไหวมั๊งครับ
หายใจผ่านจมูกคนอื่นมันไม่คล่องหรอกครับ
หาทางหายใจด้วยจมูกของเราเอง มันดีกว่ากันเย๊อะ ^ ^

Sunday, October 9, 2011

0026 : เซฟกำไรให้ไกลขาดทุน

เซฟกำไรให้ไกลขาดทุน

ช่วงที่หุ้นค่อยๆซึม แบบราคาปรับตัวลงทีละนิด
บางวันก็เด้งขึ้นมาหน่อย วันถัดไปก็ลงอีกนิด
หุ้นลงแล้วเด้ง แบบไม่ผ่านไฮเดิม
ช่วงเวลาแบบนี้เป็นช่วงที่ผมอึดอัดมาก
เพราะมันเป็นช่วงที่ใจเราต้องต่อสู้ระหว่างความโลภกับความกลัว
ใจหนึ่งก็อยากได้ผลตอบแทนเพิ่ม
(เพราะหุ้นยังไม่ถึง Target Price ที่ตั้งไว้ในใจ)
อีกใจหนึ่งก็กลัวว่ามันจะซึมลงเรื่อยๆ กำไรหายวันละหน่อย
ก่อนที่จะโดนชักโครกทีเดียว(ตกแบบรูดร่วงกราว)

ผมเองก็เจอมากะตัว พอร์ตของผมตอนแรก
กำไรราวๆ 60% เจอเหตการณ์แบบนี้เข้าไป
กำไรหายวันละ 1% บ้าง บางวันก็ 0.5%
จนกระทั่งเหลือ 55% เอาไปเอามาลงหนักขึ้นทีละหน่อย
เหลือ 40% จนกระทั่งผมเริ่มรู้ตัวว่าเรากำลังผืนตลาดอยู่
ก็เลย Take Profit ออกมาที่ราวๆ 30กว่า %
ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ผมตั้งเป้าหมายเอาไว้

เหตุการณ์แบบนี้ทำให้ผมรู้ซึ้งว่า
หากมีกำไร หรือได้กำไรเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละปีแล้ว
ก็อย่าโลภมาก หัดชักกำไรออกจากตลาดให้เป็นด้วย
เพราะหากเราปล่อยกำไรของเราอยู่ในตลาด
มันก็ยังไม่ใช่กำไรของเรา และตลาดจะมาทวงคืนเมื่อไหร่ก็ได้

ดังนั้นผมจึงต้อง คิดใหม่ ทำใหม่ (แหม พูดซะอย่างกะเป็นนักการเมือง)
เพื่อไม่ให้กำไรหดหายไปกะสายลม การลงทุนของผมต่อจากนี้ไป
ก็ต้องหัดมีจุดล็อคกำไร Take Profit ออกจากตลาดด้วย
จุดนี้ก็หมายถึง การที่เราตั้งเป้าไว้ว่าหากราคาหุ้นตกจากจุด High
กี่ % เราถึงจะขายทำกำไรออกมา ส่วนจะกี่ % นั้นก็แล้วแต่ แต่ละบุคคลครับ

ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเราตั้งเป้าในแต่ละปีว่าจะทำกำไรให้ได้ 30%
(ช่วงที่พอร์ตเล็กๆ ไม่ถือว่ามากเกินไปนะครับ แต่ถ้าพอร์ตใหญ่ก็อีกเรื่องนึง)
แล้วปีนี้พอร์ตดันมาโต 40-50% แล้ว แต่ก็เหมือนไปไม่ถึงฝั่ง
ยังไม่ทันจะปลายปี อาจจะเกิดวิกฤติหรือต่างประเทศ ยุโรป อเมริกา ขาดสภาพคล่อง
ฝรั่งเทขายหุ้นไทยอย่างหนัก (เอ๊ะ เนื้อเรื่องคุ้นๆ)
พอร์ตเราจากที่กำไร 40-50% ก็ค่อยๆหดลงๆ วันละ 2-3%
เด้งบ้างแดงบ้างสลับกันไปทุกวัน แต่ SET Index เตี้ยลงเรื่อยๆ
ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น เราควรใช้จุดล็อคกำไร
Take Profit หนีเอาตัวรอดออกจากตลาดที่กำลังสับสน
เพื่อรักษาตัวรอด ไม่ให้พอร์ตจมน้ำ กำไรที่สร้างมาต้องโดนเรียกคืนไป

ช่วงที่ตลาดกำลังสับสนแต่ไหลลงเรื่อยๆนั้น
อย่าเพิ่งไปโลภ อย่าเพิ่งคิดเรื่องเอากำไร
ให้หนีไว้ก่อน ไหนๆคุณก็กำไรแล้ว ชักใส่กระเป๋าไว้ก่อนดีที่สุด
ดีกว่าต้องมาปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุนจนชอกช้ำระกำทรวง...

อันที่จริงจุดนี้ก็คล้ายๆกับจุด Cut Loss นั่นแหละครับ
เพียงแต่ Cut Loss นั่นเป็นจุดป้องกันการขาดทุน
( หมายถึงกำไรยังไม่เกิด แต่ดันจะเข้าเนื้อเราซะงั้น )
เพราะงั้นสามารถประยุต์ใช้กับการ Cut Loss ได้ด้วย
เช่นอาจจะตั้งไว้ว่า หากหุ้นลงกี่ % จากราคาทุนที่เรารับมา
เราจะปล่อยหุ้นทิ้งไปก่อน เพื่อออกมารอดูสถานการณ์
อย่างคุณฮง hongvalue ก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
ตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 8% ซึ่งจุดนี้ก็แล้วแต่บุคคลเช่นกัน
บางคนอาจจะตั้ง 5% บางคนอาจจะ 10
หรือบางคนอาจจะ 15 , 20% (แต่ผมว่ามากเกินไปนะ 15 , 20% เนี่ย)

ที่สำคัญ ก็คือ เราควรจะ Set จุดนี้ไว้ในแผนการลงทุนของเรา
เพราะมันจะช่วยให้เรารอดชีวิตจากเหตุการณ์ร้ายๆ ที่อาจร้ายแรงกว่าที่เราคิดได้...

0025 : Value Visions 26-09-2011

วันนี้เป็นวันที่ตลาดแดงเดือนติดต่อกันเป็นวันที่ 3 แล้ว
หุ้นหลายตัวเริ่มราคาลดลงจนอัตราเงินปันผลแตะ 10% บ้างแล้ว
แต่ตลาดในสภาพนี้เรายังไม่ควรเข้าไปยุ่ง
แม้ตลาดจะเด้งจาก -80จุด ขึ้นมาเหลือ -50จุด และ
ยอดฝรั่งจากตอนกลางวันที่ขายสุทธิ สี่พันกว่าล้าน
แต่ตอนปิดตลาดช่วงเย็นเหลือยอดแค่ขายสุทธิ สามพันกว่าล้าน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเค้าจะกลับมาซื้อหนิ

ตอนนี้พอร์ตผมก็ยังโล่งอยู่ ไม่ได้รีบร้อนเข้าเก็บหุ้นแต่อย่างใด
เพราะผมตั้งใจว่า หากหุ้นยังไม่ถึงจุดกลับตัวผมจะเป็นแค่ผู้ชม
เมื่อไหร่ที่หุ้นถึงจุดกลับตัว แล้วเปลี่ยนเทรนด์เป็นขาขึ้น
ผมจะเริ่มเก็บหุ้น แม้จะไม่ได้หุ้นในราคาถูกสุด
แต่ถ้าเป็นราคาที่มี MOS 30 - 50% ก็ยังถือว่าเราได้เก็บของถูกอยู่ดี

บางทีเราอาจจะใช้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล
ในการดูความถูกแพงของหุ้นก็ได้นะครับ
อย่างเมื่อตอนปี 2008 หุ้นใหญ่ หรือ หุ้นดีๆหลายตัว
ให้ผลตอบแทน 10-15% up เสียส่วนใหญ่
ส่วนหุ้นระดับพระรอง ก็มักให้ผลตอบแทนราวๆ 20% up

ในตอนนี้หุ้นตัวใหญ่หลายตัวแม้ราคาจะปรับตัวลงมา
แต่ก็ยังถือว่าให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลน้อยอยู่ดี
ส่วนหุ้นตัวเล็กก็ยังไม่ได้ให้ Div. Yield สะใจเท่าไหร่นัก
อย่าง CSL Div. Yield ตอนนี้คิดเป็น % ตกราวๆ 10% เท่านั้นเอง

หากเราเอาไปเทียบกับ Subprime จะเห็นได้ว่า
โอกาสที่หุ้นจะถูกลงก็ยังมีอยู่อีกมาก (ในสภาวะที่ฝรั่งยังไม่หยุดขาย)

ภาวะตลาดที่ผันผวนแบบนี้
หลายคนสติแตกไป เที่ยววิ่งไล่ตามหาผู้ที่จะพยากรณ์ตลาด
ซึ่งผมมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
และควรเอาเวลาไปทำอย่างอื่นจะเป็นประโยชน์กว่า

มีคำที่นักลงทุนระดับเซียนกล่าวไว้ว่า
" การคาดเดาตลาดเป็นเรื่องไร้สาระ "
เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าพรุ่งนี้ตลาดมันจะเป็นยังไง
จะขึ้น จะลง จะขึ้นแล้วโดนตบลง จะเปิดลบปิดบวก
ไม่มีใครเดาได้หรอกครับ ถึงคุณจะเดาถูกวันนี้ พรุ่งนี้ก็เดาผิดได้

สิ่งที่ควรทำก็คือ การเร่งศึกษาหาข้อมูลบริษัทที่จะลงทุนให้มากที่สุด
วัดมูลค่า , วางแผนการลงทุน เพื่อคว้าโอกาสในวิกฤติ
ในช่วงที่ตลาดมันลงไปสุดๆแล้ว
คุณต้องใช้จังหวะที่ของถูกเต็มตลาดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต
เพื่อเตรียมเกาะไปกับ Cycle ขาขึ้นอีกครั้ง...

ในภาวะตลาดที่ผันผวน เราต้องเป็นผู้เลือก ว่า Mr. Market เป็นอะไรกับเรา
เป็นผู้รับใช้เรา หรือเราตกเป็นเหยื่อของ Mr. Market
อยู่ที่ตัวเรานั่นแหละครับ ว่าเราจะเลือกเป็นอะไร...

Friday, September 23, 2011

0024 : กลยุทธ์การออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

กลยุทธ์การออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

สำหรับพนักงานออฟฟิศ ที่หาเลี้ยงชีพด้วยการกินเงินเดือนอย่างคุณๆผมๆ
แต่ละเดือนก็ต้องถูกหักเงินเดือนเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ที่นายจ้างจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้เราเก็บออมเงินไว้ใช้ในยามชีวิตหลังเกษียณ
โดยเราต้องหักเงินเดือนเพื่อออมเงินทุกๆเดือนและ
นายจ้างก็จะสมทบเงินให้เราอีกจำนวนหนึ่ง
แล้วก็ให้เหล่า บลจ. นำเงินกองนี้ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน
( ส่วนใหญ่จะสามารถเลือกแผนการลงทุนได้ด้วย
แบ่งเป็น แผนเสี่ยงมาก เสี่ยงปานกลาง เสี่ยงน้อย ประมาณนั้น )
ผลตอบแทนก็ว่ากันไปตามแผนการลงทุน และ ฝีมือของผู้จัดการกองทุน

แต่มีอีกอย่างนึงที่เราควรให้ความสำคัญก็คือ
เงื่อนไขในเงินออมส่วนที่นายจ้างจะสมทบให้

ซึ่งตรงนี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะแบ่งเป็น 2 แบบ
คือ 1. นายจ้างสมทบให้เท่ากับที่เราหักออม เช่น
สมมุติเงินเดือนเรา 20,000 บาท แต่ละเดือนเราหักไว้ 3%
ก็เท่ากับ 600 บาท ตรงนี้นายจ้างออมสมทบก็จะให้เราอีก 600 บาท
หรือหากเราเลือกออมเดือนละ 10% ตกเดือนละ 2,000 บาท
นายจ้างก็ต้องจ่ายสมทบเงินตรงนี้ให้เราเดือนละ 2,000 บาท เช่นกัน
จะเห็นได้ว่าเท่ากับว่าในแต่ละเดือนเราได้เงินฟรีๆจากนายจ้างของเรา
เพียงแค่เราออมเงินให้มากๆเท่านั้นเอง
หากองค์กรใดที่ใช้วิธีนี้ในการจ่ายสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เราก็น่าจะหักออมเงินให้มากที่สุด
(ส่วนใหญ่หักออมเข้ากองทุนสำรองฯได้สูงสุดราวๆ 10 - 15% ของเงินเดือน)
จะทำให้เราได้ประโยชน์จากเงินออมตรงนี้มากที่สุด


2. ส่วนอีกแบบนึงก็คือ การที่ไม่ว่าเราจะหักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่าไหร่ก็ตาม
นายจ้างก็จะสมทบให้ในอัตราที่สูงสุดที่กำหนด เช่น
เงินเดือน 20,000 บาท แล้วเราเลือกหักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดือนละ 3%
เท่ากับ 600 บาท แต่นายจ้างจะต้องสมทบให้เราเท่ากับอัตราสูงสุด
สมมุติว่าเท่ากับ 15% ตรงนี้แต่ละเดือนนายจ้างจะต้องสมทบให้เราเดือนละ
3,000 บาทเลยทีเดียว เท่ากับว่าเราจ่าย 600 ได้อีก 3,000 ฟรีๆ
ถ้าองค์กรไหนใช้วิธีนี้ในการสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ก็จะอยู่ที่เราแล้วล่ะว่า เราจะเลือกหักออมไว้ในกองทุนอย่างไร

โดยผมขอแยกเป็น 2 แบบคือ หากเราคิดว่าเรามีวินัยและมีฝีมือในการลงทุนอยู่บ้าง
ก็ให้เราเลือกหักในส่วนของเราใน Rate ต่ำสุด ต่ำสุด 3% ก็หัก 3%
ต่ำสุด 5% ก็หัก 5% แล้วให้เรานำเงินส่วนที่เหลือจากส่วนต่ำสุดที่หัก
มาลงทุนด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าเรามีความรู้ด้านการลงทุนพอประมาณ
เราน่าจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว
ที่สำคัญคือเราต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และมีวินัยในการออมเงินให้มากๆ
ไม่งั้นแทนที่จะเอาเงินส่วนนั้นออกมาลงทุนเอง กลายเป็นว่าเอาไปใช้จ่าย
อย่างอื่นให้หายไปกับสายลม แบบนั้นบั้นปลายชีวิตจะเหลือเงินน้อยกว่าอีกทางเสียอีก

ส่วนทางเลือกอีกทางนึง สำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจว่าจะมีวินัยมากพอ
หรือไม่ค่อยมีเวลาใส่ใจกับการลงทุนเองสักเท่าไหร่
ก็ควรหักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราสูงสุดไปเลยครับ
แบบนั้นพอเกษียณมาเงินออมจะได้ก้อนโตเลยทีเดียว
ซึ่งถ้าหากคำนวนไว้ดีๆ ก็สามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสุขสบายได้เช่นกัน


ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การออมเงิน เป็นสิ่งที่ดีครับ
แต่บางทีเราก็ต้องใส่ใจกับรายละเอียดปลีกย่อยของการบริหารเงินบ้าง
ซึ่งหลายๆครั้งมันก็ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้เราได้ง่ายๆครับ ^ ^

Thursday, September 22, 2011

0023 : Value Visions 22-09-2011

วันนี้ SET Index ลดลง 39 จุด โหดมากมาย
เหตุการณ์แบบนี้ฟังเค้าเล่าให้ฟังมันไม่อิน
มาอินจริงๆตอนที่เจอกับตัววันนี้เนี่ยแหละครับ
พอร์ตของผมจากกำไรช่วงพีคๆของปีนี้เกือบ 60%
ตอนนี้ลดลงเหลือกำไรเพียงแค่ 40% เท่านั้น เห้อ

ตอนแรกที่ผมวางแผนไว้ก็คือเทคกำไรจาก BLA (หุ้นตัวหลักของพอร์ต)
ณ ราคา 57บาท แล้วถือเงินสดรอ แต่ทะลึ่งดันไป SAP
กลับมาซะได้ แม้ต้นทุนจะลดไปราวๆ 3บาทต่อหุ้น
แต่พอมาเจอเหตุการณ์นี้เข้าไปก็เหงื่อตกเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าพื้นฐานของกิจการไม่ได้เปลี่ยนแปลง
แต่ว่าการที่เราวางแผนแล้วไม่ทำตามแผนนั้น
ทำให้เราเสียหายก็เลยรู้สึกแย่กับตัวเองนิดหน่อยครับ
แต่ทำยังไงได้ล่ะ ก็ต้องยืดอกยอมรับกันไป

ในช่วงเวลาแบบนี้ผมรู้ซึ้งเลยว่า ที่ Buffett , Soros หรือเซียนหลายๆคน
บอกว่า การรักษาตัวรอดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสุดๆจริงๆ
บางคนอาจจะบอกว่าหากลงทุนระยะยาว หากเราลงทุนกับ Great Company
และพื้นฐานกิจการไม่เปลี่ยน เราไม่จำเป็นต้องหนีไปถือเงินสดก็ได้
แต่ปัญหาก็คือเราแม่นพอรึเปล่า ว่าบริษัทที่เราถือหุ้นเป็น Great Company

อันที่จริงเค้าลางของตลาดขาลง มันเริ่มชัดมาตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว
( ช่วงที่ผมเขียนบันทึกบ่อยๆก็ราวๆวันที่ 20กว่า สิงหาฯ )
นั่นหมายถึงสถานการณ์ข้างหน้าไม่ชัดเจนว่าจะไปต่อได้
ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการหนีออกมายืนดูอยู่นอกวง
แต่ไอ่เราดันไม่เชื่อความคิดของตัวเอง ดันทะลึ่งเข้าไปเล่นอีกรอบ
ก็ต้องเจ็บกันไป...

ต่อจากนี้ไปผมคงให้ความสำคัญกับการเอาตัวรอดเป็นอันดับแรก

อีกอย่างของความผิดพลาดที่มันส่งผลมาถึงในวันนี้ก็คือ
การยอมซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้น ในช่วงที่ภาวะตลาดกำลังร้อนแรง
หุ้นในพอร์ตบางตัวผมที่ผมซื้อเพิ่มเข้ามาในช่วงตลาด 1,000 - 1,100 จุด
บางตัวผมก็มองว่า มันยังมี Upside จากผลประกอบการที่คาดในปี 2555
แต่ผมลืมคำนึงถึง downside ไปเสียสนิทเลย
การซื้อหุ้นแบบ MOS น้อยๆแบบนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อตลาดขาลง
และตลาดขาลงก็มาให้บทเรียนแก่ผมในทันใด ฮ่าๆ T T

การลงทุนเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยจริงๆครับ
ที่เราทำผลตอบแทนได้ดี อย่าไปคิดว่าเราแน่ เราเจ๋งแล้ว
มันอาจจะเป็นแค่โชคดีก็ได้...

ก็คงต้องเดินหน้ากันต่อไปครับ
ที่สำคัญคือ เราต้องไม่หยุดเรียนรู้ และอย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์

Wednesday, September 21, 2011

0022 : เราเลี้ยงพอร์ต แล้วพอร์ตจึงเลี้ยงเรา

เรื่องน่าอึดอัดใจอย่างนึง ของนักลงทุนที่พอร์ตยังเล็กกระจิ๋วหลิว ก็คือ
เมื่อไหร่พอร์ตเราจะโตจนปันผลเลี้ยงเราได้สักทีว้า ?!
ยิ่งเหล่านักลงทุนที่ทำงานออฟฟิศผู้ไขว่คว้าหาคำว่าอิสระแล้วล่ะก็
ยิ่งทรมาณจิตใจเข้าไปใหญ่ (เหมือนรอคนมาปล่อยตัวออกจากกรง)


อันที่จริงนั้น ในช่วงแรกของการลงทุน ช่วงที่พอร์ตเรายังกระจ้อยร้อยอยู่นั้น
เป็นหน้าที่ของเรา ที่เราจะต้องเป็นผู้ดูแล ประคบประหงม พอร์ต
พูดง่ายๆก็คือ เราต้องเป็นคนเลี้ยงพอร์ต ก่อน
เลี้ยงจนมันโต พอพอร์ตเราโต เวลานั้นก็เป็นพอร์ตล่ะครับที่จะเลี้ยงเรา


ว่าแต่พอร์ตของเรานี่กินอะไรเป็นอาหารล่ะ เลี้ยงมันด้วยอะไรดี
คงไม่ใช่อาหารสัตว์ของ CPF หรอกนะ หุหุ


สิ่งที่เราใช้เลี้ยงพอร์ต มี 2 อย่างครับ
1. เงิน
2. ความรู้

1) เลี้ยงพอร์ตด้วย " เงิน "
ไม่ต้องสงสัยเลยครับ พอร์ตยังเล็กอยู่ ทำยังไงให้โต ก็อัดเงินเข้าไปสิ
มีเงินเย็นๆเมื่อไหร่ก็ใส่เข้ามา พอร์ตจะได้โตไวไว แต่ถ้าเลี้ยงพอร์ตด้วยเงิน
อย่างเดียวระวังเสียพอร์ตเอาได้นะครับ เพราะการเลี้ยงพอร์ต เราต้องเลี้ยง
พอร์ตด้วย " ความรู้ " ด้วย

2) เลี้ยงพอร์ตด้วย " ความรู้ "
การที่พอร์ตเราโต โดยที่เราไม่มีความรู้พอที่จะบริหารจัดการพอร์ตได้
สักวันพอร์ตเราก็จะกลับไปเล็กลงเท่ากับความรู้ที่เรามี และหากเราหาเงินมา
ใส่เข้าไปให้มันโตขึ้น โดยไม่หาความรู้มาบริหารพอร์ต ก็กลายเป็นว่าเราเป็น
คนทืงานเลี้ยงมันซะแล้ว ความรู้เป็นสิ่งสำคัญครับ พอร์ตเล็ก แต่เรามีความรู้
ก็สามารถบริหารพอร์ตให้โตได้ ตรงข้ามกับพอร์ตโต แต่ความรู้ไม่ค่อยจะมี
สักวันพอร์ตก็ต้องหดเล็กลง เพราะงั้นอย่าลืมหาความรู้ไว้เลี้ยงพอร์ตนะครับ


จงใช้ทั้งความรู้และเงินออม เลี้ยงจนพอร์ตโต แล้ววันนั้น พอร์ตจะเลี้ยงเราเอง...


แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรเผลอนำมาเลี้ยงพอร์ต นั่นก็คือ " อารมณ์ "
อารมณ์ โลภ , กลัว กันออกไปให้ไกลพอร์ตเราให้มากที่สุดเลยครับ ^ ^

Monday, September 19, 2011

0021 : มนุษย์เป็นสัตว์ช่างเปรียบ

มนุษย์เป็นสัตว์ช่างเปรียบ

นอกจาก "ความโลภ" และ "ความกลัว" แล้ว
ในหลายๆครั้งนักลงทุนเรายังโดน "ความอิจฉา" เข้าเล่นงานด้วย
( อิจฉา อย่างเดียวนะครับ ไม่ได้ ริษยา ด้วย , ถ้า ริษยา ด้วย คือ
ประมาณอารมณ์นางร้ายละครไทย คือ ขัดขวางปองร้ายด้วย
แต่อิจฉาก็คืออยากได้อยากมีอยากเป็นแบบเค้า เท่านั้น )

ผมเคยอ่านเจอบทความ(ไม่แน่ใจว่าของพี่โจ๊ก สุมาอี้ รึเปล่านะครับ)
ประมาณว่า หากมีบริษัทยื่นเงินเดือนให้เรา 100,000 บาท แต่เพื่อน
ร่วมสถาบันเดียวกับเราได้เงินเดือน 120,000 บาท กับอีกบริษัทให้
เรา 80,000 บาท ส่วนเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกับเราได้ 50,000 บาท
คนเรามีแนวโน้มที่จะเลือกงานหลัง...

ทำไมถึงเลือกงานหลังล่ะ ( แต่เป็นผมเลือกงานแรกนะ เพื่อนได้เท่าไหร่ชั่งมัน )
นั่นเป็นเพราะความช่างเอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นของมนุษย์นั่นเอง

ในการลงทุนก็เช่นกัน บางทีเราก็แอบเอาผลตอบแทนของเรา
กำไรของเรา มูลค่าพอร์ตของเรา ไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆเช่นกัน

ซึ่งบางครั้งมันก็ดันมีผลกับจิตใจของเรา ทำให้การตัดสินใจของเราผิดเพี้ยนไป
การที่เราเอาพอร์ตไปเทียบกับคนที่พอร์ตโตกว่าเรา
หรือเอาผลตอบแทนไปเทียบกับคนที่ได้กำไรเยอะกว่าเรา
มันจะทำให้ใจเรานั้นอยากให้พอร์ตโตๆแบบเค้า อยากได้กำไรเยอะๆแบบเค้า
ซึ่งอาจจะทำให้เราเร่งปรับพอร์ต จนทำให้พอร์ตเสียหายได้

การที่เราเอาพอร์ต เอาผลตอบแทนไปผูกกับชาวบ้าน
จะทำให้ความคิดของเราไม่มีอิสระ...
เพราะงั้นการตัดสินใจย่อมมีโอกาสพลาดได้สูงกว่าปกติครับ

บางครั้งผมก็เป็นเหมือนกัน
เห็นเค้าพอร์ตโตๆ เราก็อยากให้พอร์ตโตไวไวทันเค้าบ้าง
บางทีก็คิดจะ Switch ปรับพอร์ตให้พอร์ตมันโตไวไว
โดยที่ถ้าหากทำด้วยความใจร้อน ไม่แม่นพอ
ก็จะกลายเป็นขายหมูตัวเดิม มาซื้อควายซะส่วนใหญ่

บางทีเราก็ลืมมองไปว่า ที่เค้าได้กำไรเยอะกว่าเรา
อาจจะเป็นเพราะมันเป็นจังหวะของหุ้นที่เค้าถนัดพอดี
แล้วจังหวะของหุ้นเราก็ยังมาไม่ถึง แต่พอเราเอาตัวเราไปเปรียบ
เราก็อยากจะปรับพอร์ตไปถือหุ้นตัวอื่น(ที่เราคิดว่าจะขึ้น)
ประมาณว่าเฉดหัวตัวเก่าทิ้ง หาตัวใหม่ว่างั้น

หรือบางทีเห็นคนพอร์ตโตๆ เราก็อยากพอร์ตโตไวไวให้ทันเค้าบาง
โดยที่เราลืมมองไปว่า ต้นทุนเรากะเค้าอาจจะต่างกัน
ต้นเงินเค้าอาจจะเยอะกว่าเรา หรือเค้าอาจจะลงทุนมานานกว่าเรา
ไอ่ความ "อยากให้พอร์ตโตแบบเค้าบ้าง" นี่แหละครับ
ที่อาจเป็นตัวการที่ทำให้เรารีบเร่งตัดสินใจซื้อหุ้น
หรือ "ทำอะไรสักอย่าง" กับพอร์ต
(ทั้งๆที่ช่วงเวลานั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องทำอะไร)

แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นนะครับ
เปรียบได้ แต่เราต้องรู้ทันใจเราด้วย
เปรียบในเชิงที่ดีๆ...
เปรียบเทียบว่าเค้าเรียนรู้มาขนาดไหน เราได้เรียนรู้แบบเค้าไหม
เปรียบเทียบว่าเค้าตั้งใจเก็บออมเงินอย่างไร เราทำได้เท่าเค้าไหม

ที่ควรเปรียบก็คือ เราควรเปรียบเทียบตัวเรากับตลาดครับ
ถ้าเราทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดก็ถือว่าฝีมือการลงทุนเราโอเค
แต่ถ้าแพ้ตลาด ก็ต้องย้อนกลับมาดูตัวเราว่าเราผิดตรงไหน จะแก้ยังไง...


บางทีศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของการลงทุนไม่ใช่ใครที่ไหน
ไม่ใช่ฝรั่งหัวทอง ฝรั่งหัวดำ กองทุนฯ แต่มันคือตัวเราเองนี่แหละครับ
เพราะงั้น การรู้ทันตัวเองให้มากๆ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราควรให้ความสำคัญครับ !

Thursday, September 8, 2011

0020 : วิธีเริ่มต้นออมเงิน

ช่วงที่ผ่านมาหลายคนได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง
จากการที่รัฐบาลยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน
เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน
ผมไม่รู้ว่าการแก้ปัญหาแบบนี้มันจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่
แต่เท่าที่รู้สึกได้ ค่าใช้จ่ายของหลายๆคนก็เบาลงหน่อยนึง
ดังนั้นผมจึงคิดว่า นี่อาจเป็นนิมิตรหมายอันดีที่เราจะเริ่มต้นออมเงิน
โดยเฉพาะหลายๆคนที่ยังไม่เคยออมเงินได้กะเค้าบ้างเลย
ใช้เงินเดือนชนเดือนมาตลอด ตัวเลขในสมุดบัญชีเป็นแต่เลข 2 หลัก
( ตอนผมทำงานใหม่ๆก็เป็นนะ เงินในบัญชีไม่เหลือเลย )
เมื่อเงินไม่เหลือ ทำให้ไม่สามารถออมเงินได้แบบชาวบ้าน...
โดยโอกาสนี้เราควรจะเริ่มออมเงินจากในส่วนของค่าใช้จ่ายที่ลดลงไป
อย่างน้อยก็ในค่าใช้จ่ายของการเติมน้ำมัน
อย่างบางคนอาจจะเติม 91 ปกติรวมๆแล้วค่าน้ำมันอาจจะเดือนละ 5,000 บาท
พอรัฐบาลประกาศลดราคาน้ำมัน ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันลดลง
จาก 5,000 บาท จะเหลือเพียงแค่ราวๆ 4,200 บาทเท่านั้น
ทีนี้เราก็เอา 800 บาทมาออมไว้ แล้วก็ต้องต่อเนื่องทำจนเป็นนิสัยครับ

จากนั้นก็ให้ลองหัดวางแผนการใช้เงินในแต่ละเดือนดูครับ
อย่างน้อยก็ควรเริ่มทำบัญชีครัวเรือน เพื่อจะได้นำมาดูย้อนว่าแต่ละเดือน
เราใช้เงินไปกับอะไรบ้าง การมองย้อนไปจะทำให้เราเห็นภาพการใช้เงิน
ของตัวเราเองชัดขึ้นครับ ว่าบางอย่างเราก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายด้วยอารมณ์
หรือบางอย่างมันก็เป็นการใช้จ่ายแบบสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
จากนั้นพอทำจนเป็นนิสัยได้ติดต่อ ก็เอาประติการใช้เงินเรามาวิเคราะห์
ว่าส่วนไหนเราตัดทอนได้บ้าง ส่วนในที่เรามักจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเป็นประจำ
แล้วเราก็เอาเงินส่วนที่เราลดค่าใช้จ่ายตรงนั้นได้มาออมเงินอีกทีครับ
ผ่านไปครั้งปี หนึ่งปี สองปี เงินเล็กๆน้อยๆในแต่ละเดือนเหล่านั้น
จะเติบโตเป็นเงินก้อนใหญ่ให้คุณเป็นอย่างไม่คาดคิดเลยแหละ...


แต่จริงๆแล้วการออมเงินควรจะออมก่อนจ่ายนะครับ
แบบวิธี " หักดิบ " คือ เมื่อรับรายได้มาก็ตัดออมเลย
แต่สำหรับบางคนเข้าใจว่า อาจจะใช้เงินแบบเดือนชนเดือนมาตลอด
ทำให้หากออมเงินแบบ " หักดิบ " เลยจะทำให้ปรับตัวไม่ทัน
พาลจะล้มเหลวแอบเอาเงินมาหมุนมาใช้เสียเปล่าๆ
ผมก็เลยแนะนำให้ออมจากรายจ่ายส่วนลดก่อนครับ
เพราะวิธีนี้จะเป็นการค่อยๆปรับตัว ละมุนละม่อมกว่าวิธีหักดิบครับ
ที่สำคัญคือต้องต่อเนื่อง และ ต้องใจแข็ง ไม่ถอนเงินที่ออมไว้มาใช้เด็ดขาด
ทำจนชิน จากนั้นก็ค่อยๆเพิ่มเงินออมเข้าไปในสัดส่วนที่มากขึ้นๆ
สุดท้ายแล้วเราก็จะออมแบบสบายๆ จนเป็นนิสัยที่ติดตัวเราไปตลอดครับ

อีกวิธีนึงผมอ่านเจอจากหนังสือของ แซนดี้ ฟอร์สเตอร์ ซึ่งก็คือการออมเศษเหรียญ
ซึ่งเค้าบอกว่า เวลาเราได้เงินทอนมาเป็นเศษเหรียญ เราก็อย่าเอาไปใช้
แต่ให้เอาไปหยอดกระปุกไว้ และให้เอาเหรียญเงินที่ติดอยู่ในกระเป๋าสตางค์นั้น
มาหยอดลงกระปุกทุกวันๆ พอเต็มกระปุกก็เอาไปเก็บเข้าบัญชีเงินออม
หรือนำไปลงทุน ( วิธีนี้ผมเองก็เพิ่งเริ่มทำครับ พบว่าง่ายดี ตกเย็นพอกลับจาก
ที่ทำงานมาก็เอาเหรียญมาหยอดๆๆๆลงกระปุกไว้ ปลายเดือนก็แคะไปฝาก )

วิธีนี้ประยุกต์ใช้กับธนบัตรก็ได้นะครับ อย่างในเวบ thaivi.org ผมเคยอ่านเจอ
กระทู้นึง มีคนบอกว่าเค้าออมเงินด้วยแบงค์ 50บาท คือเห็นแบงค์ 50 เมื่อไหร่
ก็จะเก็บลงกระปุก ไม่เอาแบงค์ 50บาท ไปใช้จ่ายซื้อของ แต่จะเก็บไว้ออม
ดูว่าผ่านไปกี่ปีจะมีแบงค์ 50บาท กี่ใบ ออมได้เท่าไหร่... แต่เหมือนเค้าจะ
ให้เหตุผลว่าที่เลือกแบงค์ 50บาท ก็เพราะ แบงค์ 50บาท เป็นธนบัตรที่เรา
ไม่ค่อยได้พบเจอเท่าไหร่นัก ( เจอน้อยกว่าแบงค์ 100 และ แบงค์ 20 ) ก็เลย
นำมาเป็นวิธีในการออมเงินซะเลย...


เป็นยังไงกันบ้างครับวิธีออมเงินที่ผมแนะนำ
ยังไงก็ลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ...
และหากใครมีวิธีดีๆที่จะแนะนำอีกก็ช่วยแชร์ให้ฟังด้วยนะครับ : )

สู้ๆ เพื่ออิสระภาพทางการเงินครับ!

Sunday, August 28, 2011

0019 : ภาพลวงของราคาทุน


ตอนลงทุนใหม่ๆ ช่วงปี 2008 ผมซื้อหุ้น KK มาในราคา 10.30 บาทต่อหุ้น
ต้นปี KK ราคาอยู่ที่ 39 บาท และ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ราวๆ 33 บาท

หลายคนอาจจะบอกว่า ผมโชคดีที่ซื้อหุ้น KK มาในราคาถูกมาก
คิด Div. Yield ออกมาอาจตกราวๆ 25% เลยทีเดียว
แต่ผมว่านั่นไม่ใช่การคิดคำนวนผลตอบแทนที่ถูกต้อง
เพราะ 25% นั้น เป็นการคิดจากราคาทุนที่ซื้อมา
การวัดผลตอบแทนอันที่จริงแล้วควรจะคิดจากราคา ณ ต้นปีมากกว่า

อย่างหุ้น KK ในปีแรกที่ผมซื้อมานั้นราคา 10.30 บาท
ปลายปี ราคา 25.50 บาท ปันผลทั้งปี 1.50 บาท
ผลตอบแทนรวมตกอยู่ราวๆ 262%

ต่อมาปีที่ 2 หากผมเอาราคา 10.30 มาคิดเป็นราคาทุน
ปีนี้ หุ้น KK ปันผล 2.25 บาท / หุ้น
เฉพาะอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะเท่ากับ 21.84%
ซึ่งดูเหมือนเยอะมากมาย แต่ถ้าหากคิดเทียบกับราคา ณ สิ้นปีที่แล้ว คือ
25.50 บาท แล้วล่ะก็ ผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 8.82% เท่านั้น
ซึ่งบางคนอาจจะเถียงว่า ก็ฉันจะคิดจากราคาที่ซื้อมาอ่ะ คุณจะทำไม
คิดแบบนี้แล้วฉันสบายใจหนิ... ผมยังไม่เถียงคุณหรอกครับ...

ที่นี้มาดูปีที่ 3 ปลายปีที่แล้วหุ้น KK ราคาปิด อยู่ที่ 39 บาท / หุ้น
ณ ปัจจุบัน ราคาราวๆ 33 บาท ตามที่ผมเคยบอกไว้
เงินปันผลทั้งปี ตีว่า 2.5 บาท / หุ้น ( จริงๆแล้วยังไม่ออกงวดเดียวอยู่เลย )
หากคิดผลตอบแทนจากราคาทุน 10.30 บาท Div. Yield จะอยู่ที่ 24.27%
แต่ถ้คิดจากราคา 39 บาท / หุ้น Div. Yield จะเท่ากับ 6.41% เท่านั้นเอง
แถมยังมี Capital Lost อีกตั้ง 6 บาทแนะ คิดแล้วผลตอบแทนรวมปีนี้
จะอยู่ที่ราว -10% T T ซึ่งมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะสบายใจที่จะยึด
ราคาทุน 10.30 บาทเป็นหลัก

แต่คืองี้ครับ ผมจะขอให้คุณลองเทียบดู หากคุณขายหุ้น KK ตอนต้นปี
ที่ราคา 39 บาท สมมุติได้เงิน 39,000 บาทล่ะกัน แล้วนำไปซื้อหุ้นตัวอื่น
ที่มี Upside สูง ลองเทียบดูนะครับ...
สมมุติเอาไปซื้อ BLA ล่ะกัน ( หุ้นในพอร์ตอีกตัวของผม ) ต้นปี BLA 30 บาท
เงิน 39,000 ได้หุ้น BLA จำนวน 1,300 หุ้น ณ วันนี้ราคา BLA อยู่ราว 56 บาท
เพราะงั้นเงิน 39,000 บาท จะกลายเป็น 72,800 บาท

แต่ถ้าคุณทู่ซี้ถือ KK เพราะยึดติดกับราคาทุน 10.30 บาท กะ Div Yield 20 กว่า%
เงิน 39,000 บาท เมื่อตอนต้นปี จะมีมูลค่าเหลือเพียง 35,500 เท่านั้น
( มูลค่าหุ้น 33,000 บาท + เงินปันผล 2,500 บาท )

สิ่งที่คุณต้องคิดก็คือว่า ในการลงทุน เราไม่ควรยึดติดกับราคาทุนที่ซื้อมา
แต่เราควรจะมองว่าเราจะทำอย่างไรให้เงินทุนตอนต้นปีนั้นงอกเงยขึ้นมา ณ ปลายปี
นั่นคือผลตอบแทนที่แท้จริงที่เราได้รับในแต่ละปี...

และคุณก็ควรถามตัวเองว่า คุณกำลังหลอกตัวอย่างอยู่หรือไม่ ?
คุณกำลังเข้าข้างตัวเอง ด้วยภาพลวงของราคาทุนอันแสนถูกอยู่รึปล่าว ?
อย่าลืมว่าการหลอกตัวเองไม่ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (แม้ว่าอาจจะทำให้สบายใจ)
สิ่งที่เราควรมองก็คือความเป็นจริงและการสร้างผลตอบแทนจริงๆต่างหาก...

0018 : ลอกการบ้านเซียน


ผมเชื่อว่านักลงทุนทุกคนย่อมเคยลอกการบ้านเซียน
มันเป็นเรื่องปกติที่เรากระทำกัน
แต่ นักลงทุนที่ดี จะไม่ลอกแต่คำตอบ
ไม่ซื้อหุ้นตามโดยไม่ลืมหูลืมตา
แต่จะลอกวิธีคิด แม้ว่าอาจจะไม่มีโอกาสพูดคุยสอบถามเซียนเป็นการส่วนตัว
แต่ก็อาจจะทำให้คนลอกพยายามมองให้ลึกขึ้น ให้ชัดขึ้น
พยายามแสวงหาข้อมูลและความรู้ที่เซียนมี แต่เราไม่มี
ถ้าลอกถูกวิธี เราจะพัฒนาตัวเองได้ไว

แต่ถ้าจะลอกเฉพาะคำตอบ...
ผมแนะนำให้พกผ้าห่มไปซื้อหุ้นด้วย
เพราะบางทีคุณอาจจะได้นอนหนาวอยู่บนดอย
เนื่องจากคุณต้องคำนึงถึงด้วยว่า เซียนเข้าซื้อก่อนคุณ
ต้นทุนย่อมต่ำกว่า เพราะกว่าข่าวจะหลุดมาถึงคุณ
เค้าย่อมต้องบอก ญาติสนิท มิตรสหาย เค้าไปแล้ว
ราคาที่คุณเข้าไปซื้อหุ้น (ซึ่งคิดว่าตัวเองได้ข่าววงในมา) คือราคาดอย
ที่คนแย่งกันซื้อ ทีนี้พอมีคนทะลึ่งขายทำกำไร
ก็พากันหนีตาย มึงขาย กูขายมั่ง ขาดทุนนิดหน่อยไม่เป็นไร
cut loss ไป แล้วพอไปอ่านกระทู้โดนบิ้วอารมณ์มาก็เกิดคันมืออีกรอบ
อยากได้หุ้นเข้าพอร์ต กลับไปซื้ออีกครั้งที่ต้นทุนสูงกว่าเดิม
( แมงเม่าชัดๆ ) ซึ่งเซียนคนนั้นอาจจะขายเพราะหุ้นมันขึ้นมาจน
Over Value ไปแล้วก็ได้

เพราะงั้นถ้าจะซื้อตามเซียน ต้องดูด้วยว่าเซียนเค้าให้ Value ของหุ้นตัวนั้น
ประมาณเท่าไหร่... ( ขึ้นมาเท่าไหร่เค้าถึงจะออกว่างั้น )
ซึ่งเค้าจะให้ Value เท่าไหร่คุณก็ไม่มีทางรู้
เพราะเมื่อเซียนจะขายหุ้น เค้าคงไม่มาประกาศให้โลกรู้หรอกว่า ขายหุ้นไปแล้ว

เพราะงั้น... เวลาลอกการบ้าน เราไม่ควรลอกตัวหุ้นเด็ดขาด
แต่ให้ลอกวิธีคิด วิธีหาข้อมูล วิธีมองหุ้นของเซียน
เหมือนเป็นการครูพักลักจำวิธีหาปลา
พอเราจับปลาเป็น แม้จะไม่เก่งเท่าเซียน
แต่อย่างน้อยเราก็ไม่อดตายแน่นอน...

และสุดท้ายนี้ก็ขอเตือนด้วยว่า...
คุณต้องแน่ใจด้วยว่า เซียนที่คุณพยายามลอกการบ้านนั้น
เป็นเซียนจริง ไม่ใช่เซียนเก๊...
เพราะท่ามกลางตลาดขาขึ้น มักจะมีคนที่เรียกตัวเองว่า เซียน
ปรากฏตัวออกมามากมายหลายคน
ซึ่งเพียบพร้อมทั้งบุคลิก ความน่าเชื่อเถือ
ซึ่งอาจจะมีคุณสมบัติครบทุกอย่าง ยกเว้น... ความสามารถ
หากคุณหลวมตัวไปลอกการบ้าน
หรือขอหวยหุ้นเด็ดจาก เซียนเก๊ประเภทนี้แล้วละก็
จากหุ้นเด็ด... อาจจะกลายเป็นหุ้นเด็ดชีพคุณแทน

เพราะฉะนั้น เราควรตั้งใจศึกษา หาความรู้ด้านการลงทุนด้วยตัวเอง จะดีที่สุด
ดั่งคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ " ตนแล ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน "

Thursday, August 25, 2011

0017 : Value Visions 25-08-2011

สถานการณ์วันนี้ยังไม่มีอะไรคลี่คลาย...
ในสมองของผมนั้นยิ่งสับสนเพิ่มขึ้นไปอีก
สับสนไปด้วย ความคิด ทางเลือก ความกล้า ความกลัว ความโลภ
ปัญหาที่ผมถามตัวเอง แต่ยังหาคำตอบไม่ได้ก็คือ
หุ้นในพอร์ตของผมส่วนใหญ่เป็นหุ้น Domestic
ช่วงที่ตลาดลงที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงอะไรกะเค้าสักเท่าไหร่
แต่ดูจากสถานการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น
ก็อดคิดไปไม่ได้ว่า ต่อให้หุ้นในพอร์ตของผมแข็งแกร่งปานใดก็ตาม
มันก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานแรงขายจากเงินก้อนใหญ่ของต่างชาติได้

บอกกันตรงๆว่าหุ้นตัวหลักในพอร์ตของผมก็คือ BLA ครับ
BLA นั้นไม่ค่อยจะสน SET เท่าไหร่
วันใด SET แดง BLA เขียวก็มีให้เห็นอยู่หลายวัน
ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า BLA จะเป็นหุ้นที่แข็งกว่าตลาดหรือไม่
ความสับสนของผมเกิดจากความย้อนแย้งที่ว่า...
ในภาวะขาลงแบบนี้ แต่หุ้นผมดันไม่ยอมลง ผมควรทำอย่างไรดี ?

เหตุการณ์ของ BLA นี่ มันทำให้ผมนึกไปถึงนิทานเรื่องนึงครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า... มีชายคนนึง บ้านถูกน้ำท่วม สูงจนถึงหลังคาบ้าน
ชายคนนี้ก็หนีน้ำไปอยู่บนหลังคาบ้าน ในขณะที่น้ำก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
เค้าก็ได้แต่สวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า
ไม่นานนักก็มีคนพายเรือผ่านมา ก็ได้ชวนให้ขึ้นเรือไปด้วยกัน
แต่ชายคนนี้ก็ปฏิเสธ เนื่องจากจะรอการช่วยเหลือจากพระเจ้า
ก็ได้แต่สวดอ้อนวอนต่อไป ต่อมาอีกไม่นานนักก็มีเรือหางยาวผ่านมา
คนขับรือก็ได้ชวนให้หนีขึ้นเรือไปด้วยกัน แต่ชายคนนี้ก็ยังปฏิเสธ
เนื่องจากจะรอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็ได้แต่สวดอ้อนวอนต่อไป
ต่อมาเมื่อระดับน้ำเริ่มสูงยิ่งขึ้น ก็ได้มีเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือ
แต่ชายคนนี้ก็ยังบอกปัดไป เนื่องจากกำลังรอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
สุดท้ายน้ำก็ขึ้นมาเรื่อยๆจนท่วมหลังคาบ้าน และชายคนนี้ก็เสียชีวิตไป
เมื่อตายไปก็ได้พบกับพระเจ้า ชายคนนี้ก็เลยถามพระเจ้าด้วยความโกรธว่า
เหตุใดจึงไม่ใช่เหลือตนซึ่งกำลังตกทุกข์ได้ยาก... พระเจ้าจึงตอบกลับมาว่า
" เราได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าถึง 3 ครั้ง แต่เจ้าก็ปฏิเสธความช่วยเหลือของเรา
ทุกครั้ง ทั้งเรือพาย เรือหางยาว และ เฮลิคอปเตอร์ที่เราส่งไป... "

ผมกลัวว่าผมกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เฮลิคอปเตอร์กำลังมาช่วยเหลือหรือเปล่านะ ?


ผมคิดทางเลือกให้พอร์ตผมอยู่หลายทางด้วยกัน
1. ) ไม่ต้องทำอะไร เพราะในระยะยาว ผมเชื่อว่า BLA ยังเติบโตได้อีกมาก
หากปรับตัวลงไปตามภาวะตลาดจริง ก็ต้องกลับมาได้แน่ และผมตั้งใจว่า
หากมันปรับตัวลงไป เงินออมก้อนใหม่ๆก็ค่อยๆหาจังหวะเก็บหุ้นในราคาถูก

หรืออย่างที่ เบน เกรแฮม เคยกล่าวไว้ในหนังสือ The Intelligent Investor ว่า
หากวันนึงบ้านที่เราอาศัยอยู่ มีคนมาขอซื้อโดยให้ราคาต่ำลง
เราจะขายมันเพียงเพราะอยู่ดีๆมีคนมาตีราคามันถูกๆหรือ ?
ผมว่าหุ้นในพอร์ตของเราก็เช่นกัน หากหุ้นมันดีจริง การปรับตัวลงของราคา
ย่อมเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป...

1.1 ) ปัญหาคือ ใจผมก็คิดว่า หากมันลงไป กำไรเขียวๆของพอร์ตผม
ก็หายไปน่ะสิ ? ( ผมไม่อยากทนเห็นเงินหายไปต่อหน้าต่อตา ฮือๆ )

2. ) ลดพอร์ต อาจจะลดพอร์ตลง 20% 30% หรือ 50% เพื่อชักกำไรที่ได้
ออกมาเป็นเงินสดเพื่อหาจังหวะในการช้อนซื้อหุ้นตัวอื่นที่มี MOS หรือไม่ก็
BLA ตัวเดิมที่อาจจะราคาปรับตัวลงมาตามภาวะตลาด (หากตลาดเละจริงๆ
ก็ต้องไม่รอดอยู่แล้ว) ในข้อนี้ก็อาจทำให้เครียดน้อยกว่า (มั๊ง) , ไม่ก็เครียด
เพราะถือเงินสดนานเกินไปแหละ (ผมเรื่องมากป่ะครับ? แหะๆ)

จะพูดไปการลดพอร์ตแล้วถือเงินสด รอดูสถานการณ์ ก็ดีตรงที่...
เราสามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราเองได้ครับ
ส่วนการถือหุ้นไว้เต็มพอร์ตนั้นก็เหมือนการปล่อยให้ชีวิตเราเป็นไปตามยถากรรม
หุ้นไหลลงเราก็ได้แต่ทนมองมันแดงเถือกไป ผมว่าแบบนั้นมันกระไรอยู่
แม้บางคนจะบอกว่าการลงทุนในหุ้นแบบ VI ก็เหมือนการเป็นเจ้าของกิจการก็เหอะ
แต่อันที่จริงแล้วการเป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายย่อยก็มีข้อได้เปรียบ
ตรงที่สามารถถอยได้ง่ายกว่าไม่ใช่หรือ ?
ซึ่งตรงนี้ผมว่าเป็นข้อดีที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้เปรียบเจ้าของกิจการนะ
ก็คือการถอยฉากออกมารอดูท่าที
หากหุ้นลงไปแรงๆก็สามารถเอาเงินสดมาซื้อเพิ่มได้
ในขณะที่หากไม่มีวิกฤตเกิดขึ้นก็กลับเข้าไปซื้อได้เช่นเดิม
แม้ว่าอาจจะต้องซื้อแพงกว่าตอนขายออกไปบ้างก็ตาม
แต่ตามที่พี่บอย Vivitawin Krerngkamjornkij บอกไว้นั่นแหละครับ
ว่าการที่ตลาดมันเกิดท่าทีที่จะเป็นขาลง แล้วมันมีโอกาสลงมากกว่าขึ้น
เราควรถอยออกมาถือเงินสด หากหุ้นลงสุดแล้ว...
เปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน เราค่อยเข้าไปซื้อ
แต่บางทีหุ้นก็อาจไม่ได้ลงมากมาย หรือปรับตัวเด้งขึ้นเร็ว
จนเกินราคาที่เราขายออกไป หากเป็นอย่างนั้นก็จำเป็นต้องรับแพงกว่าที่ขายออกไป
เพราะถือว่าส่วนที่เราจ่ายแพงกว่านั้น เป็นค่าประกับอุบัติเหตุให้พอร์ต

แต่คำตอบที่ว่าพรุ่งนี้ผจะทำอย่างไรนั้น
ผมขอทิ้งมันไว้ก่อน ขอนอนพักสมองก่อนละกัน
พรุ่งนี้เช้าตื่นมาสูดอากาศสดชื่นๆ ค่อยคิดกันใหม่อีกรอบ...

ขอ "สติ" จงสถิตย์อยู่กับท่าน!

0016 : Value Visions 24-08-2011

การลงทุนจะแพ้หรือชนะ เหตุผลใหญ่น่าจะตัดสินกันที่ใจ
ถ้าจิตใจไม่หนักแน่น มือไม้อ่อนซื้อง่าย ขายคล่อง มีสิทธิ์แพ้สูง

วันนี้ผมก็ทำผิดพลาดอีกครั้งแล้วครับ เฮ้อ!
จากรอบแรกเมื่อราวๆสองอาทิตย์ก่อน
ทะลึ่งอยากได้ BLA เพิ่มเลยเข้าซื้อแบบไม่ต่อราคา
ได้มาซะราคาสูงเชียว แต่ก็ไม่ได้เอามาคิดรวมกับต้นทุนเดิมนะครับ
เพราะการบันทึกการซื้อ-ขายหุ้นในแต่ละไม้นั้น
เราควรบันทึกแยกไม้กันครับ อย่างเช่น
ผมซื้อ BLA ไม้แรก ราคา IPO 13.5 บาท จำนวน 5,000 หุ้น ก็บันทึกไว้
พอซื้อเพิ่มอีก 1,000 หุ้น ราคา 30 บาท ก็บันทึกแยกออกมา
ไม้หลังสุดซื้อ 57 บาท จำนวน 500 หุ้น ก็แยกออกมาอีก
ที่บันทึกแบบนี้ก็เพราะว่า เราจะได้ทราบได้ว่าเราติดดอยไม้ไหนหรือไม่ ?
และจะช่วยให้เรามองเห็นความจริงของพอร์ตเรา
มากกว่าบันทึกแบบราคาเฉลี่ยครับ
หากจะบันทึกราคาเฉลี่ยผมแนะนำว่า
เราควรนำหุ้นมาเฉลี่ยเมื่อสิ้นปีมากกว่า
พอยกไปต้นปีใหม่ก็รวบรายการซะเลย
เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการเปรียบเทียบผลตอบแทนจริงในปีถัดไปครับ
แต่หากเราซื้อหุ้นเพิ่มอีก เราก็ทำแบบเดิมคือบันทึกแบบแยกไม้
และค่อยเอามาเฉลี่ยรวมกันเมื่อสิ้นปีต่อไปครับ

เย้ย! ออกนอกเรื่องความผิดพลาดซะไกลเลย
เหตุการณ์มีอยู่ว่า เมื่อวานเห็นข่าว HMPRO
ประกาศแจกหุ้นปันผล 7: 1 ก็เลยเกิดอยากได้ขึ้นมา
วันนี้ตลาดเปิดก็เลยสอยซะ 10.4 กะ 10.2
โดยที่ไม่ได้วิเคราะห์อะไรมากมายสักเท่าไหร่
(ส่วนใหญ่คิดในใจ) แม้ว่า HMPRO จะเติบโตได้ดีในระยะยาว
แต่ว่าการที่ผมซื้อหุ้นโดยอยากได้ปุ๊บก็ซื้อปั๊บแบบนี้มันไม่ถูกต้อง
จริๆแล้วผมควรรอซื้อในราคาที่มี MOS มากกว่า
แต่ในการกระทำของผมนั้น ดันเข้าซื้อในราคาที่ไม่ต้องพูดถึงว่ามี MOS
แม้กระทั่ง Upside ของปีนี้ยังแทบไม่เหลือเลย
ทำให้ผมรู้สึกแย่กับจิตใจที่ไม่มั่นคงของผมมากมายเลยครับ
แม้ว่าการซื้อไม้นี้จะเป็นเงินแค่หลักหมื่นก็เถอะ
แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินเลย
มันเกี่ยวกับวินัยในการลงทุนของผมต่างหาก...

เฮ้อ! ทำไมใจเรามันควบคุมยากอะไรอย่างนี้นะ
ต้องมารื้อระบบความคิดใหม่อีกรอบแล้วหล่ะครับ!

อีกเรื่องที่ต้องจับตามองก็คือการปรับตัวลงมาของบ้านปู คิดคร่าวๆแล้ว
ลงมา 15% เลยทีเดียว แถมยังมีพวกกลุ่มพลังงานตัวอื่น และ แบงค์ อีก
หากลงไปลึกก็น่าสนใจในการเข้าไปช้อนเพื่อรอเด้ง แต่ปัญหาคือ
ตอนนี้มันยังไม่ใช้จุดที่ลึกมากขนาดนั้น หากเข้าไปมันก็มี 2 ทาง คือ
ลงต่อ ไม่ก็ เด้งกลับ ซึ่งผมคิดว่ายังไม่น่าเสี่ยง ไว้รอมันลงสุดแล้วเด้ง
เราค่อยโดดเกาะเทรนด์ขาเด้งขึ้นมาก็ยังทัน และก็ปลอดภัยกว่าด้วย...

0015 : Value Visions 23-08-2011

วันนี้ตอนบ่ายคุยกับพี่เบิร์ด (ไม่ใช่พี่เบิร์ด รักทุกคนเลยนะครับ)
พี่เบิร์ด เป็นอดีตพนักงานฯ แต่เกษียณก่อนกำหนดไปก่อน
วันนี้แวะมาหาพี่อีกคน แต่พี่เค้าติดประชุมก็เลยนั่งคุยกะผมก่อน
พี่เบิร์ดสอนผมหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ
เพราะผมชอบฟังเรื่องนี้ก็เลยทำให้คุยกันถูกคอครับ

ตอนแรกผมก็ถามพี่เบิร์ดไปก่อนว่า
ราคาทองมีโอกาสจะตกรุนแรงไหม ?
พี่เบิร์ดก็ตอบว่า โอกาสน้อยมาก
เพราะอะไรรู้ไหม... จะเล่าให้ฟัง...
เริ่มจากปัจจุบันคนอินเดีย กับ คนจีน เริ่มมีฐานะดีขึ้น
เมื่อก่อนจะเป็นในรูปของ หากจะทำเกษตรคนอินเดีย
จะขายทองเพื่อเอาทุนมาทำเกษตร พอขายผลิตผลได้
ก็จะเอาเงินไปซื้อทอง แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่ เค้าเริ่มมีฐานะดีขึ้น
ทำให้สามารถมีเงินมาซื้อทองเก็บสะสมหรือให้เป็นของขวัญ
แก่กันได้ ทำให้ความต้องการทอง เปลี่ยนไป...

อีกสาเหตุก็คือ การที่รัฐบาลประเทศต่างๆ เปลี่ยนมุมมอง
ที่มีต่อเงิน USD หันมาเก็บทองแทน ทำให้ราคาที่ขึ้นมาแรง
ส่วนนึงก็เกิดจากรัฐบาลจีน อินเดีย เกาหลี ฯลฯ
ซึ่งไม่ต้องการถือ USD เพิ่มและพยายามลดหันมาถือทองแทน

จากนั้นพี่เค้าก็ถามผมว่า ส่วนใหญ่คนที่ซื้อทองแท่ง
เอาเงินที่ไหนมาซื้อ ผมก็ตอบไปว่า เงินออม , พี่เค้าก็ว่า ใช่
ส่วนใหญ่คนเอาเงินเย็นมาซื้อทอง เพราะงั้นถ้าราคามันตกลงไป
เค้าไม่ขายกันหรอก มีแต่กอดไว้ อย่างน้อยต้องกำไร
เค้าถึงจะขายจริงไหม ? เพราะงั้นราคามันจึงไม่ดิ่งลงแรง
แบบที่คนพากันเทขายหุ้นหนีตาย

พี่เค้ายังเล่าอีกว่า ที่ราคาทองขึ้นแรงช่วงที่ผ่านมา เพราะ ต้นทุน
เหมืองทองใน USA ปัจจุบันเพิ่มขึ้น 300% ที่ราคาทองเพิ่มขึ้นน่ะ
ถูกแล้ว เพราะ Cost เพิ่ม ราคาขายจะไม่เพิ่มได้อย่างไร ?

ผมก็เลยแอบถามไปว่า พี่กะราคาทองไว้สักเท่าไหร่ ?
พี่เค้าก็ตอบว่า ประมาณ 35,000 บาท : 1 บาท ( ทอง )
( ก็ต้องฟังหูไว้หู ดูกันต่อไปนะครับ! )


จากนั้นก็คุยเรื่องการเงินการลงทุนแบบอื่น
พี่เค้าก็บอกว่าให้แบ่งเงินทุกๆเดือนมาออมในทองบ้าง

หากเก็บได้เป็นก้อนก็เอาไปซื้อที่ดิน โดยหากจะซื้อที่ดินเปล่า
ต้องเลือกที่ทำเลงามๆ ราคามันถึงจะขึ้น เวลาขายต่อกำไรจะดีมาก
หรือไม่ก็หากทุนหนา วันหน้าก็ใช้ทำโครงการตึกแถว หรือ Town House ได้
รายได้เราควรจะมีจากหลายๆทาง ทั้งจากดอกเบี้ย ค่าเช่า และเงินปันผล

อีกแบบก็คือซื้อที่นาผืนงามๆเก็บไว้ เพราะปัจจุบันที่นาหาซื้อยาก
เพราะคนต้องการมาก ยุคนี้ข้าวแพง เราซื้อทิ้งไว้ให้เค้าเช่าทำนา
เราก็ได้ข้าวกินตลอด ไม่ต้องไปซื้อกิน เรียกได้ว่ามีที่นาไว้ก็ไม่ต้องกลัวอด
( แต่ต้องดูว่าที่นาผืนนั้นน้ำท่วมรึเปล่าด้วยนะ )

พี่เค้าก็ยกตัวอย่างเพื่อนร่วมงานที่เก็บออมจนร่ำรวยให้ฟัง
เป็น 10 Case เลย บางคนเก็บทอง บางคนเก็บที่ดิน
อย่างพี่เค้าก็มีทองแท่งอยู่ประมาณ 80 บาท ออม ไม่รวมพวก
แหวนสร้อยอีกประมาณชามน้ำแกงอีกชามนึง
ที่ดินนี่ไม่ต้องพูดถึง หลายแปลงมากจนจำไม่หวาดไม่ไหว
และก็มีพระเครื่องอีกหลายชุด (ราคาแต่ละองค์ก็เป็นล้าน - -)
เค้าบอกเก็บออมมาตั้งแต่ปีแรกที่ทำงาน แต่ก็ได้ครอบครัวส่งเสริมด้วย

พี่เค้าก็บอกว่ารุ่นใหม่ๆอย่างเราเนี่ย โอกาสในการลงทุนเยอะมาก
ไม่เหมือนสมัยก่อน มีแต่ทอง กะ ที่ดิน ปัจจุบันมีหุ้นต่างๆ
ให้เลือกลงทุนเยอะแยะ แต่เสียอย่างเดียวคนสมัยนี้
ออมเงินไม่ค่อยได้ มัวแต่ใช้จ่ายกัน อย่างทำงานไม่ทันไรก็ซื้อรถป้ายแดง
หน้าบานไป 3 วัน แต่ลองเอารถใหม่คันนั้นไปขายสิ ราคาลดไปเป็นเกือนครึ่ง
เราต้องสร้างรายได้เอาไว้ให้วันข้างหน้า ไม่ใช่ว่ามาลำบากตอนแก่

แล้วก็ยกตัวอย่างคนที่เกษียณไปแต่ชีวิตหลังเกษียณลำบาก
เพราะตอนทำงานอยู่ไม่รู้จักวางแผนเก็บออมเงิน

ส่วนเรื่องหุ้นก็คุยกันนิดหน่อย
พี่เค้าก็ให้มุมมองว่า ช่วงนี้ฝรั่งขายหนัก ตอนนี้หากมีหุ้น
ควรขายหุ้นเอากำไรออกมาเป็นเงินสดหรือพักเงินไว้ในทอง
ไม่ก็ดูหุ้นเป็นรายตัว ควรถือหุ้นที่แข็งแกร่ง เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ
อย่าเพิ่งไปเล่นพวกที่เกี่ยวกับต่างประเทศ เพราะเมืองนอกสถานการณ์ไม่ดี
รอมันลงมาหนักๆค่อยเอาเงินสดที่เทคกำไรออกมานั่นไปช้อนดีกว่า
( มุมมองตรงกับเราเลยแฮะ แหะๆ )

คุยกับพี่เค้าเสร็จก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกอักโข
ต่อไปนี้จะตั้งใจเก็บออมและวางแผนลงทุนให้ดียิ่งขึ้นครับ
สู้ต่อไป เพื่ออิสรภาพทางการเงิน โว้ย !

Wednesday, August 17, 2011

0014 : กับดักของสินค้าผ่อน 0%


กับดักของสินค้าผ่อน 0%

" การตัดสินใจซื้อสินค้าของเราจะง่ายขึ้น
ถ้าหากเราไม่ได้จ่ายราคาค่างวดนั้นเป็นเงินสด "
ในทางจิตวิทยาเค้าพูดเอาไว้ประมาณนั้นนะครับ

การซื้อสินค้าชิ้นเดียวกัน ราคาเท่ากัน
แต่วิธีการจ่ายเงินแตกต่างกันนั้น
จะทำให้ความยากง่ายในการตัดสินใจของเราแตกต่างกันไปด้วย
ยกตัวอย่าง มีนาฬิกาเรือนหนึ่ง ซึ่งเราอยากได้ ราคา 50,000 บาท
ถ้าหาก ณ ช่วงเวลานั้นเรามีเงินสด 50,000 บาท พอดีเป๊ะ
การตัดสินใจใช้เงินสดซื้อนาฬิกาเรือนนั้นจะยากมาก
เพราะถ้าเราซื้อเงินในกระเป๋าเราจะวูบหายไปในทันที
( แถมไม่มีตังค์ขึ้นรถกลับบ้านอีก )

แต่ถ้าเรามีเงินในกระเป๋า 1,000 บาท พร้อมบัตรเครดิตวงเงิน
100,000 บาท อีก 1 ใบ การตัดสินใจซื้อนาฬิกาเรือนนั้นจะง่ายขึ้นมาก
เพราะรูดบัตรซื้อไปแล้ว เงินในกระเป๋าไม่ลด เดินชิลไปโบก Taxi กลับบ้าน
จะมารู้ตัวอีกทีตอนใบแจ้งหนี้มาถึงหน้าบ้าน
( แล้วก็คร่ำครวญในใจ กูไม่น่ารูดเล๊ย !
ถ้าชำระขั้นต่ำก็โดนดอกเบี้ย ชำระหมดเงินก็หดหาย T T )

แต่ปัจจุบันหลายบริษัทได้ทำโปรโมชั่น ผ่อน 0%
อาจจะระยะเวลาผ่อน 6 เดือนบ้าง 10 เดือนบ้าง
ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนได้เปรียบโคตรๆ
แต่อันที่จริง ผมคิดว่านั้นเป็นกับดักอันแยบยล
ที่เค้าพยายามดึงตังค์ออกจากกระเป๋าเราไปใช้จ่าย
กลายเป็นรายได้เข้ากระเป๋าเค้า

ลองคิดดูอย่างตัวอย่างนาฬิกาเรือนข้างบน
หากเรามีเงินสด เรายากที่จะตัดสินใจซื้อ
หากเรามีบัตรเครดิต เราตัดสินใจง่ายขึ้น
แต่ก็ยังต้องชั่งใจเพราะหากถึงกำหนดชำระ
แล้วไม่ได้ชำระทั้งยอดก็จะโดนดอกเบี้ยอัตรา 20%

แต่หากมีโปรโมชั่นผ่อน 0%
เราแทบไม่ต้องคิดเลย เพราะได้ซื้อสินค้าราคาเท่าเดิม
แบ่งจ่ายได้เป็นหลายงวด

แต่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า
แม้สิ่งที่เราเสียจะไม่ใช่ดอกเบี้ย
แต่เราก็เสียเงินของเราไป
แลกกับสินค้าที่เราอาจจะไม่ตัดสินใจซื้อถ้าไม่มีโปรโมชั่นนี้
( แสดงว่ามันไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเท่าไหร่ ซื้อก็ได้ ไม่ซื้อก็ได้ )
และเราก็เสียโอกาสในการออมเงิน
ปกติเราอาจจะเก็บเงินได้เดือนละ 5,000 บาท มาโดยตลอด
แต่วันนึงเราเกิดหลวมตัวซื้อสินค้าโดยผ่อนแบบ 0% 10เดือน
เท่ากับว่าจากนี้ไปอีก 10เดือน เราจะไม่ได้ออมเงินเหมือนอย่างเคย
เงิน 5,000 บาท ที่เคยออมได้ในทุกๆเดือน
กลับต้องกลายมาเป็นค่าผ่อนชำระสินค้า

และบางทีหากเรารู้ไม่ทันกิเลสของตัวเอง
พอเราผ่อนชิ้นที่ 1 เสร็จ เราก็จะหาชิ้นที่ 2 ที่ 3 ตามมา
กลายเป็นว่าวินัยในการออมเงินที่เคยมี
กลับกลายเป็นวินัยในการใช้จ่ายไปซะแล้ว

เพราะงั้น ผมจึงอยากเตือนว่า
ก่อนจะซื้ออะไร ผ่อนอะไร โปรดคิดให้ดีๆนะครับ
ว่าของสิ่งนั้นมันจำเป็นที่เราต้องซื้อมันจริงหรือไม่...

หรือมันเป็นเพียงแค่กับดักของลัทธิ " บริโภคนิยม "


0013 : Value Visions 10-08-2011

บนเส้นทางการลงทุนของผม จากที่เคยเรียบง่าย
ไม่มีหลุมมีบ่อ ไม่ค่อยจะมีอุปสรรคใดๆมากีดขวาง
แต่ ณ วันที่ 5 สิงหาฯ 2554 นั้น กลับเจอบททดสอบแรกในชีวิต
นั่นก็คือการที่ USA ถูก S&P ปรับลดเครดิต
ทำให้หุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรงทันที ( ราวๆ 5% )
ตลาดหุ้นไทยในวันนั้นก็ไม่รอดเช่นกัน

ณ วันนั้นหุ้นในพอร์ตของผมมูลค่าลดลงไปประมาณ 2%
ผมก็ยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ เพราะต้องการรอดูสถานการณ์ก่อน
ก็เริ่มยอดซื้อขายสุทธิของตลาด ปรากฏว่า นลท. ต่างประเทศ
ขายสุทธิ เงินบาทก็อ่อนค่ามากขึ้น ทำให้ผมคิดว่า ฝรั่งเริ่มหนีกลับ
เหล่ากองทุนในต่างประเทศน่าจะเทขายหุ้นเพื่อถือเงินสด
เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์การขายคืนหน่วยลงทุน

วันจันทร์ สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น แต่พอร์ตผมก็ยังแข็งแกร่งเช่นเดิม
หุ้นตัวหลักในพอร์ตราคาปิดเท่าเดิม แต่ตัวอื่นๆลดลง 2-3%
ผมจึงเริ่มกังวลใจมากขึ้น เนื่องจาก ณ เวลานั้น
มีหุ้นอยู่ 110% ( คือใช้มาร์จิ้น 10% )
ผมลังเลใจระหว่างการขายหุ้นออก 30% เพื่อลดมาร์จิ้น
และกลับมาถือเงินสดอีก 20% กับการทนถือฝ่าวิกฤตไป
หรืออย่างน้อยก็ลดพอร์ตให้เหลือ 100%
ซึ่งผมมองว่า ณ เวลานั้น USA เหมือนยังไม่เจอทางออก
และอาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบปี 2008 อีกครั้ง

สุดท้ายแล้ว ณ เช้าวันอังคารที่ 9 ผมเลือก ลดพอร์ตลง 30%
เพื่อกลับมาถือเงินสด เผื่อว่าเหตุการณ์มันจะกลับไปย่ำแย่
แบบปี 2008 อีกครั้ง ผมตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะว่า
ผมต้องการลดมาร์จิ้นและชักกำไร ให้ออกมาเป็นเงินสดในมือ
อย่างน้อยในสถานการณ์ที่เรามองอะไรไม่เห็น
ถ้าเรากำเงินสดอยู่ ยังไงเราก็ได้เปรียบ
แต่ช่วงบ่าย ผมลองทำ SAP เล่นๆ โดตั้รับต่ำกว่าเยอะ
แล้วก็ทำงานจนลืมไปว่าตั้งรับไว้ มาดูอีกที
อ้าว ! มีคนขายให้กรูซะงั้น ก็กลายเป็นว่าตอนนี้ถือหุ้น 100%เหมือนเดิม

และวันที่ 9 ช่วงดึก USA ก็ประกาศนโยบายแก้ไขเศรษฐกิจ
( แก้ผ้าเอาหน้ารอด ) โดยตรึงอัตราดอกเบี้ยพิเศษเอาไว้ 2 ปี
ทำให้หุ้นทั้งโลกบวกกลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่า SET ในวันรุ่งขึ้นก็เช่นกัน

มีเพื่อนแซวผมว่า แบบนี้ก็ลดพอร์ตขายหมูสิ
ผมก็ไม่ว่าอะไร ยอมรับว่าขายหมู
แต่ผมคิดว่าผมตัดสินใจไม่ผิด และผมยังทำตามแผนที่ได้ไตร่ตรองไว้
ซึ่งผมถือว่าความมีวินัยต่อแผนการที่เราวางไว้
เป็นข้อสำคัญข้อหนึ่งในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ

อย่าลืมว่า ณ วันนี้คือการมองไปในอดีต
เราอาจจะเห็นว่าเป็นการขายหมู
แต่ ณ วันนั้นที่ตลาดแดงทั้วโลก
Fund Flow ไหลออกไทยเกือบหมื่นล้านในวันเดียว
และถ้าเกิด USA ไม่ออกมาตรการตรึงดอกเบี้ย
บางทีคนที่ขายหมูอาจจะโชคดีกว่าคนที่หุ้นเต็มพอร์ตด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่าหากวิกฤตมา คนที่ถือเงินสด เป็นผู้ที่มีโอกาสชนะมากกว่าใคร !
( ยกเว้นพวกที่ Short Future นะ )



อันนี้เป็นความรู้ที่แอบจดมาจาก Facebook ของ พี่บอย
Vivitawin Krerngkamjornkij นะครับ

" นลท.ที่พยายามใช้เทคนิคกราฟหรือรูปแบบ
ในการทำนายอนาคตแล้วผิดบ่อยๆมักจะเกิดอาการเครียด
อันที่จริงแล้วกราฟไว้ใช้ป้องกันความเสี่ยงไม่ใช่การทำนาย "

สมมติ ถ้าเราเอา เส้น sma100day เป็นเกณฑ์
ถ้าเหนือเส้นนี้ก็เพิ่มหุ้น ถ้าใต้เส้นนี้ก็ลดหุ้น หรือ
ถ้าหลุด sma200day ก็ล้างพอร์ต ถ้าขึ้นมาก็ค่อยซื้อหุ้น
แม้จะไม่ได้ทำให้รวยเร็วในช่วงsideway
แต่ความเสี่ยงในการที่จะขาดทุนหนักๆในช่วงวิกฤตก็แทบไม่มี
และเวลาฟื้นจากวิกฤตขาขึ้นก็ถือหุ้นได้นานขึ้นก็รวยได้

เราลงทุนในตลาดฯ การละเลยสภาพตลาดไปเลยผมว่าเสี่ยงมากนะครับ

บางทีขายไปถูกกว่าแต่พอมายืนได้เราก็อาจจะต้องซื้อคืนแพงกว่า
แต่ถ้ามันลงอีกก็ต้องขายอีก ผมเข้าใจว่ามันขัดใจคนเล่นแนวพื้นฐาน
แต่มันคือการป้องกันความเสี่ยง
ก็คล้ายๆกับการเสียเบี้ยประกันชีวิตให้พอร์ตเราอ่ะครับ
ดีกว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย

อีกอย่างคือเราไม่เทพก็จัดการตามฐานะของเราแบบไม่โลภมากดีกว่า
เอาสบายใจเข้าว่า อิอิ