Pages

Sunday, July 26, 2015

0396 : สิ่งสำคัญในการอยู่ในตลาด



1. เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่ในตลาดอยู่มีความสุขให้ได้ก่อน หลายๆคนรวมถึงผมก็เคยเป็น อยู่ในตลาดแล้วเครียด คาดหวัง เปรียบเทียบ จริงๆแล้วไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ ใช้ความหวังนำทาง ชีวิตจะมีความสุขกว่าการใช้ความคาดหวังมากดดันตัวเอง


2. อยู่รอดก่อน ปกป้องทุนไว้เป็นอันดับแรก แล้วกำไรจะตามหาเราเอง ในโลกทุนนิยม เราใช้ทุนในการดึงดูดผลตอบแทน หรือกำไรนั่นเอง พอเราทุนเราไม่หาย กำไรจะค่อยๆเพิ่มขึ้น กำไรที่เราทำได้จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดกำไรให้เราอีกต่อ แล้วก็จะเกิด พลังมหัศจรรย์แห่งการทบต้น ไงล่ะ


3. ความต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญ ไม่จำเป็นต้องเล่นท่ายาก แต่ใช้ความเรียบง่ายให้ต่อเนื่อง ชัยชนะเล็กๆในระยะเวลาที่ยาวนานบวกกับการพลังแห่งการทบต้น ช่วยได้เสมอ เพียงแต่เราอดทนกับมันได้หรือเปล่า ?


4. เรียนรู้จากความผิดพลาด เรียนรู้และใช้มันเป็นบทเรียน ตลาดมักจะทดสอบเราก่อนแล้วค่อยให้บทเรียนทีหลังเสมอ ถ้าไม่เรียนรู้จากมัน ก็ต้องเจ็บไปเรื่อยๆ


5. ยิ่งจด ยิ่งจำ ประสบการณ์ที่ได้จากตลาดคือบทเรียนที่มีค่า อย่าปล่อยให้มันผ่านไป จดบันทึกมันเอาไว้ จะวิธีไหนก็ได้ เขียน บันทึกเสียง ถ่าย VDO บันทึกเก็บเอาไว้แล้วกลับมาย้อนดูตน เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ความเติบโต (หรือบางทีก็ข้อผิดพลาดที่เรายังแก้ไม่ตก) บทเรียนของเรา จะสอนเราได้มาก ช่วยให้เรารู้จักตัวเอง


#รู้สึกคันมืออยากเขียนอะไรบางอย่างก็เลยเขียนมันออกมา
#ฮ่าๆ


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions

Friday, July 24, 2015

0395 : Diary 24 ก.ค. 2558



สัปดาห์นี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ไม่ได้เทรด Fx ด้วย เทรดแต่หุ้นไทย ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน มัวแต่เอาเวลาไปดูหนัง ดูซีรีย์กับภรรยา 555 เอาน่ะ สัปดาห์หน้า Energy น่าจะดีขึ้นนะ


ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้เทรดมันส์ดี เล่นกับ Volatility ล้วนๆ ขึ้นขาย ลงซื้อ ขึ้นขาย ลงซื้อ ลดต้นทุนได้ประมาณนึง สบายๆไป แต่ Port รวมแม่งหดนะ แต่ได้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น


ส่วนการออกกำลังกาย ฝนตก ขี้เกียจ บาดเจ็บ เลยไม่ได้วิ่ง ยอมรับสภาพแต่โดยดี...


ความสัมพันธ์ เราเริ่มคิดในมุมมองของคนอื่นมากขึ้น มีบางวันเหมือนกันที่ภรรยากลับบ้านมาแล้ว อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เราก็เข้าใจเขานะ เพราะงานเขาคงเหนื่อย หน้าที่เราก็คือไปชาร์จพลังให้เค้า ไม่ใช่อารมณ์เสียใส่กันแบบนั้นก็ยิ่งไปกันใหญ่ ช่วงแรกๆต้องใช้ความอดทนเยอะเหมือนกัน แต่ความเข้าใจก็ช่วยแบ่งเบาภาระของความอดทนไปได้เหมือนกันนะ

0394 : Cash Reserve



อย่างที่เรารู้กันอยู่ว่า SET กับ USDTHB มักจะ correlate ไปในทางตรงข้ามกัน ซึ่งวิธีง่ายๆที่ผมใช้อยู่ตลอดก็คือการใช้ USDTHB เป็น lagging กับ SET


อย่างแรกก็คือเวลาเรามีหุ้นแล้วหุ้นขึ้น เราก็จะมี positions ที่เราขายออกทำกำไรไป แล้วเกิดหุ้นวิ่งไปต่อ เงินสดก้อนที่ได้มา ก็จะกลายเป็น cash reserve รอซื้อหุ้นกลับเข้า port หากหุ้นลงมา


ปกติอาจจะเอาไปฝากธนาคารหรือซื้อ MMF รอไว้ แต่อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ การเอา cash reserve มาเก็บไว้ในรูปของ USD จะฝากไว้ในธนาคารแบบสกุลเงินต่างประเทศ หรือจะแลกมานอนกอดไว้ก็ได้ (แต่ไม่แนะนำ เพราะไม่ได้ดอกเบี้ย 555) ส่วนวิธีที่ผมใช้ก็คือโอนไปไว้ใน Port Forex ซึ่งจะมีบางโบรคที่แค่ฝากเงินไว้เฉยๆ ก็จะได้ดอกเบี้ยทุกสิ้นเดือน โอนเข้า port ให้เราอัตโนมัติ (แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่มากกว่าฝากไว้กับธนาคาร)


วิธีบริหารความเสี่ยงก็คือ ผมจะแบ่ง cash reserve เป็นระดับชั้น เช่นเรามี cash reserve 1,000,000 บาท เราก็จะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ

1. 25% แรก เก็บไว้ในที่ที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง เช่น ฝากไว้ใน Bank ถ้าหุ้นลงหรือเกิดอะไรขึ้นก็พร้อมโอนถ่ายมาซื้อหุ้นได้เลย

2. 25% ที่สอง เก็บไว้ในกองทุน MMF ซึ่งสภาพคลองต่ำกว่านิดนึง (T+1)

3. 25% ที่สาม เก็บไว้ในรูปของ USD รับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ถ้า step 1-2 ใช้ไม่หมด ก็ถือไปเรื่อยๆ กำไรในจุดที่พอใจเมื่อไหร่ก็เปลี่ยนกลับมาเป็น THB

4. 25% ที่สี่ อาจจะเอาไป short put option รอหุ้นลง ถ้าไม่ลงก็ short กิน premium ไปเรื่อยๆ


มอง Cash Reserve ให้เหมือนขนมชั้น ชั้นบนสุดกินก่อน ต้องรับความเสี่ยงน้อยๆสภาพคล่องสูง ชั้นล่างๆก็เสี่ยงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ทั้งหมดต้องคำนึงถึงการปกป้องเงินทุนก่อน ทุนต้องไม่หาย เพื่อที่จะกลับมาซื้อหุ้นได้เวลาที่โอกาสมาถึงอีกครั้ง


Cash Reserve ของเราเปรียบเสมือนกองบัญชาการ ดูแลมันให้ดีๆนะครับ อิอิ


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions

Tuesday, July 21, 2015

0393 : การ Short หุ้นตัวเอง



อย่างที่เคยเกริ่นไว้ช่วงก่อน ระบบเทรดหุ้นไทยของผมจะบันทึกรับรู้รายได้เมื่อซื้อคืนได้ (รับรู้กำไรเมื่อซื้อ) ทำให้ตลาดในช่วงนี้ผมก็มีซื้อหุ้นคืนเข้า port เหมือนกัน หลังจากที่ให้เค้าเช่าไปเทรดกันพักใหญ่ 555


ผมมอง CF เป็น position เช่น สมมติหุ้นตัวนึงผมขายออกไปที่ 10 บาท ตอนนี้หุ้นลงมาเหลือ 8 บาท แสดงว่า position นี้ผมกำไร 2 บาท คิดง่ายๆก็ ไม้นี้กำไร 20% ละนะ ในความเจ็บปวดของ port รวมยังมีเรื่องน่าดีใจอยู่ เห็นไหม แล้วเราก็มาถามตัวเองต่อว่า ณ จุดนี้เราพอใจกำไรใน position นี้ไหม หรือจะ let profit run ต่อ (จริงๆก็ต้องวางแผนล่วงหน้ามาแล้วแหละว่า position นี้จะรับคืนที่ตรงไหน)


การเล่นแบบนี้แตกต่างจากการ cut loss นิดเดียวคือ การจดบันทึก ถ้าเรา cut loss คือ เราจะลืมที่เรา cut loss ไปซะ แต่การ short หุ้นตัวเอง คือการจดบันทึกเอาไว้ว่า เราขายออกที่ตรงไหน แต่ไม่ได้เอาไป match กับบัญชีที่เราซื้อมา เราก็แค่รอรับคืน ลงมาไม่ถึงก็ถือเงินสดเอาไปฝากแบงค์ ซื้อ money market fund รอ ไม่ก็เอาไป short put รอก็ได้ ถ้ามาลงมาเมื่อไหร่ก็ switch เงินกลับมาซื้อหุ้น


หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเกิดไอเดียในยามที่ตลาดแดงๆแบบนี้นะครับ

Tuesday, July 14, 2015

0392 : จงนิยามความมั่งคั่งของเราเอง



เมื่อวานคุยกับเพื่อนเรื่องการ Trading for living ผมนึกถึงคำของพี่หนุ่ม Money Coach ที่เคยพูดว่า “จงนิยามความมั่งคั่ง” ของตัวเอง เราคุยกันถึง CF ต่อวัน เพื่อนผมเทรดเก็บ CF ได้วันนึงราวๆ $20-$30 บางวันฟอร์มดีๆตลาดเป็นใจก็ได้ $100+ คุยกันว่า เออ มันก็พอใช้นะ คนเราวันนึงจะใช้ตังค์วันละเท่าไหร่กันเชียว ทำไมเราต้องทำให้ได้วันละพันเหรียญหมื่นเหรียญโดยการยิงปืนใหญ่ lot หนักๆด้วย
 

ปัจจุบันการตลาดมันค่อนข้างเยอะ เราก็เลยโดนปั่นหัวว่าต้องรวยขนาดนั้นขนาดนี้ อันที่จริงเราออกแบบชีวิตของตัวเองจะดีกว่านะ วันนึง สัปดาห์นึง เดือนนึงเราใช้จ่ายเท่าไหร่ แล้วอยากเหลือเงินเก็บ เงินออม เป็นทุนเพิ่มเท่าไหร่ จ่ายค่าเบี้ยประกัน ลดหย่อนภาษี ไปท่องโลกเปิดหูเปิดตาต้องใช้เงินเท่าไหร่ ปีๆนึง (หรือไตรมาสนึงก็ได้)


Trading for living วันที่เราพอร์ตเล็กก็ต้องอดทน กินง่ายอยู่ง่าย อย่าเพิ่งไปนึกภาพว่าตัวเองเป็น Leonardo Dicaprio ใน The Wolf of Wall Street จนกว่าจะเหลือกินเหลือใช้มากๆ ก็ค่อยให้รางวัลตัวเอง (หรือจังหวะที่หวดโฮมรันได้)


เป้าหมายเราไม่จำเป็นต้อง พันล้าน หมื่นล้านก็ได้มั๊ง ถ้าถึงก็ถือว่ามันเป็นโบนัส เป้าหมายของเราจึงควรจะมาจากการรู้จักตัวเองให้ถ่องแท้ เราใช้เท่าไหร่ อยากเหลือเก็บเท่าไหร่ ไอ่ส่วนเหลือเก็บนี่สำคัญเหมือนกันนะ ถ้าเทรดได้ CF $1,000 ต่อเดือน แล้วใช้หมดทั้งพันเหรียญ ความมั่งคั่งก็จะไม่เพิ่มขึ้น แถมพอร์ตยังลดลงจากเงินเฟ้ออีก แต่ถ้าเทรดได้ $1,000 ใช้ $500 ก็เท่ากับเราเหลือเก็บ $500 จะเก็บไว้ในพอร์ตหรือเก็บไว้เป็นเงินสดสำรองไว้ในบัญชีธนาคารก็ไม่ว่ากัน
 

ส่วนของผมที่ตั้งใจไว้ก็คือ 25% ของ cash flow รายเดือนนั้นเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายประจำเดือน ถ้าทำได้ก็ถือว่า ok อยู่สบายๆ (อีก 75%ทบต้นเข้าพอร์ต)  แต่ภายในเงื่อนไขที่ว่า personal finance ของผมและครอบครัวมีความแข็งแรงแล้วด้วยนะ นั่นก็คือ มีเงินออมสำรองเผื่อฉุกเฉิน มีพอร์ตเพื่อเกษียณ และมีประกันคุ้มครองความเสี่ยง ซึ่งก็ต้องค่อยๆสร้างกันไป (รีบทีไรพังทุกที ฮ่าๆ)


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions

Sunday, July 12, 2015

0391 : ลาป่วยมา 1 สัปดาห์



สัปดาห์ที่ผ่านมาลาป่วย 555 เนื่องจากเป็นหวัด เจ็บคอ เลยบอกโค้ชว่าขอลาดีกว่า ทั้งเทรด ทั้งวิ่ง ไม่ได้ฝึกเลย ฝึกแต่สมาธิ กำหนดลมหายใจบ้าง เวลาระลึกได้


ดูจิตตัวเองแล้วถ้าเทรดก็พังแน่ๆ แค่ใช้ชีวิตประจำวันยังอึดอัด หงุดหงิดเลย


แต่การที่เรามี multi-strategy มันก็ดีอย่าง ไม่เทรด เราก็มี passive model คอยแบ่งเบาภาระของเราไปได้ (พวก model ที่ตั้ง pending order กะ correlation hedge กิน swap อ่ะนะ)


ส่วนหุ้นไทยเราก็เคาะขายออก-รับคืนไปตาม step มันยังไม่ไปไหนเลย เราก็กิน volatility ไปเรื่อยๆ แถมช่วงนี้ยังได้ Volume จากคำทำนายหมอไพศาลมาอีกดอกเป็นตัวเร่ง Volatility ให้ตลาด เราก็เลยได้เก็บจังหวะ swing ไปด้วยเลย


จริงๆแค่ 5 วันนี่ก็รู้สึกว่าห่างการเทรดไปเหมือนกัน ตอนนี้ก็อาการดีขึ้นเยอะแล้ว พรุ่งนี้ลุยกันต่อไปทั้งเทรด ทั้งวิ่ง...

Monday, July 6, 2015

0390 : เรียนวิ่งเท้าเปล่า



เมื่อวานไปเรียนวิ่งเท้าเปล่ากับ อ.โยชิ ซึ่งเราคิดว่าจริงๆเค้าน่าจะชื่อ โยดา มากกว่า เพราะพูดถึง Force พูดถึงพลัง อะไรงี้บ่อยเหลือเกิน จนเรานึกว่าเราเป็นพาดาวันหนุ่มแห่งคอรัสซังซะอีก


ไอ่เราไปสายนิดหน่อย ก็มึนๆ เค้าอธิบายถึงแรงกระแทกเวลาเราลงเท้าไปที่พื้น ถ้าใช้ส้นลงแรงจะสะท้อนไปยังไง ถ้าใช้เท้าด้านหน้าลงจะเป็นยังไง และมีเรื่องของ flow ซึ่งการวิ่งปกติจะทำให้แรงไปปะทะพื้นแล้วหยุด แต่ถ้าฝึกวิ่งเท้าเปล่าแบบถูกวิธี แรงที่ลงพื้นจะเด้งกลับมาส่งให้ก้าวถัดไป เหมือนปั่นจักรยาน เหมือน momentum อะไรงี้


มันคือการควบคุมพลัง แต่ถ้าไม่เข้าใจก็จะตกเข้าไปอยู่ด้านมืด เอ้ย ก็อาจจะบาดเจ็บได้ 555


เวลาวิ่ง เค้าบอกว่า "อย่าคิด แต่ให้ใช้ความรู้สึก" ในหัวเรานี่หน้าอาจารย์ ไควกอน จิน ลอยมาเลย ประโยคเดียวกับที่ อ.ไควกอน บอกกับ อนาคินฯ ตอนที่จะแข่งขับยาน ใน Star Wars EP.1 เบย


การวิ่งของ อ.คล้ายๆกับ นินจาฮัตโตริ มาก ซอยขาถี่ๆ ถ้าออกเสียง นิน นิน นิน ล่ะใช้เลย
 

ตอนท้ายมีให้ปลดปล่อยสัญชาติญาณนักล่า นั่นคือเค้าให้เล่นวิ่งไล่จับ ตอนเราวิ่งไล่จับ เราจะเหมือนเด็ก วิ่งโดยไม่ต้องสนใจท่า เราจะสนใจแค่การวิ่งไปแตะเหยื่อที่อยู่ใกล้ที่สุดของเราเท่านั้น speed เท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องไปให้ถึง พอเล่นเกมนี้เสร็จ HR ปรี๊ดไปแถวๆ 170 bpm เบย แต่ก็หนุกดีๆ


สรุปจะวิ่งเท้าเปล่าได้ก็ต้องไปฝึกให้ร่างกายมันจำให้ได้ ฝึกกันต่อไปนะเรา

Saturday, July 4, 2015

0389 : Life is a choice.



ชีวิตมันคือทางเลือก...
ปัจจุบันสิ่งเร้ามันก็ช่างมากมายเหลือเกิน
บางทีแม็ค เอ้ย ผมก็คิดนะ
ตอนนี้ ณ เวลานี้ มีหลายอย่างที่เราอยากทำ
นู่นก็อยากทำ นี่ก็อยากทำ
แต่คนเรา... แม่งมีเวลาจำกัดหว่ะ
เวลามีจำกัดยังไม่พอ พลังงานก็ยังมีจำกัดอีก
สิ่งที่ทำได้ก็คือทำทีละอย่างล่ะมั๊ง


หรือบางอย่างก็แบ่งเวลาไปทำ
หากมันเป็นกิจกรรมใช้พลังงานคนละส่วนกัน


มันคือการจัดลำดับความสำคัญละมั๊ง
หลักๆที่ผมต้องทำให้สำเร็จก็คือเรื่องฝึกเทรด
แต่จริงๆผมก็อยากทำอย่างอื่นด้วย (แค่ความอยากนะ)
อยากออกไปถ่ายรูป ฝึกแต่รูปด้วยโปรแกรม
แต่เวลามีจำกัด ถ้าผมแบ่งเวลาไปทำกิจกรรมอื่น
หมายถึงผมต้องแบ่งเวลาในการฝึกเทรด
ซึ่งมันจะทำให้เสียเรื่องหลักของเราไป


ผมเลยเลือกกิจกรรมที่ผมอยากทำ
แต่ไม่ได้แบ่งเวลาและพลังงานจากการฝึกเทรดไปเท่าไหร่
เช่นการเขียนเพจ เขียน blog ซึ่งมันเป็นเร่องที่เกี่ยวเนื่องกัน


พี่ต้านเคยพูดไว้ว่า...
การฝึกมันเหมือนกับเราทำสัญญากับซาตาน
เราเลือกที่จะเดินทางนี้ เพราะงั้นเราก็ต้องเสียบางอย่างไป
เออ มารู้สึกจริงๆก็ช่วงนี้แหละ


ชีวิตประจำวันตอนนี้ทำงานประจำเสร็จ
กลับมาถึงห้องราวๆ 5 โมง
อ่าน The Greatest Salesman 1 บท 1 รอบ
แล้วก็ไปออกกำลังกาย
กินข้าวเย็นเสร็จ มานั่งดูตลาด ทำการบ้านส่งโค้ช
ถ้าการบ้านเสร็จไวก็มีเวลาอ่านหนังสือ
ก่อนนอน อ่าน The Greatest Salesman 1 บท 1 รอบ
เข้านอน ปิดไฟ แต่ก่อนที่จะหลับ
ทำสมาธิแบบกำหนดลมหายใจ จนเผลอหลับไปเอง
วนเวียนอยู่แค่นี้เองนะ


แต่ถามว่ามีความสุขไหม
เออ มีสิ มันคือระหว่างทางที่เราเลือกนี่หว่า...


เรามีความสุขที่ได้เห็นการเติบโตของตัวเอง
เอาชนะตัวเองทีละเล็กละน้อย
ขยาย comfort zone ของตัวเองไปทีละนิด
แต่เรายังรักษาสมดุลของชีวิตและการงานเอาไว้ได้


#วันนี้บ่นอะไรแว๊ #ถถถ

Thursday, July 2, 2015

0388 : Racing Toward Excellence



ช่วงนี้ค่อยๆอ่าน Racing Toward Excellence เพราะเป็นหนังสือที่พี่ต้านแนะนำ และพี่สหายก็แนะนำให้อ่าน เพื่อจะได้เข้าใจในเรื่องของการตั้งเป้าหมายชีวิต ส่วนตัวผมก็อยากอ่านนานแล้ว (สงสัยเพราะอยากไม่พอ) ช่วงนี้กลับมาคิดเรื่องเป้าหมายของชีวิตให้มันชัดเจน เลยตะลุยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในชีวิตหลายเล่มเลย


หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Muzzaffar Khan & Jan Sramek ในอดีตเคยทำงานใน Hedge Fund


โดยเค้าจะเน้นการดำเนินชีวิตให้มีประสิทธิภาพ และมีความสุข โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ซึ่งเค้าเรียกว่า The Four Accounts ดังนี้...


1. Emotional health สุขภาพทางอารมณ์
2. Material wealth ความมั่งคั่งทางวัตถุ
3. Mental health สุขภาพทางจิตใจ
4. Physical health สุขภาพร่างกาย


เราจะต้องค่อยๆเพิ่มทั้ง 4 ด้านอย่างมีสมดุล เค้าใช้คำว่า สมดุลเชิงบวก เพราะทั้ง 4 ด้านจะเปรียบเหมือนตัวแทนของความสุข


ลองนึกภาพดูว่า หากมีเงินทองมากมาย (Material wealth) แต่สุขภาพร่างกายไม่ดี ก็คงไม่มีความสุข หรือมีทุกอย่างครบเลย แต่ไม่มีตังค์ ไม่มีข้าวจะแดก เป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ก็คงบอกว่ามีความสุขได้ไม่เต็มปาก


หรือ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ครอบครัวล้มเหลว สามีภรรยา เมินเฉยต่อกัน ก็เท่ากับสอบตกในเรื่องของ Emotional health


การตั้งเป้าหมายในชีวิตก็ควรใส่ใจทั้ง 4 มิตินี้ให้ครบและสมดุลไปด้วยครับ

0387 : ลบ Facebook ออกจาก Smart Phone



หลังจากที่เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ผมตัดสินใจลบ App Facebook ออกจาก iPhone (ผมใช้แต่ iPhone นะไม่มี iPad) ก็พบว่าชีวิตมีเวลาเยอะมากขึ้น ไม่วอกแวกเวลาอ่านหนังสือ หรือ Focus การเทรด

ไม่มีมันเราก็อยู่ได้นะ เข้ามาอ่านนานๆครั้งพอ ส่วน FB Page หรือ FB Messenger ก็ไม่ได้ลบออก เพราะว่าไม่ค่อยได้เข้าดูเท่าไหร่อยู่แล้ว twitter ก็ไม่ค่อยได้เข้าไปอ่านเลย ถ้าไม่มีใคร mention มาก็ไม่ได้เข้า ส่วน Line ก็ปล่อยมันกองไว้ตรงนั้นนานแล้ว สรุปคือ ก็ดึงเวลาคืนมาได้เยอะเหมือนกัน

ผมรู้สึกว่า ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลามีค่ามากขึ้นเท่านั้น...

Wednesday, July 1, 2015

0386 : บันทึกหลังจบไตรมาส 2 / 2558



Note ไว้สักหน่อย...


ผลตอบแทน Port หุ้นไทยล้วนๆ ครึ่งปีอยู่ที่ 4.04% (ไม่นับรวมเงินค่าบริหารพอร์ตที่ pay out 25% of cash flow)


ปีนี้เป็นปีที่เล่นยาก คือหุ้นชาวบ้านวิ่งหมด หุ้นเราไม่วิ่ง ต้องอาศัยเก็บ cash flow ทีละเล็กละน้อยจังหวะที่มันสวิงไปมาๆ เนื่องจากมันไม่ไปไหน T T


ส่วนนึงอาจจะเกิดจากการเลือกหุ้นของเราด้วยแหละ ที่ skill ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ อ่อนด้อยมาก ตัวที่ลอกเค้าก็ได้ค่อนข้างดี แต่ก็ bet ไม่มาก (อะไรที่ลอกคนอื่นเรามักจะไม่ค่อยกล้า invest ในความคิดของเขาเท่าไหร่)


ที่รอดมาได้ส่วนนึงก็เพราะเราหัดยืดหยุ่นขึ้น ไม่ไปเถียงตลาด ไม่สวนตลาด หากหุ้นลงเราก็ Short sell หุ้นตัวเองตามน้ำไปเลย ยิ่งลงก็ยิ่งขาย แล้วค่อยกลับมารับคืน ทำให้รอดจากการยืน Tank จนเลือดหมดกดโพชั่นไม่ทันได้


ซึ่งมันเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนระบบบัญชี เปลี่ยนระบบรับรู้ Cash Flow ของเราด้วย เราเปลี่ยนมาใช้ระบบรับรู้ Cash Flow เมื่อซื้อหุ้นกลับคืนได้ วิธีนี้เอาความคิดของพี่เด่นศรี DSM มาใช้ คือ กำไรเมื่อซื้อ ตามแนวคิดของ Robert T. Kiyosaki


สรุปก็คือครึ่งปีหลังควรจะเพิ่ม skill การเลือกหุ้นให้ดีขึ้น ไม่งั้นเหนื่อย 555