Pages

Monday, December 19, 2011

0048 : Value Visions 19-12-2011

1.) วันนี้เหมือนจะเริ่มมีอาการไม่สบาย รู้สึกว่าจะกำลังเจ็บคอ
ขอพักผ่อนให้มากๆดีกว่า พรุ่งนี้งานยังรออีกตรึม สู้โว้ยๆ!


2.) จะสิ้นปีแล้วยังไม่ได้เตรียมทำบัญชีรายรับรายจ่ายแล้วก็
พวกไฟล์เก็บข้อมูลพอร์ตการลงทุนเอาไว้เลย
เด๋วไว้งานซากว่านี้อีกนิดนึงจะมาจัดการให้เรียบร้อยครับ


3.) วันนี้อ่าน Twitter เจอประโยคนึงจาก Twitter ของ คุณบัณฑิต อึ้งรังษี
@BunditUngrangse เป็นประโยคของ นโปเลียน ฮิลล์ ครับ
มีอยู่ว่า... " ถ้ามันไม่ใช่หน้าที่คุณ บางทีมันอาจจะเป็นโอกาสก็ได้ "
ซึ่งจากชีวิตการทำงานของผมที่ผ่านมานั้น ผมคิดว่ามันจริงเลยทีเดียว
บางทีงานที่เราได้รับมอบหมายเพิ่มเติ่ม มันไม่ใช่หน้าที่ของเราหรอก
แต่ถ้าเรารับอาสาทำ งานนั้นจะจะพาโอกาสดีๆมาให้เรา
อย่างที่เราคาดไม่ถึงทีเดียวครับ เนื่องจากคนที่มอบหมายให้เรานั้น
เค้าต้องมีความไว้วางใจเราในระดับหนึ่งแล้วหล่ะ เค้าถึงได้มอบหมายให้เรา
และถ้าเราทำมันได้ดี เค้าก็ยิ่งไว้วางใจเรา เชื่อถือเรามากยิ่งขึ้น
ส่งผลให้หากมีอะไรดีๆ คนที่เค้าจะนึกถึงก่อน ก็ไม่พ้นเราแน่นอน...


4.) ราตรีสวัสดิ์ครับ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โอกาศไม่ได้มาบ่อยๆ
รักษาสุขภาพและคว้าให้ได้ในทุกโอกาสนะครับทุกท่าน ^ ^

Sunday, December 18, 2011

0047 : Value Visions 18-12-2011

1.) อ่านเจอประโยคโดนจาก Twitter ของพี่แกะดำ ครับ

" ความพยายามครั้งที่ 100 ดีกว่า ความล้มเหลวครั้งที่ 1 "

โดนมากมายครับ มาไล่ตามความฝันแบบกัดไม่ปล่อยจนกว่าจะชนะ
เหมือนพิตบูลที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้กันเถอะครับ !



2.) วันนี้ตื่นสายอีกวันนึงครับ ตื่นราวๆ 10 โมง เพราะแฟนโทรฯมาช่วยปลุก
ตื่นมาก็หยิบ BB ขึ้นมาดู Facebook เห็นรูปในหน้า Page ร้าน Bakery ของรุ่นน้อง
Post รูป ณเดชน์ กะ ญาญ่า กำลังทานขนมเค้กร้านน้องเค้าอยู่ เห้ย! เจ๋งหว่ะ!
เอาคู่พระนางสุตฮอทมาโปรโมตด้วย จริงๆน้องเค้าทำร้านมาไม่นานเท่าไหร่นะครับ
( เปิดร้านแบรนด์นี้ พร้อมกับ Central เชียงราย ) แต่เห็นคนเข้าตลอดเช่นกัน

ทำให้ผมย้อนคิดถึงธุรกิจที่ผมอยากทำ...
การทำสิ่งที่เราชอบให้ทำเงินมันคงรู้สึกดีมากมาย

ผมมีหลายอย่างที่อยากทำให้มันเป็นธุรกิจ
แต่การเป็นนักลงทุนผมก็ชอบนะ เพราะผมชอบอ่าน ชอบหาข้อมูล ชอบมองในหลายๆมุม
ทีชอบอีกอย่างนึงก็คือการทำอสังหาฯ (แต่ทุนยังไม่ถึงคร๊าบ)
ช่วงหลังผมยอมรับผมย่ำอยู่กับที่
อาจเป็นเพราะทำงานประจำด้วย
ด้วยหน้าที่รับผิดชอบที่มากขึ้น (งานยุ่งขึ้นว่างั้น)
และงานประจำ มันถือเป็น Comfort Zone ชั้นดีทีเดียวนะครับ
พอเราอยู่อย่างสบายๆ ไอ้แรงผลักดันต่างๆมันก็เลยดูเฉื่ยชาไป

ต่อจากนี้ผมจะจัดการเวลาในชีวิตให้ดีกว่านี้ครับ
ต้องแบ่งเวลาให้กับสิ่งที่รักมากขึ้นแล้ว...

" เมื่อเวลาผ่านไป เราจะรู้ว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด
แต่พอเมื่อเรารู้ตัว เวลาก็ผ่านเลยไปแล้ว ไม่สามารถเรียกคืนได้
สิ่งที่เราทำได้ก็คือการใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เท่านั้นเอง... "



3.) 19 ธันวาฯ เป็นวันเกิดแฟนผมเองครับ
ยังคิดหาของขวัญให้เธอไม่ออกเลย เลือกยากมาก แต่แฟนผมก็เข้าใจนะ
ว่าเราอยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เค้า (เค้าก็คิดหนักเหมือนกัน เวลาวันเกิดผมน่ะ)
เวลาเที่ยงคืน 00.00 น. ก็เล่น Ukulele เพลง Happy Birthday ให้เธอฟังครับ ^ ^

0046 : หัดวาดแผนที่สู่อิสรภาพทางการเงิน

คนส่วนมากมีความมุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะ
แต่น้อยคนนักที่จะมีความมุ่งมั่นในการเตรียมตัวเพื่อคว้าชัยชนะ - Bobby Knight


วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องการเตรียมตัวเกษียณครับ
บางคนอาจจะว่า แหม อายุยังไม่เท่าไหร่เลย ทำไมพูดถึงเรื่องเกษียณซะแล้ว

ผมก็ขอตอบว่า การเกษียณของผมนั้น
ผมหมายถึง "การมีอิสรภาพทางการเงิน" ครับ

วันเกษียณของผมก็คือ วันที่ผมมีอิสรภาพทางการเงิน
วันที่ผมมีอิสรในการเลือก ผมอยากจะทำงานก็ได้ ไม่ทำก็ได้
เพราะผมมี Passive Income ที่สามารถเลี้ยงผมและครอบครัวได้
โดยไม่ต้องพึ่งรายได้จากเงินเดือน หรือจากการค้าขาย

บางคนมีอิสรภาพทางการเงินแล้วก็ยังทำงานประจำต่อก็ได้ ไม่ผิด...
ไม่จำเป็นว่ามีอิสรภาพทางการเงินแล้วต้องหยุดทำงานอยู่กับบ้านเฉยๆ
หรือไม่ก็ไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนา ตามแบบที่เหล่า MLM เอาข้อนี้มาดึงดูดใจ

จั่วหัวด้วยประโยคเด็ดโดนใจของ Bobby Knight ( ใครฟระ ?! )
ซึ่งผมจดมาจาก Twitter

" คนส่วนมากมีความมุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะ
แต่น้อยคนนักที่จะมีความมุ่งมั่นในการเตรียมตัวเพื่อคว้าชัยชนะ "

เหมือนกับเรื่องของ "อิสรภาพทางการเงิน" นั่นแหละครับ
หลายคนบ่นอยากรวย ไม่อยากทำงานประจำ อยากไปทำอะไรที่ชอบ
แต่ติดตรงที่จำเป็นต้องหารายได้เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว
ซึ่งบางคนก็เอาแต่บ่น แต่ไม่เคยคิดมองหาหนทาง
หรือไม่เคยจะวางแผนในการเดินทางในเส้นทางที่อยากเดิน
แล้วมันจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไรกันนน!


ผมเลยอยากให้ทุกคนหันมาวางแผนครับ
ก่อนอื่นเราก็ต้องถามตัวเราเองก่อนว่า "อิสรภาพ" ของเรานั้นมี " ราคาเท่าไหร่ ? "
ราคาที่ว่า ก็คือ ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนที่เราต้องใช้ต้องจ่ายนั่นเอง มันเท่าไหร่ ?
เอาแค่ปัจจุบันก็ไม่ได้นะครับ ต้องคิดเผื่อล่วงหน้าไปหลายๆฉากด้วย
ต้องคิดเผื่อไปเวลามีภรรยา มีสามี มีลูกหนึ่งคน สองคน สามคน
มีพ่อตา แม่ยาย ที่ต้องเลี้ยงดู หรือ น้องเมียที่ต้องส่งเสียอะไรทำนองนั้น
หรือหากออกไปทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ช่วงแรกๆอาจจะยังไม่มีกำรี้กำไรอะไรมาก
ต้องอัดฉีดเงินทุนเข้าไปให้กิจการบ้างอะไรบ้าง ประมาณนั้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันมีราคาเท่าไหร่...
ลองคิดออกมาเป็นรายเดือน รายปี ดูครับ

บางคนอาจจะคิดเบ็ดเสร็จออกมาที 40,000 บาท / เดือน = 480,000 บาท / ปี
ก็ต้องมาดูว่าการสร้าง Passive Income ให้ได้ 40,000 บาท นั้นจะวางแผนยังไง
หากลงทุนในหุ้นกู้ หรือ หุ้นสามัญ ตีเฉลี่ยที่ ผลตอบแทนจากเงินปันผล 5% ต่อปี
( อัตราผลตอบแทนนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะครับว่าจะวางแผนการลงทุนอย่างไร
บางคนอาจจะทำได้มาก บางคนอาจจะทำได้น้อย แต่ผมก็เอาอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ
ที่ทุกคนสามารถทำได้สบายๆ อย่างการลงทุนในตราสารหนี้เป็นเกณฑ์นะครับ )
ก็ต้องมี Port การลงทุนประมาณ 9.6 ล้านบาท จึงจะถือว่าอยู่ได้ แต่...!

แต่ยังไม่ปลอดภัยครับ!
ได้มา 480,000 บาท ใช้ไป 480,000 บาท
แต่ละปีไม่เหลือเงินเลย
จะอุ่นใจได้อย่างไร...?

จึงต้องมีการเผื่อ...เผื่อเจออะไรที่เราไม่คาดคิดเอาไว้บ้างครับ
ก็แนะนำให้มี Passive Income เป็น 2 เท่าของค่าใช้จ่าย ในที่นี้ก็ราวๆ 20 ล้านบาท
หรือบางคนใจร้อนก็อาจจะ 1.5 เท่า ก็ไม่มีใครว่า มันไม่ใช่สูตรตายตัว
แล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละบุคคลครับ
ที่ 20 ล้านบาท จะได้ Passive Income ที่ ผลตอบแทน 5 % = 1 ล้านบาท / ปี
ตกเดือนละ 80,000 กว่าบาท ใช้เหลือเฟือ เก็บออมได้อีกทุกเดือน
เรียกได้ว่าความมั่งคั่งจะสถิตย์อยู่กับท่านตลอดไปเลยแหละครับ


จากนั้นก็ต้องมาวางแผนว่า การที่เราจะหาเงิน 20 ล้านบาท นั้น เราจะหามาอย่างไร
ต้องเก็บออมเงินเดือนละเท่าไหร่ ต้องนำไปลงทุนให้งอกเงยอย่างไร
ต้องหารายได้เพิ่มยังไงบ้าง ตรงนี้อยู่ที่แต่ละคนครับ ว่าจะวางแผนอย่างไร
ยกตัวอย่าง ถ้าสมมุติว่าเราจบใหม่ อายุ 22 เงินเดือน 20,000 + โบนัสอีก 3 - 4 เดือน
ในแต่ละปีออมเงินให้ได้ปีละ 150,000 บาท ( จากเงินออม + โบนัสสักครึ่งนึง )
นำเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 10% แล้วนำผลตอบแทนมาลงทุนแบบทบต้น
จากนั้นพอเงินเดือนขึ้น (ตีสัก 7 %) ก็ออมเพิ่มในสัดส่วนเดียวกันคือ จาก 150,000 บาท
ในปีที่แล้ว ก็เพิ่มเป็น 160,500 บาท ในปีนี้
นำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 10% เช่นเดียวกัน
ผลตอบแทนนำมาทบต้นอีก ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ 22 ปี
ก็สามารถมี Port ลงทุน 20 ล้านบาทได้ ณ ตอนที่อายุ 44 ปีครับ
แต่ปัจจุบันการให้ผลตอบแทนในการทำงานประจำนั้น
สูงกว่าที่ผมประมาณไว้มาก เงินเดือนขึ้นทีเยอะแยะ
ย้ายงานทีก็เรียกเงินเดือนเพิ่มได้มาก
ทำให้หลายคนถ้ามีวินัยทางการเงินดีๆ
สามารถสร้างพอร์ตลงทุนขนาดนี้ได้ในเวลาไม่นานครับ
อย่างเพื่อผมเองทำงานได้ 3-4 ปี เงินเดือนยังไม่ถึง 20,000 เลย
ก็สามารถทำงานเก็บออมเงิน
แล้วก็นำเงินมาลงทุนให้พอร์ตกลายเป็น 7 หลักได้สบายๆ
( คาดว่าอีก 4-5 ปี พอร์ตลงทุนของไอ้เพื่อนคนนี้ มันจะไป 8 หลักแน่ๆ )


จะเห็นได้ว่า อิสรภาพทางการเงิน นั้น
มันอยู่ที่การวางแผนครับ (อีกส่วนอยู่ที่ความมีวินัย)
ยังไงก็ลองหัดวางแผนการเดินทางดูครับ

ถ้าไม่หาทาง จะเจอหนทางได้อย่างไร จริงไหมครับ ?

0045 : Value Visions 17-12-2011

1.) ต่อไปนี้จะหัดนิสัย "นาฬิกาปลุกปุ๊บตื่นทันที" แล้วครับ
ปกติเวลานาฬิกาปลุกแล้วผมจะขอนอนต่ออีกนิดน่า... ประจำเลย
สุดท้ายก็ไปทำงานแบบเกือบสาย รีบๆร้อนๆประจำ
ซึ่งไม่ดีเลยครับ ทำให้เราไม่มีเวลาเตรียมตัวในการทำงาน
ทางที่ดีควรไปถึงก่อนเวลาสักพัก เพื่อที่จะมีเวลาเตรียมตัว
เตรียมสมอง เตรียมข้อมูลไว้ลุยในงานที่จะต้องทำในวันนั้นๆ
การที่ไปทำงานแบบเกือบสายก็เนื่องมาจากการไม่ยอมลุกขึ้น
จากที่นอนของผมนั่นเองครับ เรียกได้ว่าผมเป็นคนที่ความอดทน
ต่อเสียงปลุกมาก พอนาฬิกาปลุกดัง ผมก็เลื่อนเวลาปลุกอีกไป 10 นาที
ทำอย่างนี้ไปสักสองสามครั้งก็สายพอดี พฤติกรรมแบบนี้ผมว่า
มันเป็นการผลัดวันประกันพรุ่งแบบนึงครับ...
จากนี้ไปผมจะเลิกมันให้ได้ เปลี่ยนตัวเองเสียใหม่
ให้ตื่นมาทุกเช้าแล้วต้องลุกมาอย่างมีพลัง ชีวิตจะได้สดใสในทุกๆวัน!


2.) วันนี้มีเหตุต้องทำให้ผมตื่นแต่ตี 5 เพื่อไปส่งน้องขึ้นรถไปทัศนศึกษา
ที่เชียงใหม่ครับ กลับมาถึงบ้านเกือบ 6 โมงเช้าก็มานอนต่อ ตื่นมาอีกที...
เกือบ 11 โมง ( วันหยุดผมจะไม่ตั้งนาฬิกาปลุก เพื่อให้ร่างกายได้นอน
พักผ่อนชาร์จพลังอย่างเต็มที่ ) พอตื่น อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเสร็จ
ก็ไปทานข้าวหมูแดงที่ " ร้านนครปฐม " ครับ ร้านขึ้นชื่อของเชียงรายนะ
( ร้านประจำผมตั้งแต่เด็กน่ะ แหะๆ แต่อร่อยจริงอะไรจริงนะครับ ใคร
มาเที่ยวเชียงรายต้องมาลองชิมให้ได้เลยครับ ) จากนั้นก็ไปเดินดูหนังสือ
ที่ Central ครับ ปากก็บอกว่ามาเดินดูหนังสือ แต่กลับได้กระเป๋าใส่กล้อง
ถ่ายรูปติดไม้ติดมือกลับบ้าน เป็นกระเป๋ายี่ห้อ Manfrotto ครับ ผมเห็นว่า
ขนาดมันกะทัดรัดเหมาะสำหรับใส่กล้องไปเดินเที่ยวชิลๆดีก็เลยสอยมาครับ
โดนค่าเสียหายไป 1,300 บาท แต่ผมยอมนะ เพราะช่วงนี้หลังกะไหล่ของผม
ไม่ค่อยสมบูรณ์สักเท่าไหร่ มักจะปวดเคล็ดบ่อยๆ หากยกของหนักนี่ปวด
ประจำเลย การสะพายกระเป๋าหนักก็ส่งผลเหมือนกัน ผมก็เลยอยากหา
กระเป๋ากล้องใบเล็กๆไว้พกไปนั่นมานี่ครับ


3.) เดินซื้อของเสร็จจาก Central ก็กลับมานอนอ่านหนังสือที่บ้านครับ
ก็อ่านหนังสือเล่มที่เพิ่งซื้อมานั่นแหละครับ ชื่อ " เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน
อย่างแท้จริง เริ่มต้นง่าย แค่ใจมองเห็น " อ่านรวดเดียวจนจบเลยครับ
ได้แรงบันดาลใจในการเดินสู่เป้าหมายทางการเงินอีกโขเลยทีเดียว
หากว่ากันตามหนังสือ ก็มีเรื่องที่ผมยังทำไม่ได้ในการวางแผนการเงิน
นั่นก็คือ "การกันเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน" ครับ ซึ่งเงินส่วนนี้เราควรจะมี
ประมาณ 3-6 เท่า ของค่าใช้จ่ายรายเดือนของเรา อย่างผมใช้จ่าย
เดือนละประมาณ 12,000 บาท ผมก็น่าจะมีเงินส่วนนี้อยู่ราวๆ
36,000-72,000 บาท อยู่ในที่ๆมีสภาพคล่องสูงหน่อย ในหนังสือก็แนะนำให้
เก็บไว้ใน บัญชีออมทรัพย์ หรือฝากประจำ ไม่ก็ Money Market Fund ครับ
ผมคงต้องแบ่งเงินออมในแต่ละเดือนเพื่อมากันไว้เป็นส่วนนี้บ้างแล้ว
ซึ่งเงินในส่วนนี้ก็ควรจะมีไว้ก็เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในชีวิตเราครับ
เช่นอาจจะ ป่วย หรือ เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับทรัพย์สินหรือคนในครอบครัว
( เอาง่ายๆ น้ำท่วมบ้าน 2 เดือนแบบที่เจอๆกันเนี่ยแหละ ไม่ก็ตกงานไรงี้ )
บางคนอาจจะเถียงว่า "ก็ฉันก็มีบัตรเครดิตอยู่แล้วจะกลัวอะไร" แบบนี้ก็ต้อง
นึกไปล่วงหน้าถึงวันนี้บิลบัตรเครดิตส่งมาถึงบ้านด้วยนะครับ ว่าถ้าเวลานั้นมาถึง
เราจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายบัตรเครดิต หากเราไม่มีเงินฉุกเฉินก้อนนี้
แล้วรูปแบบการเก็บเงินก้อนนี้ อย่างผมไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมเลือก MMF แน่ๆ
เพราะผลตอบแทนสูงกว่าอีก 2 แบบที่เหลือและสภาพคล่องก็แทบไม่ต่างกัน
( MMF T+1 หากจำเป็นต้องใช้เงิน ก็ใช้บัตรเครดิตรูดไป อีกวันก็ขาย MMF
เอาเงินมาชำระบัตรเครดิต ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับท่าน )

อีกอย่างที่ผมขาดไปก็คือการวางแผนในการซื้อประกันชีวิต
ซึ่งผมไม่มีประกันชีวิตที่ซื้อเองเลย ( มีแต่ที่แม่ทำให้ วงเงินไม่มากเท่าไหร่ )
อันที่จริง ผมคิดว่าผมยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษีผมก็เลยไม่สนใจ
แต่บางทีหน้าที่ของมันโดยจริงๆแล้ว มันก็คือประกันชีวิต
ไอ้ที่ลดหย่อนภาษีเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น
บางทีผมคงจะต้องมีไว้บ้างครับ ต้องหาข้อมูลแบบประกันบ้างซะแล้ว
ผมไม่ได้ซื้อเพื่อตัวผมเองหรอก แต่ผมซื้อเพื่อคนที่ผมรัก...

ขอพอเท่านี้ก่อนนะครับ
เดี๋ยวคราวต่อๆไปจะเอาประเด็นอื่นๆมาแชร์ให้ฟังอีกนะครับ
หนังสือเล่มนี้ดีมากเลย เข้าใจง่าย ตรงประเด็นมากๆ
( ไม่ได้เป็นอะไรกับคนเขียนนะครับ )

Thursday, December 15, 2011

0044 : Value Visions 15-12-2011

1.) วันนี้เก็บหุ้น BLA มา 1 ไม้ครับ
เนื่องจากเห็นว่า BLA ราคานี้ถือว่ายังถูกมาก
( สำหรับ EPS ปีหน้านะครับ ) ก็ถือว่าเป็นการซื้ออนาคตครับ
สำหรับธุรกิจประกันชีวิตผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ทบต้นสุดๆครับ
ก็เลยให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มนี้เป็นพิเศษ
แต่จะให้มอง SCBLIF ก็คงไม่ไหว สภาพคล่องน้อยเหลือเกิน
ก็เลยได้แต่คอยจดๆจ้องๆ BLA
คอยหาจังหวะสะสมไปเรื่อยๆครับ
ส่วนธุรกิจประกันภัยนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก
ไม่มีเวลาอ่านข้อมูลเลย ได้แต่โหลดทิ้งไว้
ถ้างานซาเมื่อไหร่เจอกันแน่ครับ

อ้อ มีข่าว BREAKING จาก CNN ครับ :
Number of people filing for initial unemployment benefits (U.S. Jobless Claim)
falls to a 3-year low of 366,000 in the latest week, the government says.
ถือเป็นข่าวดีในสถานการณ์ที่ดูเลวร้ายเลยนะเนี่ย
แล้วคืนนี้ DJ DAX ก็เขียว (ในขณะที่นั่งเขียนบันทึกอยู่นะครับ)



2.) วันนี้ช่วงเย็นแอบแว๊บไปร้าน SE-ED มาครับ
ยังไม่เลิกงานหรอกครับ แต่รู้สึกว่าอยาก Relax ก็เลยแว๊บออกมา
ก็ได้หนังสือมาเล่มนึงครับชื่อ...
" เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง เริ่มต้นง่าย แค่ใจมองเห็น "
ลองเปิดอ่านผ่านๆดูเห็นว่าอ่านง่าย มีเนื้อล้วนๆ
ก็เลยสอยมาอ่านเพิ่มความรู้ด้านการบริหารเงินครับ
ใครที่สนใจเรื่อง อิรภาพทางการเงินก็ลองหามาอ่านดูนะครับ ผมแนะนำ



3.) วันพรุ่งนี้วันศุกร์แล้ววว!
จะได้พักผ่อนเสียที มีหนังสือที่อยากอ่านหลายเล่มเลยครับ
การพักผ่อนของผมไม่ใช่การออกไปปาร์ตี้ หรือ Hang Out อะไรหรอกครับ
แค่นอนอ่านหนังสืออยู่บ้าน หรือเดินห้างดูหนังสือ หาของกินอร่อยๆ
ก็ถือเป็นการพักผ่อนสำหรับผมแล้ว
แต่มีบางคนแอบบอกว่าผมแปลกที่ไม่ค่อยออกไป Hang Out (น๊านนานไปที)
ผมว่าสำหรับผมแล้ว ชีวิตแบบที่ผมเป็นนี่คือธรรมชาติที่สุดของผมแล้ว
คุณจะเอาไม้บรรทัดของคุณมาวัดว่าผมแปลกไม่ได้
เราต่างก็มีวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เป็นของตัวเองใช่ม่ะ ?...

แต่จะว่าไปผมก็อยากลองใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์
เหมือนกันนะ (เหมือนที่เพื่อนที่ทำขายตรงชอบเอามาโฆษณา)
ชีวิตที่มีวันหยุดทุกวันมันจะเป็นยังไงหว่า... แต่ยังไงผมก็ต้องรู้อยู่ดี
เพราะถ้าวันไหนตลาดปิดก็คือวันหยุดของชาวบ้านใช่ม่ะครับ แหะๆ

Wednesday, December 14, 2011

0043 : Value Visions 14-12-2011

1.) เวลางานยุ่งมากๆ ผมมักจะหัวเสียบ่อยๆครับ
ส่งผลให้บางทีคุณภาพในการทำงาน และ การให้บริการลูกค้าลดลง
เฮ้อ จะแก้นิสัยนี้ยังไงดีเนี่ย...
เท่าที่คิดไว้ก็มี
1. คุณภาพในการทำงานหรือการให้บริการลูกค้าห้ามตกเป็นอันขาด
รอยยิ้มต้องมีตลอด บางทีงานยุ่งมากๆ ลูกค้าอาจจะรอเรานาน
แต่ยังไงก็ตามห้ามให้ลูกค้าเสียความรู้สึกกลับไป
2. ตอบข้อสงสัยให้เคลียร์ เวลายุ่งมากๆเรามักจะตอบคำถามแบบรีบๆ
ทำให้บางทีลูกค้าไม่หายสงสัย แล้วก็ย้อนกลับมาถามเราอีก
(เป็นการเสียเวลา 2 ต่อ ทั้งลูกค้าทั้งเรา)
3. หยอดอารมณ์ขันใส่ลูกค้า ระหว่างที่ลูกค้ารอเราเป็นระยะๆ
ซึ่งจะทำให้เราอารมณ์ดีด้วย
4. อย่าลืม ขอบคุณ และ ขอโทษ ลูกค้า

คิดออกเท่านี้อยู่นะ วันนี้ลองเอาไปทำดูก็ช่วยได้มากเลยครับ
ก็ต้องเอาไปใช้ให้ต่อเนื่องต่อไป ^ ^



2.) เพิ่งดูคุณโก๊ะตี๋ ในรายการราตรีสโมสร มีสิ่งดีๆหลายอย่างที่ได้เรียนรู้ครับ
ผมสรุปได้ดังนี้นะครับ

" การทำธุรกิจ คือ การดูแลใส่ใจลูกค้า "

" การใช้ชีวิตให้มีความสุขนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการเลือกเก็บแต่สิ่งดีๆไว้ในชีวิต
สิ่งแย่ๆก็ปล่อยมันผ่านไป อย่าไปจำ อย่าไปใส่ใจ "

" สำหรับคู่รัก เวลาทะเลาะกันให้นึกถึงสิ่งดีๆที่เคยทำให้กัน
อย่าไปนึกถึงแต่มุมแย่ๆ อย่าไปขุดความไม่ดีของฝ่ายตรงข้ามมาด่ามาว่ากัน
ให้มองแต่มุมดีๆ ความโกรธก็จะหายไปเอง "



3.) ผมตั้งใจว่าจะเป็น "คน" ที่ดีขึ้นในทุกๆวัน
ผมจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า...
ผมจะสามารถพัฒนาตัวผมให้ดีกว่านี้อย่างไรได้บ้าง
วันนี้ของผมต้องดีมากกว่าเมื่อวานนี้
ผมจะไม่ยอมถอยหลังลงคลองเด็ดขาด
เดินทางข้างหน้าด้วยก้าวย่างที่มั่นคงทุกก้าว
บางก้าวบางจังหวะอาจจะช้าไปบ้าง
แต่ผมไม่ยอมถอยหลังหรือหยุดอยู่กับที่แน่นอน...



4.) ราตรีสวัสดิ์ครับ Zzz...

Tuesday, December 13, 2011

0042 : Value Visions 13-12-2011

1.) หยุด 3 วันก็หลบไปพักผ่อนเที่ยวในกรุงเทพมาครับ
( กรุงเทพช่วง Long Weekend นี่คนน้อยดีนะ )

ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองชักอยากได้โน่นอยากได้นี่มากเกินไปซะแล้ว
ทั้งๆบางอย่างที่อยากได้มันก็ยังไม่จำเป็นกับชีวิตสักเท่าไหร่
ก็คงต้องตั้งสติให้ดีก่อนใช้จ่ายแหละครับ

ถ้าเลือกจ่ายให้กับสิ่งที่ฉาบฉวยก่อน
แล้วช่วงเวลาที่มีอิสระภาพทางการเงินขยับไกลออกไป
ผมคงไม่เลือกแน่ๆ ยังยืนยันว่าอยากได้ชีวิตที่มีอิสระภาพมากกว่าครับ



2.) เมื่อวันเสาร์ ผมเห็นคนเตะหมาครับ!
ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเตะหมาตัวนั้นทำไม เตะแบบหลายทีด้วย
คนที่อยู่แถวนั้นก็ตะโกนด่าใหญ่เลย
แต่เค้าก็ไม่ยอมหยุด ไม่รู้ว่าเค้าคิดว่าการเตะหมามันเท่หรืออย่างไร
ผมรู้สึกไม่ดีเลย ที่เห็นคนรังแกสัตว์แบบนั้น
ขอให้คุณคนนั้นได้รับกรรมทันตาเห็นทีเถิด...



3.) เวลาเจอเหรียญตกอยู่กะพื้นไม่ว่าจะเป็นเหรียญ 1 บาท 5 บาท
หรือแม้กระทั้งเหรียญ 25 สตางค์ ก็ตาม
ผมจะก้มลงเก็บเสมอ
ซึ่งบางทีก็มีคนมองว่าเราก้มลงเก็บทำไมกัน
บางทีก็แอบกลัวมีคนมองเรางกเหมือนกันนะครับ
แต่ผมอยากจะบอกว่า ที่ผมก้มลงเก็บ ไม่ใช่ว่าผมงกหรืออยากได้อะไรหรอกครับ
เงินเท่านั้นไม่ได้ทำให้ผมรวยขึ้น
แต่ผมเก็บก็เพราะว่าบนเหรียญนั้นมีภาพของในหลวงอยู่
หากคุณปล่อยทิ้งไว้บนพื้น แล้วคนเดินผ่านไปผ่านมาไม่ทันมองเหยียบเข้า
คงจะไม่ดีแน่ เพราะงั้นถ้าเห็นก็ช่วยกันเก็บเถอะครับ
ไม่อยากได้ก็เอาไปหย่อยตู้บริจาคก็ได้
ดีกว่าปล่อยมันไว้บนพื้นแน่ๆครับ



4.) แล้วก็เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้ไปเดินเที่ยวที่งาน Motor Expo มาครับ
อันที่จริงก็ไปส่งแฟนจองรถมาด้วย
แฟนจองรถ Honda City ครับ
กว่าจะได้จองก็ต้องคุยกับเซลล์ถึง 5 คน
ผมก็แปลกใจว่าทำไมเซลล์แต่ละคนของแถมไม่เท่ากัน
คนแรกบอก ถ้าจะแถมเบาะหนัง หรือแถมประกัน ต้องเพิ่มเงินหมื่นกว่าบาท
ถ้าจะให้แถมทั้ง 2 อย่างต้องเพิ่ม 3หมื่นกว่าบาท
( ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม... แล้วมันเรียกว่าแถมตรงไหนวะ?! )
คนที่ 2 - 3 ไม่ต้องจ่ายตังค์เพิ่มแต่ให้ของแถมกระจุกกระจิกมาก
ก็เลยค้นฟ้าคว้าดาวกันต่อไป
เจอคนที่ 4 บอกว่า ถ้าเซ็นใบจองแล้วถึงจะบอกว่าแถมอะไร
ถ้าไม่จองก็บอกได้แค่ว่าแถมป้ายทะเบียน
( เออดี กูคงจองกะมึงหรอก! )
สุดท้ายก็เลยมาเจอน้องคนที่ 5 จัดเต็มของแถมให้เบาะหนังอะไรพวกนี้
Happy กันไป เลยจองไป 2 คน Jazz กะ City ( Jazz ของญาติแฟนผมคันนึง )

แต่แปลกใจว่าทำไม ของแถมแต่ละคนถึงให้ไม่เท่ากัน ?...



5.) แล้วเมื่อวานก็ได้มีโอกาสไปกินก๋วยเตี๋ยวในตลาดท่าสะอ้าน
ไม่ไกลจากบ้านแฟนผมเท่าไหร่
รสชาติใช้ได้ แต่บริการห่วยแตกมาก
สั่งอะไรไม่ได้ตามสั่งเลยครับ ทำให้ผิด
แถมสั่งเพิ่มก็ลืม ไม่ทำให้อีก
ก็เลยคิดไว้ในใจว่า ร้านนี้คงไม่ได้ตังค์ผมอีกแล้ว

การทำการค้า บางทีการบริการก็ต้องมาก่อนนะครับ
อย่างร้านอาหาร บางทีคุณไม่จำเป็นต้องอร่อยที่สุด หรือเป็นหนึ่งในตองอูก็ได้
แต่คุณอาจจะเป็นที่ 2 ที่ 3 แต่ว่าบริการคุณดีเยี่ยม
คุณก็ดึงดูดให้ลูกค้าขาจร กลายเป้นลูกค้าประจำได้ไม่ยากหรอก
บางอย่างก็วัดกันที่การบริการนั่นแหละครับ...

Thursday, December 8, 2011

0041 : Value Visions 08-12-2011

วันนี้ Up Blog 2 Entry นะครับ
Entry ก่อนหน้าเป็นของเมื่อวาน
เนื่องจากเมื่อวานสลบคาสมุดบันทึกเลยทีเดียว
ไฟเฟยไม่ต้องพูดถึง ตื่นมาอีกทีตอนเช้า 6 โมงกว่าๆ สว่างโร่เลยทีเดียว

เมื่อ 4-5 วันก่อน อ่านเจอประโยคนึงจาก twitter ของคุณ @cheechud
นั่นก็คือประโยคที่ว่า... " When you start, you say yes to everything.
As you grow, you need to learn to say no " - Kabani
ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ "จริง" มากๆ จากการทำงานประจำมาเกือบ 4 ปี
ผมพบว่า " การปฏิเสธ " ให้เป็น นั้นเป็นสิ่งจำเป็นมากในการทำงานและการใช้ชีวิต
การปฏิเสธให้เป็น นั้นไม่ใช่การปัดความรับผิดชอบ หรือ เอาตัวรอด อะไรนะครับ
คนละเรื่องกันเลย... แต่มันเป้นส่วนนึงในการบริหารการทำงาน หรือ บริหารชีวิต
ผมมีพี่ที่รู้จักคนนึง เวลาดีลกับลูกค้า ปฏิเสธลูกค้าไม่เป็น แล้วก็ชอบรับปากส่งๆไว้ก่อน
ลูกค้าขออะไรมาพี่แกบอก "ได้ครับ" , "สบายมากเลยครับ" , "ผมจัดการให้ครับ"
โดยที่ในใจนั้นยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทำอย่างที่รับปากไว้ได้หรือไม่
สุดท้ายก็ต้องมานั่งเครียดว่าจะแก้ตัวกับลูกค้ายังไงไม่ให้ลูกค้าเสียความรู้สึก
ทั้งๆที่หากคุยกันให้จบแต่แรกว่าทำให้ไม่ได้ รู้จักปฏิเสธให้เป็น ก็จบไปนานแล้ว

ซึ่งการปฏิเสธิก็ใช้ว่าจะมีแค่การปฏิเสธอย่างเดียว แต่ในการทำงานจริงๆ
เราสามารถเสนอทางเลือกอื่นๆที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดลูกค้าได้นี่
ทางนั้นให้ไม่ได้ ให้ข้อเสนอที่เราพอให้ได้ดู
เอาใจเค้าแบบไม่เข้าเนื้อเรา แบบนั้นน่าจะดีกว่า

ประโยคของ Kabani ก็เช่นกัน
ตอนเข้าทำงานใหม่ๆ ยังไม่ผ่านทดลองงาน เวลาถูกให้ทำอะไร ก็ทำได้หมด
แต่พอคุณทำงานไปนานๆเข้า คุณก็ต้องรู้จักเอาตัวรอดด้วย
เพราะในที่ทำงานบางทีก็มีคนที่ "เป็นแต่โยนงาน โยนความรับผิดชอบให้คนอื่น" อยู่เยอะ
ถ้าคุณไม่รู้จักปฏิเสธให้เป็น บางทีเวลาชีวิตเวลาพักผ่อนคุณจะถูกสูบไปอย่างไม่รู้ตัวนะ
ในขณะที่คนที่มีนิสัยโยนงานเป็นอาชีพเค้านั่งชิลสบายใจเฉิบ
เพราะงั้นหัดปฏิเสธไว้ก็ไม่เสียหลายหรอกครับ ^ ^


แล้วช่วง 2 ทุ่มกว่าเกือบ 3 ทุ่ม มีลูกค้าโทรเข้ามาหา
บอกจะให้สินน้ำใจกับเรา เรื่องที่เราเสนอสินเชื่อให้ผ่าน
เราก็บอกขอรับไว้ด้วยใจก็แล้วกัน ถ้าจะตอบแทนผมไม่ต้องอะไรมากหรอก
ส่งหนี้ตรงตามเวลาแบบไม่ต้องให้ผมไปตามก็พอแล้ว

ลูกค้าทุกรายผมบริการไว พอได้เงินเร็วเค้าก็นึกว่าต้องมีค่าน้ำร้อนน้ำชามั๊งครับ
แต่ผมอยากจะบอกว่า ไม่ได้ทำเพื่อหาค่าอะไร แต่เป็นสไตล์การทำงานของผม
ผมไม่ชอบให้งานค้างคา ไม่ชอบดองไว้ ทำๆให้เสร็จ
ก็จะได้มีเวลา Relax มีเวลาเอาสมองไปคิดเรื่องอื่นบ้าง
( บางทีก็แอบดูหุ้นในเวลางาน ฮ่าๆ )

วันนี้ตลาดพลิกมาลบนิดหน่อย
แต่ฝรั่งยัง Net Buy อยู่พันกว่าล้าน
มาดูฝั่งยุโรป กลายเป็น you low ไปแล้ว
อเมกาก็แดง พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรหนอ...

0040 : Value Visions 07-12-2011

วันนี้เลิกงานประมาณ 2 ทุ่ม
มีโอกาสได้กลับห้องมาเล่น Net อ่านเวบ อ่านหนังสือกะเค้าบ้าง

อ่าน pantip ไปเจอกระทู้ของ "ลุงแอ็ด" เกี่ยวกับหนังสือของ โจ จีราร์ด
เจอประโยคประมาณที่ว่า "เวลาเราขายสินค้าอะไรก็ตาม เราไม่ได้ขายสินค้า
แต่เราขายตัวเราเอง" ผมว่าประโยคนี้มันไม่ได้ใช้ได้กับเฉพาะงานขายหรอก
แต่มันใช้ได้กับทุกเรื่องแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานอื่นๆ หรือ
เรื่องต่างๆในชีวิตของเราก็ตาม สิ่งที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างราบรื่น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่มันเป็นตัวเรานั่นเองที่เป็นผู้เลือก...

เราจะประสบความสำเร็จในการทำงานประจำ ไม่ใช่เพราะเจ้านายเลือกเรา
แต่เป็นเพราะเราเลือกที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลงานได้ดี

หรือ การที่เราประสบความสำเร็จด้านความรัก ไม่ใช่เพราะฟ้าส่งเธอมาคู่กัน
อะไรหรอก แต่เป็นเพราะเราเลือกที่จะเป็นคนที่เธอถูกใจเท่านั้นเอง

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับที่เราเลือก ดั่งปราชญ์จีนว่าไว้
ความพยายาม 70 : โชคชะตาฟ้าลิขิต 30 นั่นเองครับ
เราทำ 70% ของเราให้เต็มที่ ผมเชื่อว่ามันมีผลมากกว่า 30% ของฟ้าอยู่แล้ว...


อ้อ ลืมเล่าให้ฟังครับว่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านได้มีโอกาสไปทำบุญที่
"วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ" มาครับ ก็เลยได้เสี่ยงเซียมซี ได้เซ๊ยมซีใบที่ 9
คำทำนายก็ดังนี้ครับ...

" ใบที่เก้าตามตำรานั้นว่าร้าย เหมือนเทวทัตเมื่อตกลงอบาย
มีพระเพลิงเรี่ยรายอยู่รอบตัว ได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส
ซ้ำมีสัตว์คอยกัดกระบานหัว เมื่อรู้แล้วจงเร่งคิดเกรงกลัว
รีบฟื้นตัวเพียรพันกุศลทาน สรรพกิจคิดไปไม่สำเร็จ
ไม่ผลิเมล็ดผลสมอารมณ์หมาย มักจะเกิดอุปัทวเหตุต้องกาย
ถามหาของหายเห็นหลบไม่พบพาน ทั้งแปดด้านมืดมิดทุกทิศทาง
แม้นไต่ถามถึงความว่าทรามแสน มักขลาดแคลนเข็ยขลุกทุกทุกอย่าง
ใครเสี่ยงได้ใบนี้ไม่มีทาง ไม่ควรห่างเคหาดีกว่าเอยฯ "
The 9th number tells that you should not go away.

อ่านจบก็ "อื้อหือ" ในใจ
ไม่มีอะไรดีเลยเหรอฟระ ชีวิตตรู!...
แรกๆก็ใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ
แต่ก็ต้องปรับใจให้รู้ทันความทุกข์ที่มันเกิดขึ้น
มันยังไม่เกิด โชคดีที่ใบเซียมซีนี้ได้มาเตือนเราไว้
เปลี่ยนให้กลายเป็นพลังใจในการทำงานและดำเนินชีวิต
ให้มีความระมัดระวังและมีสติมากยิ่งขึ้น
ทำอะไรต้องรอบคอบ หมั่นทำบุญ แบ่งปัน มีจิตเมตตามากกว่าเดิม
แล้วก็ผ่านไปให้ได้ครับ ^ ^

ขอให้พระคุ้มครองให้ผมมีชีวิตที่ปกติสุขด้วยคร๊าบ สาธุ!

ตอนเย็นทานข้าวเสร็จก็แวะไป SE-ED มาครับ
สอยหนังสือมาเล่มนึง ชื่อ "JR Pass ใบเดียวเที่ยวทั่วญี่ปุ่น"
พลิกๆอ่านดูก็เห็นว่าน่าสนใจดีครับ เป็นหนังสือประมาณ Guide Book
แนะนำเที่ยวญี่ปุ่นแบบใช้ตั๋วรถไฟแบบเหมา
ผมเองก็มี Plan ที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบ Backpack เช่นกันครับ
ก็เลยสอยมาอ่านไว้หน่อย เผื่อใช้ในการวางแผน

ชีวิตเราหลังจากที่ทำงานมาทั้งปีแล้ว
เราควรให้รางวัลแก่ชีวิตตัวเองบ้าง
โดยรางวัลในชีวิตผมก็ใช้ 3T ของ เฮีย Jim Rogers นั่นเองครับ
1. Trade นั่นคือการลงทุนเพื่อสร้าง passive income
ให้รางวัลเป็นอิสระภาพทางการเงินแก่ชีวิต
2. Teach ให้รางวัลแก่ชีวิตโดยการแบ่งปันความรู้และมุมมองด้านการลงทุน
และการใช้ชีวิตแก่คนอื่น (เวลามีเพื่อน Get Idea การลงทุน
เพื่ออิสระภาพทางการเงินที่เราแนะนำนั้น มันทำให้ผมมีความสุขมากเลยครับ
3. Travel นั่นก็คือการให้รางวัลแก่ชีวิตโดยการท่องเที่ยวนั่นเองครับ

ดังนั่นการออกไปท่องเที่ยวบ้าง ในขณะที่เรายังมีแรงจึงเป็นสิ่งจำเป็นครับ ^ ^

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องการลงทุนหรือตลาดหุ้นสักเท่าไหร่
เนื่องจากผมยังไม่ค่อยมีไอเดียการลงทุนใหม่ๆครับ
หรือพูดอีกแบบว่าหาไอเดียการลงทุนที่ดีกว่าปัจจุบันอยู่ยังไม่เจอ
ไม่เจอหุ้นตัวที่น่าสนใจ หรือ จังหวะเก็งกำไรที่ชัวร์
ก็เลยถือหุ้นในพอร์ตไปเรื่อยๆก่อนครับ เนื่องจากมันสร้างผลตอบแทนที่ ok
และก็ยังไม่ลงไปแตะ Trailing Stop เลยยังไม่ได้ออก Action อะไรเลย
"บางทีเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่เฉยๆ"
แต่อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเราต้อง "เราไม่ควรหยุดแสวงหาความ"
จะสู้ต่อไปเพื่ออิสระภาพทางการเงินครับ!

Tuesday, December 6, 2011

0039 : Value Visions 06-12-2011

วันนี้ทำงานเลิกค่อนข้างดึกอีกแล้วครับ
นิสัยส่วนตัวของผมคือไม่ชอบทำอะไรที่มันค้างคา
ก็เลยทมักจะอยู่ลุยจนงานเสร็จ
ไม่ค่อยเหลือดองไว้ทำในวันต่อไปสักเท่าไหร่

ช่วงนี้งานเข้าเยอะและบ่อย
ก็ต้องหันมาให้ความสำคัญกับการจัดเวลาชีวิตให้ดีกว่านี้ซะแล้ว

ผมเคยได้ฟังเศรษฐีท่านนึงที่เค้าสร้างตัวจากติดลบ
กลายเป็นเจ้าของธุรกิจหลายร้อยล้าน พูดให้ฟังว่า
" ไม่ว่าจะเป็นการทำงานอะไรก็ตาม
อย่าให้มันมาเบียดเวลาว่างในชีวิตของเรามากจนเกินไป
เพราะหากเรายุ่งมากๆ เราก็จะไม่มีเวลามานั่งคิดทบทวน คุยกับตัวเอง "
บางทีการมัวแต่จัดการกับปัจจุบัน ก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ
แต่ชีวิตเราก็ต้องมีพื้นที่ว่างไว้สำหรับให้เรานั่งคิด นั่งคุยกับตัวเอง
ในเรื่องความฝัน หรือ อนาคต บ้าง
การมีพื้นที่ว่าง ผมว่ามันทำให้เราสามารถขยับขยายความคิดและเติบโตต่อไปได้
ลองนึกดูถึงเด็กที่เอาแต่เรียนๆๆๆ กับเด็กที่เรียนบ้างเล่นบ้าง
เด็กคนไหนจะทันเล่ห์ทันเหลี่ยม หรือ เอาตัวรอดในโลกได้ดีกว่ากัน
และเมื่อโตขึ้นมา เด็กคนไหนจะเข้าใจชีวิตได้ดีกว่ากัน
ผมว่าเด็กคนที่เรียนบ้าง เล่นบ้าง เที่ยวไปนั่นนี่โน่นบ้าง นะที่จะแกร่งกว่า...

อีกอย่างก็คือการที่เรางานหนักงานยุ่งง จนเวลาว่างไม่ค่อยจะมีเนี่ย
มันเป็นสถานการณ์ที่ดึงดูความคิดลบๆ ได้ดีเป็นบ้าเลย
สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องตัดทัศนคติลบออกไปจาหกความคิดให้ได้
ไอ้ประเภทที่ว่า เบื่อจัง , เหนื่อยโว้ย , ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย หรือ
อะไรๆก็กู ใช้จังตังค์ก็ไม่ให้ อะไรทำนองนี้ต้องตัดออกให้หมด
สิ่งที่เราควรทำก็คือการใช้โอกาสนี้พัฒนาความสามารถ & ประสิทธิภาพ
ของการจัดการเวลา และ การทำงาน เปลี่ยนจากลบเป็นบวกให้ได้
แล้วใช้แรงบวกส่งผลดีให้เราอีกต่อนึง
สุดท้ายเราก็จะไปได้ไกลกว่าคนอื่น...


วันนี้ขอจดบันทึกแค่นี้ก่อนครับ ง่วงเหลือเกิน ราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน...

Monday, December 5, 2011

0038 : Value Visions 05-12-2011

ไปกลับมาจากเชียงใหม่ครับ
หลังจากที่ไม่ได้ไปมาน๊านนาน...
และก็พบว่าเชียงใหม่นั้นเปลี่ยนไปเยอะ
ตึกผุดขึ้นเยอะแยะมาก ส่วนใหญ่เป็นพวกร้านกาแฟ หรือ
ร้านอาหารเก๋ๆที่ไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยว
ถ้าคนที่ชอบถ่ายรูปแล้วไม่รอดแน่
ต้องจอดแวะพักแวะเข้าไปถ่ายภาพตลอดทาง
แล้วอีกอย่างก็คือรถติดมาก!
ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะช่วง Long Weekend หรือเปล่านะครับ

ผมไปเชียงใหม่ตั้งแต่คืนวันที่ 2 ครับ
ไปถึงโรงแรมปุ๊บเพื่อนก็ขับรถมารับไปทานข้าว
ว่าจะไปนั่งเปิบไก่ทอดเที่ยงคืนเจ้าอร่อย ก็ดันเปิดขาย 5 ทุ่ม
( ใครจะมากินจำไว้นะครับ ว่าป้าแกเปิด 5 ทุ่ม
ไปก่อนครึ่งชั่วโมงก็ไม่ขายให้ ต้องนั่งรอ )
ผมกับเพื่อนก็เลยนั่งกินร้านข้างๆ ที่ขายพวกไก่ทอด ไส้อั่ว ข้าวเหนียว เหมือนกัน
ผลก็คืออร่อยไม่แพ้ร้านไก่ทอดเที่ยคืนของป้าจอมดุเลยครับ

เพื่อนคนนี้ก็เป็นเพื่อนสมัยเรียน ม.เชียงใหม่
แล้วก็ลงทุนในหุ้นเหมือนกัน ( ผมเป็นคนแนะนำให้รู้จักกับ Value Investment )
วันนี้มาเจอกันก็เลยมาคุยกันเรื่องการลงทุนและมุมมองเศรษฐกิจนิดหน่อยครับ

จากนั้นอีกวันก็ไปเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ครับ
เรียกได้ว่าไม่ได้คิดถึงเรื่องหุ้น หรือ เรื่องการลงทุนเลย
เป็นการพักผ่อนที่พักผ่อนจริงๆครับ


ช่วงที่อยู่เชียงใหม่ 2-3 วันนี้ก็ไปเที่ยวถ่ายรูปนั่นนี่ ไหว้พระ กินข้าว นั่งร้านกาแฟ
ขับรถไปๆมาๆก็ผ่านไปเห็นป้ายโฆษณาโครงการบ้าน , คอนโด เยอะแยะเลยครับ
ก็ราคาสูงใช้ได้ ถ้าเป็นคอนโดฯ แถบ ถนนนิมมานฯ ห้องละประมาณ 3 ล้าน
ส่วนบ้านเดี่ยวรอบนอกเมืองหน่อยก็ประมาณ 3 ล้าน
อ้อ ผ่านไปอีกที่เห็นตึกแถว(4ชั้น) ข้างคลองชลประทาน ตรงข้าง มช.
ประกาศขายห้องละ 7.5 ล้าน ซึ่งถือเป็นราคาที่เพิ่มขึ้นมากทีเดียว
เมื่อตอนผมเรียนจบใหม่ๆน่าจะห้องละ 4 ล้าน บวกลบนิดๆเท่านั้นเอง
เชียงใหม่ในช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นเลยแหละ
แต่ที่รู้แน่ๆก็คือการจราจร ต้องแก้ไข
เพราะเดินทางแต่ละที ถ้าไปด้วยรถยนต์จะเสียเวลามาก ส่งผลให้เซ็งสุดๆ
( ถนนเชียงใหม่แคบแบบขยายเพิ่มไม่ได้ )

ส่วนเรื่องราคาที่เห็น ผมก็คิดนะว่า มันเป็นราคาที่ขายให้ใครกัน
ถ้าไม่ขายให้เศรษฐี ก็ต้องคนที่เงินเดือนสูงๆ คนทั่วไปใครจะมีปัญญาซื้อ ?
( เดาอีกอย่างว่าเอาไว้ขายให้คนกรุงเทพที่จะหนีน้ำมาอยู่เชียงใหม่แน่เลย )

อันที่จริง ผมก็มี Plan B ที่จะมาอยู่เชียงใหม่เหมือนกันนะครับ
แต่ยังไม่เคยคุยให้แฟนฟังว่าแอบคิดแบบนี้ไว้นะ
เพราะผมมองว่าเชียงใหม่เป็นเมืองที่คุณภาพชีวิตดี
มีโรงเรียนดีๆ โรงบาลดีๆก็มี
ค่าครองชีพไม่แพงเท่า กทม. ( อาหารเชียงใหม่ถูกมาก )
ใกล้บ้านผม ( บ้านผมอยู่เชียงราย ) เดินทางไปบ้านแฟนสะดวก
( บ้านแฟนผมอยู่ฉะเชิงเทรา นั่งเครื่องไปลงสุวรรณภูมิ ต่อรถไปแป๊บเดียว )
แต่พอมาเจอรถติดรอบนี้สงสัยได้คิดใหม่ครับ T T
( ว่าแต่ว่า ความจริงอาศัยอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย
แบบ ดร.นิเวศน์ฯ ก็สบายไปอีกแบบนะครับ ^ ^ )


และผมก็มีโอกาสผ่านไปในที่ๆเคยผ่าน
เห็น ร้านค้า ร้านอาหารร้านโปรดของผมหลายร้านก็ยังไงเปิดอยู่
แต่ก็เปลี่ยนมือ ( เจ๊ง ) ไปหลายร้าน
ก็ได้ข้อคิดอะไรบางอย่างครับ
ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง
ธุรกิจที่จะอยู่รอด ต้องมีทีเด็ดจริงๆ ครับ
เพราะถ้าไม่เจ๋งจริง ไม่นานลูกค้าก็ลืมคุณ แล้วก็ไปหาร้านที่เค้ามีทีเด็ดมากกว่าคุณ
ร้านโปรดของผมแต่ละร้าน ที่ยังอยู่ต่างก็เติบโตแข็งแกร่งขึ้นมาก
เพราะฉะนั้นในการทำธุรกิจนั้น...
การโฟกัสจุดแข็งของตน และพัฒนาให้มันเด่นสุดๆไปเลยสำคัญมากครับ
เพราะมันอาจจะเด่นจนกลบจุดอ่อนให้ลูกค้ามองข้ามจุดอ่อนนั้นไปเลยก็ได้

หรืออย่างในการดำเนินชีวิตของเราเช่นกัน
บางทีการเลือกทำในสิ่งที่เราชอบหรือพัฒนา Skill ในด้านที่เราถนัด
อาจจะดีกว่าการเขี่ยวเข็ญให้เราทำอะไรที่เราไม่ถนัดนะครับ
เราจะเสียเวลาพํมนาสิ่งที่เราไม่ชอบไปทำ
ถ้าพัฒนาแล้วมันอยู่แค่ในระดับที่ "พอผ่าน"
เอาไปใช้ประโยชน์อะไรก็ใช้ได้ไม่เต็มที่
สู้เอาเวลาไปพัฒนาสิ่งที่เราถนัดให้มันเจ๋งล้ำหน้าชาวบ้านให้มากๆ
จนมันกลายเป็นสิ่งที่ชาวบ้านต้องมาง้อขอพึ่งความสามารถของเราจะดีกว่า จริงไหมครับ ?


ใกล้จะสิ้นปีเข้าไปแล้ว
ช่วงนี้ผมก็จะพยายามวางแผนการออมเงินและการลงทุนของปีหน้าครับ
โดยยึดแผนระยะยาวที่เขียนไว้เป็นหลัก (ก็มีการปรับปรุงแผนอยู่เรื่อยๆ)
ปีหน้าคงต้องขยันให้มากกว่าปีนี้ (ปีนี้แทบไม่ค่อยรู้จักหุ้นใหม่ๆเพิ่มเลย)
เดี๋ยวถ้าร่างเสร็จแล้วก็จะเอามาให้ดูกันนะครับ ^ ^


แม้เป้าหมายจะอยู่ไกล...
แต่ถ้าเราเดินอยู่ในเส้นทาง เดินอย่างสม่ำเสมอ
ระยะห่างระหว่างตัวเรากับเป้าหมาย มันก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ
หากเราเดินต่อไป เราต้องคว้ามันมาไว้ในมือได้แน่นอน!


ข้อมูลจาก Twitter ของพี่ @MrMessenger ขอนำมาแปะไว้นะครับ
ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันศุกร์
5 อันดับแรก ได้แก่
#1 US +3.82%
#2 Philippines 2.14%
#3 Indonesia 2.06%
#4 South Africa 1.91%
#5 Thailand -0.33%
( 3 ใน 5 คือตลาดกลุ่ม TIP = Thailand, Indonesia, Philippines )
ส่วนผลตอบแทนของทอง YTD ปีนี้ อยู่ที่ 22.4% (ชนะหุ้นขาดลอย)
และน้ำมันปีนี้เหวี่ยงไปเหวี่ยงเหมือนหุ้นเปี๊ยบ อยู่ที่ 0.80%

ส่วนข้อมูลจาก @FundTalk :
สัปดาห์หนี้จับตามองการประชุม European Union Summit ในวันศุกร์ที่ 9 ธค นี้
คาดว่าจะมีนโยบายเชิงรุกมากขึ้นจาก IMF & ECB



อ้อ วันนี้วันพ่อ เมื่อเช้าส่ง SMS ไปหาป๊าแล้ว ที่ไม่ได้โทรไปหาก็เพราะผมขี้เขินน่ะครับ
อยากบอกว่า " รักป๊าที่สุดเลย จะพยายามเพื่อป๊า จะรวยเพื่อป๊า ไม่ให้ป๊าต้องลำบากครับ! "

Thursday, December 1, 2011

0037 : Value Visions 01-12-2011

ตลาดหุ้นไทยวันนี้ทะลุขึ้นมาเหนือ 1,000 จุดอีกแล้ว
แต่ยังมีคนที่อยู่บนดอยลูกใกล้ๆ 1,100 จุดอีกเยอะรึเปล่า ?
ปีนี้เป็นปีที่ผันผวนมาก จากดัชนีเกือบพันจุด วิ่งไป 1,100 จุด
จากนั้นมาที่เก้าร้อยกว่าๆ แล้วก็วิ่งมาที่ 1,000 จุดอีกครั้ง
เจอแบบนี้บางทีคนที่ชนะอาจไม่ใช่เซียนก็ได้ แต่อาจเป็นคนที่ซื้อถั่วเฉลี่ย แบบ DCA ?

ด้านฝั่งคนที่ซื้อ LTF & RMF เพื่อจะลดภาษีเหมือนกัน
มาซื้อตอนนี้ก็ถือว่าซื้อแพงไปหน่อย แต่ถ้า DCA มาทั้งปี ต้นทุนก็น่าจะต่ำกว่า
คนที่มาซื้อตูมเดียวปลายปีแบบนี้...
แย่งกันซื้อกองทุน กองทุนก็แย่งกันเอาเงินมาซื้อหุ้น...

ทายตลาดผิดมาหลายวัน
ทายว่าจะลงๆ ก็พุ่งเอาๆ ดีนะที่ฝึกใน Paper Trade ไปก่อนเนี่ย
ไม่งั้นมีเสียตังค์แน่ๆ ก็ต้องฝึกกันไปครับ
ข้อจำกัดของผมในตอนนี้ก็คืองานประจำเนี่ยแหละ
ทำให้ไม่สามารถมาฝึกเทรดได้
ก็เลยได้แต่ลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน+กราฟมุมกว้างๆต่อไป


" โลกนี้ไม่มีใครคาดเดาตลาดหุ้นได้ "
สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น
และคุณจะชนะก็ต่อเมื่อคุณทำสิ่งที่ถูกต้อง...


สถานการณ์ในวันนี้ ฝรั่ง Net Short 6 สัญญา ( สู้กันสูสีมาก! )
แต่ Net Buy หุ้นไป 1,600 ล้าน ส่วนผู้กองเก็บหุ้นไป 3,200 ล้าน
( เงิน RMF + LTF แน่ๆเลย ) ปอบก็ร่วมวงเก็บหุ้นไปอีก 2,800 ล้าน
ย่อยขายเละเช่นเคย ไม่รู้จะขายหมูรึเปล่านะ >_<

ส่วนตัวแล้วผมคิดว่านี่เป็นอารมณ์หลุดดอยแล้วรีบปล่อยของร้อนออกจากตัวของรายย่อย
แล้วก็จะเกิดอารมณ์กลัวตกรถกลับมาไล่ซื้อคืนให้เค้า(หมายถึง ฝรั่ง กอง ปอบ )
ได้กำไรอีกรอบ... เหตุการณ์นี่จะเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
มันเป็นวัฏจักรของแมงเม่านั่นเองครับ

ส่วนตัวผมก็มองว่า Sideway ไปเรื่อยๆ เพราะปัญหายังไม่ได้ถูกแก้
พวกฝรั่งก็ได้แต่ผักชีโรยหน้า แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ
( หนี้ที่ใกล้จะถึงกำหนดชำระก็อีกหลายก้อน )
ตลาดน่าจะเล่นกับความกังวลและคลายกังวลต่อไป
แต่... พี่กันก็อาการดีขึ้น จากตัวเลขที่ออกมา และก็คงต้องหาที่ให้เงินไปพัก
เม็ดเงินก็น่าจะกระเด็นเข้ามาทาง Asia เป็นระยะๆด้วย
( แล้วก็ต้องดึงกลับเป็นระยะๆเมื่อยามที่ตลาดกังวล - - )
ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆนะครับ อย่าฟังผมมาก ทายทีไรผมก็ผิดตลอดเลย T T
แต่ก็ต้องฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์ ฝึกเชื่อมโยงข้อมูลและความรู้ กันต่อไป
ซ้อม ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม...!

สำหรับหุ้นในพอร์ตผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย
กลัวว่าจะลง เตรียมแผนเอาไว้รับมือ ก็ไม่ลงแถมพุ่งต่ออีก ก็ดีวุ้ยไปของมันได้
วันนี้ก็บวกมานิดหน่อยครับ พูดแล้วหุ้นในพอร์ตผมก็คงเป็นหุ้นลูกเมียน้อย
ที่ Fund Flow มักจะไหลเข้าช้าหน่อย
เพราะมัวแต่ไหลไปซื้อพวก Bank กะ พลังงาน ที่นำตลาด
กว่าจะมาซื้อหุ้นผมเค้าก็เขียวปี๋กันไปไหนต่อไหนแล้ว
แต่ไม่เป้นไรนะ ผมไม่รีบอยู่แล้ว ขอแค่ระยะยาวมันไปถึงที่คำนวนไว้ก็อิ่มแล้ว หุหุ