Pages

Thursday, April 28, 2016

0447 : Mudley Live Final Exam Transaction 4


Mudley Exam เก็บได้ 4 Transactions ละ แต่ฟอร์มกากสัสรัสเซียเลยทีเดียว เก็บ CF ได้ $8 แล้วก็ออกไวไป 2 bullet เพราะ criteria ไม่ชัดเจน กับเล่นใน TF เล็กเกินไป (กำไรแค่ 1-2 pips)

สรุปก็ต้องทำการบ้านเรื่อง criteria ต่อไป ให้ชัด+มีวินัย+รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ให้มากขึ้น

แต่ที่รู้สึกว่าต่างจากเมื่อ 2-3 ปีก่อนก็คือ ตอนนี้กระสุนยังครบ 5 นัดแฮะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน มี 5 จะดอยไปซะ 4 อะไรงี้ ถถถ

Thursday, April 21, 2016

0446 : Mudley Live Final Exam Transaction 2


กระสุน Mudley Final Exam ที่ยิงไปเมื่อคืน วันนี้ต้องปิดออกมาซะแล้ว ตามที่วางแผนไว้ว่าจะออกตอน MA cross ลงมา ก็จบแค่นั้น รอจังหวะใหม่ MA cross ใหม่ต่อไป แต่คงอีกสักพักแหละ ระหว่างนี้ก็ไปมองตัวอื่นไปก่อน


ที่มองว่าต้องไปมองตัวอื่นก็เพราะดูใน H4 แล้ว มองว่ามันอาจจะปรับฐานก็ได้นะ เพราะ MA แม่ม จ่อๆ cross ลงอยู่แล้ว เลยห่างๆก่อนช่วงนี้ แต่ถ้ามันไปต่อค่อยซูมไปดู H1 อีกรอบ เพราะใน H1 MA มันยังทิ้งช่วงห่างกันอยู่ พอมีเวลาให้ตลาดมันเฉลย



ปัญหาที่เจอตอนนี้คือ พอร์ตที่ใช้สอบ ซึ่งพอร์ตนึงต้องรองรับ order ของเทรดเดอร์เกือบร้อยคน ซึ่งมี maximum order คนละ 5 bullet แต่พอร์ตรับได้แค่ 100 order เท่านั้น ผลก็คือ ห้องเต็มตลอด ถึงเวลาจะยิงก็ยิงไม่ได้ ฮ่าๆ แต่พี่ต้านก็เพิ่มพอร์ตใหม่มาให้อีก 2 พอร์ตเป็นพอร์ตสำรอง


พอไปนั่งหาตัวใหม่ เออ เจอ EU โดนทุบลงมา 1 ATR Day เข้าไป Buy ซะเลย ตอนนี้ก็เลย เงิบๆๆ เข้าแบบเชี้ยมาก แบบออเดอร์ผีสิง รู้ตัวอีกทีเคาะไปเลย อืม เห็นมันลงมา 1 ATR Day + สลับกราฟไปดูแท่งเทียน เลยโดนกราฟฟิกบิ้วด์ซะ เง้อ

จริงๆไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ รอ MA Cross ขึ้นก่อนก็จะดีกว่าเยอะ แต่เราก็รีบ... อารมณ์กลัวมันเด้งกลับอ่ะนะ T T ... แถมยังไปเข้าทับกับอีกคนนึง ตอนนั้นคือไม่สนว่าเข้าทับกับเขาหรือเปล่า ฟีลลิ่งแบบ กูจะเข้าตรงนี้ แล้วพอมันเด้งกลับเราก็จะออกแล้ว พอดอยแล้วเริ่มสำนึก เง้ออออ เมื่อเช้าเพิ่งไป comment แนะนำเพื่อในกลุ่ม Team B อยู่เลย ว่าอย่าเข้าโซนเดียวกัน มาตอนนี้นู๋ทำเองซะเลย >_< ผิดไปแล้วว


พอดูดีๆ เออ ก่อนที่มันจะโดนทุบลงมา มันมีการลากๆๆ ขึ้นไปก่อนนะ ทำให้ตอนนี้มันลงมานี่คืออยู่ที่เดิมของมันอยู่เองนะ ถ้าจะเล่นกับ Mean Reverse ก็ต้องให้มันต่ำกว่าจุดนี้อีก 1 ATR อ่ะดิ

จากนั้นก็เริ่มรู้ตัวละว่าใจร้อนเกินไป ... ก็เลยออกดีกว่า ยังดีที่ออกแบบมีกำไรได้ ($0.18) คราวหลังต้องดูให้ดีๆ ... แต่ครั้งนี้ก็ทำให้ Transaction เพิ่มเป็น 2 ล่ะ

จากนั้นพี่สหายโทรมาแนะนำเรื่อง exam พอดีเลย แนะนำว่าให้ set criteria ของระบบให้ดีๆ แนะนำให้เราใช้ umbrella table ในการเก็บข้อมูลการเทรดร่วมไปด้วย แล้วก็ back test , forward ไป ถ้า criteria ไม่ชัด มันจะไม่เกิดการเรียนรู้ แล้วก็ไม่เกิด Gut

สรุปก็คือต้องไปทำการบ้านมาใหม่แระ >_<

Wednesday, April 20, 2016

0445 : Mudley Live Final Exam Bullet 1


หวดออเดอร์แรกของ mudley final exam ไปแระ ดอยเป็นดอย 555 เพิ่งเคยใช้โบรค Alpari ยิงออเดอร์แรกไปเงิบเพราะ spread เบยแจ้ ร้องเชี้ยกันเลยทีเดียว เปิดไปปุ๊บ 0.01 lot ลบไปเหรียญกว่าๆ ปกติเทรดโบรคอื่น ลบ 20-30 Cent มีเงิบๆ จากที่วางแผนว่าจะเก็บ Transaction จาก TF เล็กๆก่อน แล้วค่อยไปหาตัวที่ถือยาวๆได้ จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่อง condition ปรากฏว่าเงิบ ต้องเปลี่ยน TF ในการ monitor ทีเดียว ฮ่าๆ

โดยที่ตัวที่เลือกเล่นก็เป็นตัวที่เราทำ Grid Hedging ในพอร์ตส่วนตัวอยู่แล้ว นั่นก็คือ NZDCHF นี่เอง ก็เห็นว่ามันวางเงิน ง่ายดี $670 ต่อ 0.01 lot แบบ Leverage 1:1 เราก็กะใช้ตัวนี้แหละเป็น Base ในการสอบ แล้วค่อยเอากำไรสัก 30% ไป leverage แบบมี stop loss ซึ่งเค้าให้ปิดด้วยมือ

พอสแกนกราฟแล้วในพอร์ตของ #ทีมบี ยังไม่มีใครหวด NZDCHF เลยยิ่งชอบ ฮ่าๆไปปักหมุดก่อนเลย ดู swap ตัวนี้ของ Alpari แล้ว swap ฝั่ง long = 0.63 ส่วน swap ฝั่ง short = -0.64 อืม ใช้ได้ๆ

แล้วก็ขอแปะกราฟ weekly ไว้ก่อน เพื่อเตือนความจำ เราว่ามันมาอยู่แถวนี้สักพักละ



ถ้าซูมดูก็คิดว่ามันจ่อๆ แม้จะเป็น Bridge ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เอาน่ะ ลองวาง model แล้วกัน


จากนั้นก็มาเจอเงิบใน TF M1 , M5 โดน spread ส่งไปอยู่ซะยอดดอยเลย 555 เลขเปลี่ยนมา monitor ที่ TF H1 แทน รอมัน Run ไป เงิบก็รอโซนใหม่ หรือหาตัวใหม่


ขณะที่พิมพ์อยู่ก็หลุดดอยแระ ฟลุ๊คมาก ถถถ กำไร 30 cent ปล่อยมันไป เล่นตามแผน คือ รอ MA เส้นเล็ก cross กันกลับมาค่อยปิด position ถ้าไม่มีกำไรก็ปล่อยไว้งั้นแหละ หากำไรมาปลดเอา จบ.

Monday, April 18, 2016

0444 : Note การดู Mudley Channel ตอน How to observe market from micro account


Note การดู Mudley Channel ตอน How to observe market from micro account

Link Youtube : https://youtu.be/YWYJ7rkYFhE

คลิปนี้พูดเรื่องการใช้ micro account , cent account ในการสำรวจตลาด , ทดสอบ strategy ของเรา แต่ก็ออกทะเลไปในส่วนของ TA ซะเยอะอยู่ครับ มีพูดถึง MACD , Elliott Wave , RSI ด้วย


เริ่มที่ ข้อดีของ micro account คือ
1. ใช้เงินลงทุนน้อย ในตอนที่เรายังไม่มี exp เช่น เปิดพอร์ตด้วยเงิน 3,000 บาท มันให้อะไรเราได้มากมาย (เรียนรู้แบบ save cost)
2. หากมีวิธีคิดที่ถูกต้องจะเก็บ exp ได้นาน (ช่วงทดสอบ strategy ของเรา)
3. ใช้ในการ Test มุมมอง อยู่ถูก Trend หรือไม่ ?


สิ่งที่จะช่วยให้เทรดเดอร์อยู่ในตลาดได้ คือ ความคิด
พวก spread หรือ โบรค ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
การที่เราเจ๊งแล้วโทษโบรค = เล่นบอลแล้วโทษว่ารองเท้าแย่กว่าเพื่อนๆ

การเลือกอาจารย์ที่จะเรียนก็สำคัญ ต้องมอง Risk/Reward ด้วยว่าคุ้มค่าไหม ?


พี่ต้านชอบใช้ Port Cent ที่เป็น unit trade เพราะคำนวณเงินง่ายดี


จากนั้นก็จะเป็นช่วงพูดถึง MACD...
MACD ต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง Histogram และ Average
เวลาจะเทรดอะไร ให้หาเหตุการณ์ที่ยากที่จะเกิดขึ้น (พี่ต้านเรียกว่าจันทรุปราคา) เพื่อ Test Strategy

สิ่งที่ยากที่จะเกิดของ MACD...
1. จุดตัด 0
2. จุด Top
3. จุด Bottom
แต่จุด Top กับ จุด Bottom นั้น เราไม่รู้ มันก็จะเหลือแค่จุดตัด 0

MACD อยู่ที่จุดตัด 0 ได้นานแค่ไหน ? = (จันทรุปราคา ไม่คงอยู่ตลอดไป)

TA ... ใช้หา event ที่มันเกิดได้ยาก -> พวก option trader เข้า action เพราะรู้ว่ามันจะฉ๊กออกจากจุดนั้นแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่ามันจะไปทิศทางไหน

ถ้าเข้าใจ Indicator , เข้าใจ Quant สามารถทำเป็น Linear ได้


คนที่ใช้ TA มักจะมีอารมณ์หลอน ... กลัวผิด ทำให้ มีข้ออ้างเยอะ (รอดูก่อน รอสัญญาณ รอ confirm) ทำให้เอา stop loss มาใช้

แต่ TA ไม่ใช่เรื่องของการ predict มันมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้น ต้องตามด้วย tactic ที่จะใช้ กับ strategy นั้น

TA หาเหตุผิดปกติ -> คนที่เชื่อใน TA ก็จะเป็นแรงส่งให้ TA อีกต่อนึง เช่น MACD ตัด 0 ก็จะมีคนตาม ... แต่การตัดสินใจมีผิดมีถูก หากผิดก็จะเรียกว่า False Signal


สำหรับพี่ต้าน TA ให้จุด Take Action ที่ดี = จังหวะที่ไม่มีบ่อยมากนัก

TA หัวใจของมันคือ จังหวะ


เข้าใจ TA ขั้นต่อมา คือการสร้าง Tactic แต่ต้องผ่าน Require พื้นฐานก่อน


Require พื้นฐาน
1. สร้าง system ที่ generate cash flow สม่ำเสมอ
2. คนที่ไม่มีพื้นฐาน จะกังวลเรื่องถูกผิด เพราะไม่มีระบบคอย support
3. ตัวอย่างเช่น กำไร $100 แบ่ง $30 ใส่ micro account เอาไปเล่น trend follow ... พี่ต้านยกตัวอย่าง เปิดกราฟ EURJPY ซึ่ง MACD TF Month กำลังตัด 0 ลงมาพอดี ก็แบ่งไปเล่น Short Bias 6 นัด จัดกระสุนแบบ สั้น 2 , กลาง 2 , ยาว 2 ใช้เงินทั้งหมด 740 yen



แล้วพี่ต้านก็พาออกทะเลไปยัง Elliott Wave (ซึ่งผมก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนะครับ แนะนำให้เปิดดูกันเองดีกว่า 555)

Elliott Wave = คลื่นทางจิตวิทยา ไม่ได้มี 5 คลื่น ส่วนจะมีกี่คลื่นนั้นขึ้นอยู่กับจิตวิทยาของคน

การตีความ จะแบ่งเป็น Wave หลัก & Wave ย่อย

Wave หลัก = คน Agreement

การดู Elliott Wave ต้องเอา Moving Average ไปจับเพื่อดูว่ามันเป็น Wave หรือไม่ด้วย

การนับ Wave ประกอบด้วย Wave หลัก ต้องมี คลื่นน้ำขึ้นและคลื่นน้ำลง (ขาขึ้น+ขาลง)

การดูคลื่นต้องดูภาพรวม ดูมุมกว้างๆ Time Frame ใหญ่ๆๆๆ

การใช้ MA จับ Wave นั้น เมื่อไหร่ที่ Price เริ่มต่ำกว่า MA และ Reset High เดิมไม่ได้ = การกลับตัวเป็นขาลง (พี่ต้านใช้คำว่าน้ำลง) -> Trader ที่มีประสบการณ์สูงจะเริ่มเปลี่ยน strategy

การวิ่งของราคาที่ไม่เคยลงมา Test MA เลย = คลื่นมวลมหาประชาชน หรือ Wave 3 นั่นเอง

การวิ่งของราคาใน Wave 1 จะมีการกลับมา Test MA บ้าง เป็นการขึ้นแบบไม่ Strong เนื่องจากคนยังกลัวอยู่...

ส่งผลให้ Wave 2 นั้น จะลงแรงและเร็ว (Reset เร็ว) จากความกลัว แหยงๆ ช่วงก่อนหน้า Wave 1

การเริ่มนับคลื่นนั้น จะนับก็ต่อเมื่อมันแซง (สูงกว่า) คลื่นเก่าเท่านั้น

Wave 4 = การล่อลวง หล่อกล่อซะส่วนใหญ่ ซึ่งจะตามมาด้วย Volatility

Wave 5 พี่ต้านยังไม่บอก รอ S&P เฉลยก่อนแล้วจะมาบอก...

MA จะเป็นตัว Confirm Wave (เมื่อ slope เปลี่ยน)

Wave A , B , C จะมาในคลื่นย่อย คือตั้งแต่ Time Frame Day ลงมา

หลังจาก Wave 5 ไปแล้ว มันคือการฟอร์มตัว

คลื่น... มีขึ้น มีลง เท่านั้น / ตอนหลังๆก็พูดซ้ำอีกทีว่า ชีวิตมันก็มีแค่ Wave ขึ้น กับ Wave ลง

จบ Elliott Wave ครับ (พี่ต้านบอกระวังธาตุไฟเข้าแทรกด้วยนะ)

เทรดเดอร์มักจะ Buy ที่ยอด Wave  เพราะมองแค่ว่าราคาร่วงลงมาเยอะแล้ว จากความผันผวนในภาพเล็ก



การ Predict ทำให้เครียด -> คิดมาก
Predict เป็นเรื่องของคนมีตังค์ หรือเงินเหลือ -> ไม่อยากให้ Predict เพราะไม่อยากให้เสียตังค์

การ Predict นั้นใช้ Energy สูง และต้องมีจุดที่คิดผิด ที่จะต้องมา Reset
ถ้าถูกเรื่อยๆ เราก็จะเกิดความคิดว่าเราเก่ง ทำให้เกิด Ego
แต่ถ้าผิด ก็ถูก Reset , Stop Loss ... และวันดีคืนดี ก็จะมีคนรู้แกว เล่นกับ stop loss ของเรา


ความเชื่อของเรา ออกมาเป็นพอร์ตของเรา ออกมาเป็น Resume ของเรา = ชะตากรรมของเรา ... เลือกที่จะเชื่อแบบไหน ก็ต้องยอมรับผลของมันด้วย


ตอนแรกพี่ต้านจะพาออกไปหา Fibo ด้วย แต่ก็กลับเข้าฝั่งก่อน ทิ้งไว้แค่ว่า มันเป็นเหมือน MA แบบขีดเส้น...



ต่อด้วยการออกทะเลไปยัง RSI

RSI เหมือนการทอยเหรียญ
เช่น RSI (10) = การทอยเหรียญ 10 ครั้ง
RSI 70% = ออกหัว 7 ครั้ง หรือถ้าในตลาดก็คือ ราคาขึ้น 7 วันใน 10 วัน

RSI = การทำสถิติทอยเหรียญ หรือการออกดำกี่ครั้ง ออกแดงกี่ครั้งในรูเล็ตต์ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เรา Take Action

RSI จะบอกว่า มันขึ้น/ลงมานานหรือยัง ในรอบ ... วัน (คล้ายๆขึ้น = ออกหัว , ลง = ออกก้อย)

วิธีการ Test RSI ให้รู้ว่าตลาดเป็น Trend หรือไม่เป็น Trend คือ...
ถ้าเป็น Trend ... RSI จะขึ้นมากกว่าลง Test ด้วยการใช้ position น้อยๆลองยิงไป ถ้าถูกจะได้ระยะ เพราะเจอ Trend ราคาจะวิ่งแรง

ตามตำรา RSI เหมาะกับ Swing Trade

RSI ถ้าเจอ Trend มันจะติดลมบนตลอด (ติดโซนบน) ... แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็น Trend จริงหรือไม่ ... ถ้ามันเป็น Trend จริง มันต้องขึ้น (อยู่ในโซน 70 ตลอด) และต้องขึ้นมากกว่าลง ... ส่วนขาลงนั้น มันต้องลงมากกว่าขึ้น

P'ต้าน ใช้วิธี ซื้อ position หรือ option ณ Zone (เวลาราคาวิ่งชนกรอบ) RSI


จากนั้นออกทะเลต่อมาที่ Money Flow Index อีกนิดหน่อย โดยพี่ต้านแนะนำว่า ไม่ควรใช้ใน MT4 เนื่องจาก Money Flow Index นั้นมันต้องใช้ Volume มาเกี่ยวข้อง (มันคือ Ratio ราคาเมื่อเทียบกับ Volume) ซึ่งใน MT4 มันไม่ใช่ Volume ที่แท้จริง แนะนำให้ใช้ในตลาดหุ้นจะดีกว่า


เปิด War = ไม่รักพี่ต้าน ... ขออยู่เงียบๆเป็นวิทยุชุมชนดีกว่า ... มุมมองใครก็มุมมองมัน
สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราอยู่ได้คือ การไม่เป็นศัตรูกับใคร



การ Back Test ...

ทำไมบาง Fund ต้องจ้างนักวิทยาศาสตร์ หรือ นักคณิตศาสตร์ ถ้าทำ Back Test หรือระบบ Static ทั่วๆไปมันก็ ok มันก็ไม่ต้องจ้าง ... แต่มนุษย์มีการปรับตัวตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่เราชนะบ่อยๆ แสดงว่าเงินอยู่ที่เรา เช่น เดือนนี้พี่ต้านได้กำไรเยอะ ก็ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เปลี่ยนแนวคิด เพื่อไม่ให้อยู่นิ่ง ... ถ้าเรายึดติดกับแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง วันนึงมันอาจจะใช้ไม่ได้ผลก็ได้

ผลการเทรด ... ตลาด เป็น ไดนามิก มันอาจจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็ได้

Back Test ใช้ได้... แต่อย่ายึดติด

อย่าแสวงหา system ที่ดีที่สุด -> system ที่แย่ที่สุดในบางเวลามันอาจจะดีที่สุดก็ได้ มันกลับไปกลับมาตลอด


ทำอย่างไรเราถึงจะเอาตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลง movement ของตลาด เมื่อตลาดเปลี่ยน system เดิมที่เราใช้ pay off มันอาจจะไม่สูงสุดแล้ว ตาม Game Theory



สิ่งที่ดู Volatility ได้ดีก็คือ Positions

Trader ชอบ Volatility -> ถ้าวาง close system จะได้ return สูง

positions เล็ก ให้วิ่งหา Volatility ดูตัวที่ price movement แรงๆ แล้วใช้ port micro เก็บ Vol -> trend ไม่ได้เปรียบเท่าไหร่ เพราะเงินน้อย

positions ใหญ่ ให้วิ่งหนี Volatility เนื่องจากอาจจะทำให้เจอ Draw down หรือ cut loss



Port Micro
- ทำให้เราเห็น information ของตลาด
- ฝึก trading
- ถ้าเรามีฝีมือดี เราต้องสร้าง positions ขึ้นไปได้
- ถ้าเทรดได้ดี $10 -> $100 ก็ต้องทำได้อยู่ดี
- ถ้าเราเทรดไม่ดี จาก $10,000 ก็เป็น $100,000 ไม่ได้
- อยู่ที่การเทรดของเรา แค่ลดขนาด Ratio ลงมา แล้วทำเหมือนการเทรดปกติ
- อย่ากลัว spread เอาชนะมันให้ได้ กลัวอะไรนักหนา!
- ถ้ากลัว spread แสดงว่า strategy เราสั้นมากๆ ?
- มันถือเป็นการ Forward Test
- วางเงินให้ถูก Cent Account $100 เอาอยู่สบาย


ประสบการณ์ , Knowledge เราอยู่ตรงไหน Realize มันออกมา


เราไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเดียว หรือ ความเชื่อแบบเดียว โอกาสที่จะยืดหยุ่นปรับตัวก็ยาก การยึดติดมากๆอาจจะทำให้เรากลายเป็นเหยื่อก็ได้


คิดวางแผนให้รอบคอบ ไม่จำเป็นต้องใช้ close system ก็ได้ มีหลายทางเลือก แต่เราต้องเข้าใจว่าจะใช้ทางเลือกไหน


อ่านตอนก่อนหน้าตรงนี้นะครับ 
Note Mudley Channel ตอน การพัฒนาตัวเองกับปลาหมึก
Note Mudley Channel ตอน เทรดเดอร์ยุคใหม่และโอกาส
Note Mudley Channel ตอน Principle ของเทรดเดอร์


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

Saturday, April 16, 2016

0443 : Note การดู Mudley Channel ตอน Principle ของเทรดเดอร์


Note ย่อการดู Mudley Channel ตอน Principle ของเทรดเดอร์

Link Youtube : https://youtu.be/doXSYVxjU0s

ตอนนี้พี่ต้านจะเริ่มโดยบอกว่าช่วงนี้ (ช่วงเวลาที่ Live) ไม่ค่อยเทรดแล้ว เพราะเพิ่งได้กำไรเยอะมา (เดือนเดียว excess cash flow ประมาณ 8%) ก็เลยเข้าสู่โหมด slow play โดยแนะนำว่า ... ถ้ากำไรเยอะๆ ควรจะ slow play เพราะถ้าเล่นต่ออาจจะเล่นหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว


เข้าเรื่องเทรดเดอร์ ... ก่อนที่จะเป็นเทรดเดอร์ ต้องเข้าใจว่าเทรดเดอร์คืออะไร รวมถึงรู้จักและเข้าใจในสินค้าที่จะเทรด เช่น forex , หุ้น , option มันคืออะไร เรารู้จักมันดีหรือยัง

close system นั้นช่วยให้เรามี risk management ที่ดีก็จริง แต่ไม่ได้ช่วยให้เราเป็นเทรดเดอร์ที่ดี มันแค่ช่วยให้เราอยู่รอดได้นานจน realize principle ของเทรดเดอร์

การเป็นเทรดเดอร์ ต้องมีประสบการณ์ ถึงจะเข้าใจ และการมี risk management ที่ดี ช่วยให้อยู่ในตลาดได้นาน ทำให้เราได้รับ exp และเข้าใจ principle


อันดับแรก ตัวเราต้องพัฒนาตัวเองก่อน...
จะรู้ได้ยังไงว่าอะไรเหมาะสมกับเรา ?
ก็ควรจะมีคนแนะนำที่ดี เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการคลำหาเส้นทาง (ใช้ความพยายามผิดทิศ)

ควรอ่าน principle ของ Ray Dalio เพราะว่าความคิดของเรามันอาจจะมีเมล็ดพันธุ์ หรือ Bias บางอย่างที่ไม่ได้สอดคล้องกับธรรมชาติหรือความเป็นจริง ซึ่งมันจะทำให้เราหลงทิศ

ถ้าเรามี principle ที่ดี เราก็จะมีทิศทางหรือการฝึกฝนที่ไม่ผิดทาง


การเป็นเทรดเดอร์ต้องคิกก่อนว่า "ทำไมคนถึงขาดทุน"
หลักๆมักจะมาจากอารมณ์ไม่กี่อย่าง เช่น ความโลภ ... เราก็ต้องไปเจาะดูว่า ความโลภเกิดจากอะไร (ความโลภของเรา) ... เกิดจากการ ไม่วางแผน , ความอยากได้อยากมี ... ความโลภของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะมีมุมมองในความโลภต่างกัน

จากนั้นก็มาคิดต่อว่า สิ่งที่สูญเสียไปจากความโลภนั้น จะมีอะไรบ้าง ... คุ้มไหมถ้ามันผิดพลาด


Principle ของแต่ละคนนั้นร่างมาไม่เหมือนกัน
เราต้องมี Principle ของเรา
ต้องคิดว่าคนทั่วไปเสียหายยังไงบ้าง เช่น จากความโลภ , ความกลัว , ความกดดัน ฯลฯ
ถ้าเรารู้จุดอ่อน = การเข้าใจตัวเอง ... อย่าเพิ่งรีบวิ่งไปหาวิชาข้างนอก
พอเข้าใจตัวเรา แล้วค่อยเข้าใจคนอื่น ... เค้าคิดอะไร , เค้าเจ๊งเพราะอะไร


จากประสบการณ์ของพี่ต้าน คนส่วนใหญ่จะขาดทุนเพราะ คิดว่าตัวเองคาดเดาตลาดได้ (จากงานวิจัย) ซึ่งมันเป็นจุดเริ่มต้นของ Ego คล้ายๆเป็น mental illness ซึ่งเทรดเดอร์ที่เล่น style predict market จะมีอาการป่วยทาง mental ทำให้ใน Fund ต้องมีจิตแพทย์คอยดูแล (ปรับ mindset)

เวลาถูกทางมากขึ้นๆ เราจะเกิดความเชื่อ คล้ายความศรัทธา สังเกตุจากการท้าไฝ้ว เปิดวอร์ของสายต่างๆ

การเดาตลาดนั้น เดาได้ แต่อย่าให้มันมาเป็นนายเรา อย่าให้มันเป็น god ของเรา


ทุกระบบมีจุดอ่อน... close system ก็มีจุดอ่อน ถ้าเลือก product ที่มันแย่ เป็น 0 ได้ หรือโดน swap ที่โหดร้าย


พี่ต้านใช้ TA ตลอด แต่ไม่ได้เชื่อจนถือว่ามันเป็นศาสดา แต่ก็มีวินัยในการทำตามระบบ


เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าเราเริ่มรู้แล้ว แสดงว่า เราเริ่มจะมี ego ... ถ้าเจอฟีลลิ่งแบบนี้ให้เคลียร์อารมณ์ของเราออกไปก่อน ค่อยกลับมาเทรด จะระบายวิธีไหนก็แล้วแต่ถนัด


ถ้าใช้ close system แล้วเริ่มถูก -> เอาเงินไปต่อยอดได้ -> จะมีความรู้สึกบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป ... จับ moment ที่ทำได้ดีไว้ ... ถ้า moment เปลี่ยนแสดงว่ามีอะไรบางอย่าง ... เราต้องพยายาม realize ตัวเรา


เราควร maintain health ก่อน อย่างแรกเลย ! ... เพราะเป็นรากของ mental


ปัญหาของการรู้
-> เรารู้เพราะเราคิดว่าเรารู้
-> เรารู้เพราะอ่านมา
-> แต่จริงๆแล้ว เรารู้จริงๆหรือ ?


Technical คืออะไร ?
คนที่คิด TA คนแรก เค้าคิดขึ้นมาเพื่ออะไร ?
-> เค้าต้องการเห็นสัญญาณที่ผิดปกติไปจากเดิม
-> แท่งเทียน คิดมาเพื่ออ่านว่าคนในตลาดคิดอะไร , จับอารมณ์ player คนอื่นๆในตลาด

การจะเข้าใจ TA หรืออะไรก็ตาม ต้องเข้าใจไปที่ Concept ของมัน ลงลึกไปยังรากฐาน อย่าไปจำ ... ไปจำก่อน = เดินพลาด

TA = Concept ของการคิดหาช่องว่าง หรือความผิดเพี้ยนของตลาด
เมื่อไหร่ที่เอา TA ไป predict ก็คือเราไม่เข้าใจ concept ของ TA

Concept ของ TA
1. จับความผิดปกติ
2. อ่าน player , อ่านดีลในตลาด

ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็น uptrend ราคาต้องอยู่เหนือ MA ... แต่ถ้าราคาอยู่เหนือ MA ไม่จำเป็นต้องเป็น uptrend ... ประโยคนี้เราจะเล่นตาม Fact ยังไง ?

เราชอบคิดในทาง predict แค่ทางเดียว ทำให้ไม่ได้มองในมุมอื่น

TA ที่เก่งๆ -> เจ้าของ Winton Future เค้าบอกว่า "trend มันก็ง่ายๆ ถ้าผิด trend ก็เสียตังค์" -> พี่ต้านเลยเอามาทำ 3 Steps Model คือ ผิด 3 ครั้ง หยุดยิง แล้วปล่อยมันไว้เป็นเครื่องเตือนใจ

คิด -> เข้าใจ -> ความจำจะตามมา
แต่คนไทย จำ -> ไม่เข้าใจ -> ไม่มี Ask why (เช่น การท่องจำรูปแบบแท่งเทียน)

ไม่เข้าใจ -> ทายถูก -> ความเชื่อ -> ถือเป็นศาสดา


Step การสร้างพอร์ต จาก $100 -> $1,000 -> $5,000 -> $10,000
ถ้าถูกทางให้ Focus อยู่กับมัน...


Principle ของเทรดเดอร์ ... กระจายหลาย strategy ให้ได้ ... คนส่วนมากทำไม่ได้ ส่วนใหญ่เทรดได้แค่ strategy เดียว ถ้าทำได้เราก็เหนือ Average แล้ว


เล่นสั้น = ทำ CF
เล่นกลาง = ทำ Ratio ให้สวย
เล่นยาว = ฺBingo!

เช่น มี 6 นัด
แบ่งเป็น เล่นสั้น 2 นัด , เล่นกลาง 2 นัด , เล่นยาว 2 นัด

ถ้าติดแสดงว่าผิด trend ... design ตั้งแต่แรกเป็น close system ไปเลย ... ผิดก็คือผิด ก็ไปมองตัวอื่น ถ้ามันกลับมาก็แสดงว่า alert ดัง ... เล่นง่ายๆ "ขายให้สูงกว่าซื้อ"


Fund Manager ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ... แต่เราจะเติบโต จะ Build ต่อไปอย่างไร ?

คนคิดดี -> เติบโต -> เพราะไม่มีอะไรต้องเครียด


เวลาเทรด มีกำไร ก็ดึงทุนออก เหลือแต่กำไรไว้เล่นในตลาด = ไม่เครียด


เขียน Principle ของตัวเอง -> ตัวเรามีจุดอ่อนอย่างไร ?


Close system = ไม่ล้างพอร์ต ไม่เติมเงิน CF สม่ำเสมอ ... ดึง CF ออกให้กลายเป็น True Alpha


จบ...



อ่านตอนก่อนหน้าตรงนี้นะครับ 
Note Mudley Channel ตอน การพัฒนาตัวเองกับปลาหมึก
Note Mudley Channel ตอน เทรดเดอร์ยุคใหม่และโอกาส


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

Friday, April 15, 2016

0442 : Note การดู Mudley Channel ตอน เทรดเดอร์ยุคใหม่และโอกาส


อันนี้นั่งดูเมื่อวาน เลยเอามาลง blog ไว้เผื่ออ่านทบทวน ส่วนของวันนี้นั่งดูไปได้ 1 ตอน ค่อยเอาลง blog พรุ่งนี้แล้วกันเนอะ

Mudley Channel ตอน เทรดเดอร์ยุคใหม่และโอกาส

Link youtube : https://youtu.be/ZaJZu8_NoEA

เริ่มต้นด้วยตารางการฝึกของเทรดเดอร์ที่แคมป์ปัจจุบัน
ตื่นนอน 7 โมง เทรดจนถึง 11 โมง จากนั้นก็ทานข้าวแล้วก็ว่ายน้ำ 30 นาที - 1 ชั่วโมง แล้วก็ NAP ตอนบ่ายโมง บ่าย 3 ตื่น ทำธุระส่วนตัว กลับมาฝึกอีกทีตอน 18.00 น.

พี่ต้านเน้นเรื่องการใช้เวลา ... ใช้เวลาให้คุ้ม พัฒนาให้ไว เพราะเวลาทุกนาทีมีค่า

จากนั้นก็จะพูดถึงเรื่องโอกาส ... ปัจจุบันทักษะเฉพาะด้านมีประโยชน์มาก และ โอกาสก็เข้ามาเสมอ เช่น Etoro มี Project ต่างๆ เมื่อมีคนมา follow ก็จะมีรายได้เข้ามา แต่... จะทำยังไงให้คนมา follow ล่ะ ? ... ก็ต้องเก่ง มีผลงานที่ดี พอเด่นขึ้นมาคนก็มา follow เอง ... พวกบัญชี PAMM ก็เหมือนกัน พอเก่งแล้วก็มีคนเอาเงินมาลงทุนด้วย ... เงินน้อยก็เริ่มได้ อย่างพี่ต้านก็เริ่มเทรดใน Etoro แค่ $300 และไม่ได้เล่นเสี่ยงด้วย มี Risk Score ที่ต่ำ

ยกตัวอย่างการสร้าง close system ในโบรคที่เป็น PAMM Account เพื่อเป็น Resume + Make Money

จะทำอะไรก็ต้องทำให้ดี แต่ถ้าไม่ฝึก ก็จะไม่เกิดทักษะ


การไม่ล้างพอร์ตให้อะไรหลายอย่าง
- learning something เพราะอยู่ในตลาดได้นาน ย่อมได้เรียนรู้ ถ้าล้างพอร์ตบ่อยๆก็เริ่มใหม่ตลอด ไม่ได้เรียนรู้สักที
- ช่วยชาติ ไม่ให้เงินไหลออกนอกประเทศ
- ได้คิด ได้แก้ปัญหาต่างๆ loop การคิดก็จะเปลี่ยนไป
- แค่ไม่ล้างพอร์ตก็อยู่เหนือ Average แล้ว เพราะคนเล่น Forex ทั่วไป 10 คนล้างพอร์ตเสีย 5 คน

ไปสู้กับฝรั่งรายย่อยให้ชนะ ฝรั่งก็ไม่ได้เก่งอย่างที่เราคิด เพราะเค้าก็ไม่ค่อยมีคนสอนเหมือนกัน อย่าเพิ่งรีบข้ามไปสู้กับสถาบัน

พื้นฐานที่สุดก็คือ ไม่ล้างพอร์ต อย่าให้ main capital หาย , อย่าให้โบรคหลอกให้เราใช้ leverage สูงๆ โบรคมีลูกตุกติกหลายแบบ แล้วแต่ลูกเล่นของเค้า เลือกให้ดีๆ

เพราะหากโมเดลเราไม่ล้างพอร์ตแล้ว เรื่องโบรคก็สำคัญ ควรเลือกโบรคที่มั่นคง Regulate ดีๆ


Mental ดี จะฝึกอย่างไร ? ... พี่ต้านไล่ไปออกกำลังกาย !


ต้องรู้จักความเสี่ยง ... ความเสี่ยงคืออะไร ?
เทรด Forex ให้คิดว่าไปแลกเงินกับ Super Rich แล้วจะไม่เสี่ยง เพราะ Forex คือ การแลกเปลี่ยนเงินตรา

เงินจะมาพร้อมกับความสามารถและทักษะ ถ้าเก่งเดี๋ยวเงินมาเอง


Trend = กระแสน้ำ ... มัน move ไปทางไหน
TA = ทิศทางลม ... อย่ายึดติดทิศทางลม จนลืมมองกระแสน้ำ


ทำเงินบน Principle = ไม่ล้างพอร์ต

คิดเป็น ... สร้าง Tactic ได้
แต่ถ้ามีแค่ Tactic ... อาจจะคิดไม่เป็นก็ได้

Close System , KZM เราเข้าใจแนวคิดไหมว่าทำไมต้องทำแบบนี้ , ทำไม MM แบบนี้ และ จะสร้างกระแสเงินสดไปทำไม ?


การเทรน ... ฝึกเพื่อให้เราเป็นนายของร่างกาย จากเดิมที่ร่างกายเป็นนายเรา เช่น ง่วงนอนไม่เป็นเวลา แต่ถ้าฝึกไป 3-6 เดือน Energy จะมากกว่าคนอื่น พอ Capacity ต่าง Learning Curve ก็ต่าง


จะเล่นเกมการเงิน ... ต้องคิดและเข้าใจได้ดีกว่าคนอื่นๆ


อ่านตอนก่อนหน้าตรงนี้นะครับ Note Mudley Channel ตอน การพัฒนาตัวเองกับปลาหมึก


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

Thursday, April 14, 2016

0441 : Diary 14 เม.ย. 2559


วันนี้ไม่ได้ออกไปไหน อยู่บ้านนั่งดู Mudley Channel ย้อนหลัง ดู + จดโน๊ตได้ 2 ตอน เอามาลง blog สักตอนนึงก่อนก็แล้วกัน เผื่อว่ามีคนมาอ่าน เพราะคลิปเยอะมาก เคยอ่านแต่ของพี่ Tawan Ubonboy ทำ Review สรุปไว้ ขอแบ่งปันคืนบ้างละกันครับ


Mudley Channel ตอน การพัฒนาตัวเองกับปลาหมึก

https://youtu.be/Cbnzaf1sGQI

คลิปนี้พี่ปลาหมึกพูดเรื่องการพัฒนาตัวเอง โดยให้เริ่มจากคำถามว่า เข้าตลาดมาทำไม ? ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน

จากนั้นก็จะเป็นเรื่องของความทุ่มเท และ ความสม่ำเสมอ เราทุ่มเทเรียนรู้ได้แค่ไหน ส่วนความสม่ำเสมอก็คือการวางแผนอยู่รอดให้ได้ก่อน (ไม่เจ๊งไม่ล้างพอร์ต) มี Cash Flow สม่ำเสมอ

เริ่มแรกอาจจะใช้เงินให้น้อยๆ หรือ เริ่มจาก Demo

จากนั้นก็ค่อยๆ Build Port

บางคนมีรายได้จากการทำงาน ถ้าล้างพอร์ตบ่อยๆ ทุนหาย ก็เหมือนเสียเวลา ถ้าทำพอร์ตให้อยู่รอดได้ ก็แยกเป็น Close System 1 , Close System 2 , ... ไปก็ได้ ถ้าไม่ล้างพอร์ต ยังไงมันก็ค่อยๆโต

การมีฐานที่มั่นที่มั่นคง จะทำอะไรต่อก็ทำได้ดี

ยกตัวอย่าง การวางระบบอมตะ (ที่ Gen CF ได้เรื่อยๆ) แล้วเอากำไรไปต่อยอด ทำ Port PAMM (ใช้ skill โชว์ความสามารถให้คนมาลงทุนด้วย)

ส่วนของพี่ปลาหมึกนั้นเน้นที่หุ้น เพราะชอบอ่านมุมมองของผู้บริหาร เพื่อเอามาปรับใช้กับการทำงาน โดยการเทรดจะเริ่มที่ Close System บน ETFs แล้วเอากำไรไทำ Close System หุ้น Blueship อาจจะใช้ Option Short Put , Short Call ช่วย จากนั้นก็ไปหุ้นที่เสี่ยงมากขึ้น

เราควรเริ่มจากการเป็น Basic Master พยายามอยู่กับมันให้ได้นานๆ

ใช้อะไรที่มัน Simple เพราะในวันที่ร่างกายเรา Condition ไม่พร้อม เราก็ยังสามารถใช้มันได้ ในตลาดไม่มีคะแนนท่ายาก


การฝึก ควรจะเริ่มจาก ...
1. ความสนใจของเรา เราสนใจอะไรเป็นพิเศษ
2. จุดแข็งของเราคืออะไร
ความสนใจ ความชอบของเรา มันคืออะไร แล้วเราทำมันได้ดีไหม จรงนี้บางคนอาจจะทำสิ่งที่ชอบได้ไม่ดีก็ได้นะ ถ้ามันไม่ work จริงๆก็ลองมองที่จุดแข็งของเรา ว่าเราทำอะไรได้ดี แต่ถ้าสิ่งที่ชอบเป็นจุดแข็งด้วยอันนั้นยิ่งดี

การหาความรู้อีกแบบก็คือ ให้คนที่เก่งกว่าเรา แนะนำ Keyword ในการหาความรู้ให้เรา ... แล้วเราเอา Keyword ไปค้นคว้าหาความรู้เอง มันจะช่วยเปิดมุมมองให้เราได้กว้างขึ้น

ส่วนเรื่องการเทรด พยายามเก็บ Stat การเทรดของเรา เช่น 100 order win rate เท่าไหร่ , Risk/Reward เป็นอย่างไร


การเทรด ดูพื้นฐานเพื่อมองภาพใหญ่ Long term
ส่วนกราฟก็เอาไว้ช่วยดูใน Short Term
การเทรดบนภาพใหญ่นั้นช่วยให้เราได้เปรียบ ถ้าติดก็ติดไม่นาน แต่อาจจะตั้งไว้ว่า ผิดกี่ครั้งถึงจะหยุด เพราะถ้าถูกทางมันต้องไม่ติดนาน


การฝึกเทรด... ไม่ได้เป็นเรื่องของการฝึกเทรดเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นการฝึกตัวเราเองทั้งหมดด้วย เช่น การมีวินัย ต้องมีวินัยในชีวิต ไม่ใช่แค่การเทรด การมีวินัยกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ จะช่วยหล่อหลอมตัวเราให้เป็นเทรดเดอร์ที่ดี

คนที่มีวินัยอยู่แล้ว จะเป็นเทรดเดอร์ที่มีวินัยได้ เพราะไม่จำเป้นต้องให้คนมาสอน ก็จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปได้


สรุปคือ เป้าหมายให้ชัดๆๆ (เป้าหมายจะสร้างวินัยให้เรา) และ หาตัวเองให้เจอ ความชอบ ความถนัด จุดแข็ง


Principle = สัจธรรม ... อ่านให้จบ จะได้ไปอ่านเล่มอื่นต่อ



http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

Wednesday, April 13, 2016

0440 : Diary 13 เม.ย. 2559


วันนี้ช่วงเช้าไปทำบุญที่วัดใกล้บ้าน แล้วก็ขับรถไปส่งภรรยาที่ห้องเพื่อไปเอาของที่ลืมไว้ จริงๆก็น่าหัวเสียเหมือนกัน แต่เราก็รู้ทันใจตัวเองแหละ ช่วงนี้เริ่มมีมโนภาพของ scenario thinking ขึ้นมาบ่อยๆ ประมาณว่า ถ้าเราพูดแบบนี้ จินตนาการมันก็จะเกิดขึ้นในใจว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ผลลัพท์มันจะออกมาทางไหน พอเราคิดหลายๆแบบ มันก็จะเห็นว่าทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ดี แต่ก็มีบางจังหวะที่ปรี๊ดขึ้้นมาโดยที่ไม่ทันรู้ตัวเหมือนกัน เช่น วันนี้ตอนไปวัด จอดรถแล้วมีคนมาจอดปิด ทำให้เราออกไม่ได้ เราก็เลยรู้สึกโกรธที่เขามาจอดรถแบบนั้น ซึ่งเรารู้สึกว่าเขาเห็นแก่ตัวมาก ทั้งๆที่รู้ว่าทำไปแล้วจะมีคนเดือดร้อนแต่เขาก็ยังทำ เลยพาลโวยใส่คนโบกรถของวัดไปหน่อย พอออกได้ก็รู้สึกว่าใจเต้นแรง และ ไม่อยากจะพูดอะไรกับใคร ...

วันนี้กลับมาดูตลาด Forex อีกครั้ง หลังจากที่ว่างเว้นจากมันไปนาน ปล่อยแค่ position run swap ไว้ อืม... ที่ไม่ดูตลาดก็เพราะช่วงก่อนหน้า เราแค่ไม่รู้สึกสนุกกับมันเท่านั้นเอง เลยหยุดดีกว่า ปล่อยหัวใจตัวเองดู ถ้ามันยังเรียกหาอยู่ก็แสดว่าเรายังรักมัน แต่ถ้าไม่... ก็จบ เทรดแค่หุ้นกะ USDTHB ก็ได้ อะไรงี้ 555 แต่สุดท้ายเราก็ยังคงกลับมาหามันอยู่นะ

ช่วงที่หยุดไปก็เอาไปทำอย่างอื่น เพราะงานประจำก็ยุ่งสัสเลย เพิ่งจะมาผ่อนคลายก็ตั้งแต่ต้นเดือน ได้มีเวลาอ่านหนังสือ เล่นเกมกับเค้าบ้าง ตลาดไทยก็แทบไม่ได้เทรดเลย อาศัยวาง pending order เอา แต่มันก็ทำให้รู้นะว่า base cash flow ของพอร์ตอยู่ที่เท่าไหร่

ช่วงนี้ก็พยายามรื้อฟื้นความรู้เรื่องบัญชี เพราะดูแล้วคงต้องเป็นตัวหลักด้านทำบัญชีของ Project ยึดครอง Productivity ที่ทำร่วมกับพี่สหาย ทำได้น่าๆ อันไหนไม่รู้ก็ถามน้องสาวละกัน น้องเราน่ะเกียรตินิยมนะ จะกลัวอะไร อิอิ


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

Tuesday, April 12, 2016

0439 : Diary 12 เม.ย. 2559


Update ชีวิตด้านการเทรดช่วงนี้หน่อยนึง หลังจากที่ใช้ Leverage กู้เงินมาสร้าง Port เดือนนี้กระแสเงินสดน่าจะเริ่มอยู่ตัวแระ สามารถ Cover การผ่อนชำระได้สบายๆ ส่วนที่เกินจากภาระผ่อนชำระรายเดือนก็วางแผนเอาไป Reserve ไว้สำหรับผ่อนชำระ 3 เดือน อันนี้ได้ไอเดียจากหนังสือ เกมเศรษฐีในชีวิตจริงของ พี่หนุ่ม Money Coach ก็เพราะเรามองพอร์ตหุ้นเหมือนอสังหาฯให้เช่า 1 ชิ้นอ่ะแหละ เหมือนเรากู้เงินมาทำบ้านเช่า แล้ว CF ที่ออกมาแต่ละเดือนก็คือค่าเช่า ถ้ามัน Cover ได้ก็จบ

เพราะงั้นสิ่งที่เราต้องรู้ก็คือ เดือนๆนึง model เราทำ CF ได้เท่าไหร่วะ Average ย้อนหลังไปหลายๆเดือนหน่อยก็จะพอรู้แระ ที่เหลือก็เป็นงานของการหาแหล่งเงินทุน ที่ต้นทุนเงินต่ำๆล่ะ ถ้าเจอที่ไหนให้ condition ดีๆก็สบายเลย ฮ่าๆ อย่างตอนนี้เราก็เสียดอกเบี้ยอยู่ 5.35-5.45% มันก็ถือว่าต่ำนะ ยิ่งช่วงก่อนๆมีพวก Soft Loan ดอกเบี้ย 3% นี่คนที่กู้ไปยิ่งสบายเลย

ช่วงนี้ก็เทรดเก็บ CF ไป แล้วก็ Reserve ไว้ให้พอค่าผ่อน 3 เดือน เพื่อลดภาระด้านจิตใจ จากนั้นจะเป็นการขยายโซน หรือว่าจะตัดชำระต้นเงินเกินการชำระปกติก็ค่อยว่ากันอีกที (แต่ใจนั้นก็เอียงไปทางขยายโซนแหละ ไม่ค่อยอยากรีบส่งชำระหนี้เท่าไหร่ ฮ่าๆ)

http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

Monday, April 11, 2016

0438 : Diary 11 เม.ย. 2559


หาหุ้นจาก Fundamental
หาจังหวะทดสอบสมมติฐานด้วย Technical
ใช้ Money Management ช่วยในการสร้างโอกาส

หากผิดทางก็เสียหายน้อย
ถูกทาง กดสูตรติดก็ปล่อยมันไปกับ Trend

ใช้กลยุทธ์ลดความเสี่ยง ลดต้นทุน
ที่สำคัญอย่าลืม รู้เท่าทัน ความคิดและจิตใจตัวเอง

http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

Monday, April 4, 2016

0437 : Diary 4 เม.ย. 2559


วันนี้นั่งจัดการ trade log ของพอร์ตหุ้นใหม่ ปกติออเดอร์ที่ปิดแล้วจะโยนมันไว้ในชีท cash flow ... ซึ่งก่อนหน้าเราไม่ได้ทำแบบนี้หรอก เราก็เก็บข้อมูลไว้ในชีทของหุ้นแต่ละตัว เพื่อดูการปรับต้นทุน ช่วงก่อนเราอยากจะลองไม่สนใจต้นทุนของหุ้นแต่ละตัวดู แล้วเปลี่ยนมาสนใจการดึงทุนของพอร์ต ก็เลยจับออเดอร์ที่ปิดแล้วมาโยนๆรวมกันไว้อีกชีทนึง


... แต่ก็นั้นแหละ หลังจากที่ทดลองมา มันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ข้อดีคือ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ซับซ้อน จัดการง่ายดี ดูแค่การดึงทุนของพอร์ตรวม ... แต่ข้อเสียก็คือ ไม่รู้ต้นทุนของหุ้นแต่ละตัว รวมถึงไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนทำเงินได้ดีหรือแย่ยังไง อันนี้เราว่าสำคัญ มันทำให้เรา re-invest ไม่ถูก ถ้าเรารู้ว่าตัวไหนทำเงินได้ดี เราก็สามารถเอา cash flow บางส่วนไป re-invest ได้


คิดไปคิดมา ตรูเปลี่ยนกลับไปใช้แบบเดิมก็ได้ว้าาา นั่งโยกออเดอร์สองพันบรรทัดเอง ถถถ