Pages

Sunday, August 28, 2011

0019 : ภาพลวงของราคาทุน


ตอนลงทุนใหม่ๆ ช่วงปี 2008 ผมซื้อหุ้น KK มาในราคา 10.30 บาทต่อหุ้น
ต้นปี KK ราคาอยู่ที่ 39 บาท และ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ราวๆ 33 บาท

หลายคนอาจจะบอกว่า ผมโชคดีที่ซื้อหุ้น KK มาในราคาถูกมาก
คิด Div. Yield ออกมาอาจตกราวๆ 25% เลยทีเดียว
แต่ผมว่านั่นไม่ใช่การคิดคำนวนผลตอบแทนที่ถูกต้อง
เพราะ 25% นั้น เป็นการคิดจากราคาทุนที่ซื้อมา
การวัดผลตอบแทนอันที่จริงแล้วควรจะคิดจากราคา ณ ต้นปีมากกว่า

อย่างหุ้น KK ในปีแรกที่ผมซื้อมานั้นราคา 10.30 บาท
ปลายปี ราคา 25.50 บาท ปันผลทั้งปี 1.50 บาท
ผลตอบแทนรวมตกอยู่ราวๆ 262%

ต่อมาปีที่ 2 หากผมเอาราคา 10.30 มาคิดเป็นราคาทุน
ปีนี้ หุ้น KK ปันผล 2.25 บาท / หุ้น
เฉพาะอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะเท่ากับ 21.84%
ซึ่งดูเหมือนเยอะมากมาย แต่ถ้าหากคิดเทียบกับราคา ณ สิ้นปีที่แล้ว คือ
25.50 บาท แล้วล่ะก็ ผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 8.82% เท่านั้น
ซึ่งบางคนอาจจะเถียงว่า ก็ฉันจะคิดจากราคาที่ซื้อมาอ่ะ คุณจะทำไม
คิดแบบนี้แล้วฉันสบายใจหนิ... ผมยังไม่เถียงคุณหรอกครับ...

ที่นี้มาดูปีที่ 3 ปลายปีที่แล้วหุ้น KK ราคาปิด อยู่ที่ 39 บาท / หุ้น
ณ ปัจจุบัน ราคาราวๆ 33 บาท ตามที่ผมเคยบอกไว้
เงินปันผลทั้งปี ตีว่า 2.5 บาท / หุ้น ( จริงๆแล้วยังไม่ออกงวดเดียวอยู่เลย )
หากคิดผลตอบแทนจากราคาทุน 10.30 บาท Div. Yield จะอยู่ที่ 24.27%
แต่ถ้คิดจากราคา 39 บาท / หุ้น Div. Yield จะเท่ากับ 6.41% เท่านั้นเอง
แถมยังมี Capital Lost อีกตั้ง 6 บาทแนะ คิดแล้วผลตอบแทนรวมปีนี้
จะอยู่ที่ราว -10% T T ซึ่งมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะสบายใจที่จะยึด
ราคาทุน 10.30 บาทเป็นหลัก

แต่คืองี้ครับ ผมจะขอให้คุณลองเทียบดู หากคุณขายหุ้น KK ตอนต้นปี
ที่ราคา 39 บาท สมมุติได้เงิน 39,000 บาทล่ะกัน แล้วนำไปซื้อหุ้นตัวอื่น
ที่มี Upside สูง ลองเทียบดูนะครับ...
สมมุติเอาไปซื้อ BLA ล่ะกัน ( หุ้นในพอร์ตอีกตัวของผม ) ต้นปี BLA 30 บาท
เงิน 39,000 ได้หุ้น BLA จำนวน 1,300 หุ้น ณ วันนี้ราคา BLA อยู่ราว 56 บาท
เพราะงั้นเงิน 39,000 บาท จะกลายเป็น 72,800 บาท

แต่ถ้าคุณทู่ซี้ถือ KK เพราะยึดติดกับราคาทุน 10.30 บาท กะ Div Yield 20 กว่า%
เงิน 39,000 บาท เมื่อตอนต้นปี จะมีมูลค่าเหลือเพียง 35,500 เท่านั้น
( มูลค่าหุ้น 33,000 บาท + เงินปันผล 2,500 บาท )

สิ่งที่คุณต้องคิดก็คือว่า ในการลงทุน เราไม่ควรยึดติดกับราคาทุนที่ซื้อมา
แต่เราควรจะมองว่าเราจะทำอย่างไรให้เงินทุนตอนต้นปีนั้นงอกเงยขึ้นมา ณ ปลายปี
นั่นคือผลตอบแทนที่แท้จริงที่เราได้รับในแต่ละปี...

และคุณก็ควรถามตัวเองว่า คุณกำลังหลอกตัวอย่างอยู่หรือไม่ ?
คุณกำลังเข้าข้างตัวเอง ด้วยภาพลวงของราคาทุนอันแสนถูกอยู่รึปล่าว ?
อย่าลืมว่าการหลอกตัวเองไม่ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (แม้ว่าอาจจะทำให้สบายใจ)
สิ่งที่เราควรมองก็คือความเป็นจริงและการสร้างผลตอบแทนจริงๆต่างหาก...

0018 : ลอกการบ้านเซียน


ผมเชื่อว่านักลงทุนทุกคนย่อมเคยลอกการบ้านเซียน
มันเป็นเรื่องปกติที่เรากระทำกัน
แต่ นักลงทุนที่ดี จะไม่ลอกแต่คำตอบ
ไม่ซื้อหุ้นตามโดยไม่ลืมหูลืมตา
แต่จะลอกวิธีคิด แม้ว่าอาจจะไม่มีโอกาสพูดคุยสอบถามเซียนเป็นการส่วนตัว
แต่ก็อาจจะทำให้คนลอกพยายามมองให้ลึกขึ้น ให้ชัดขึ้น
พยายามแสวงหาข้อมูลและความรู้ที่เซียนมี แต่เราไม่มี
ถ้าลอกถูกวิธี เราจะพัฒนาตัวเองได้ไว

แต่ถ้าจะลอกเฉพาะคำตอบ...
ผมแนะนำให้พกผ้าห่มไปซื้อหุ้นด้วย
เพราะบางทีคุณอาจจะได้นอนหนาวอยู่บนดอย
เนื่องจากคุณต้องคำนึงถึงด้วยว่า เซียนเข้าซื้อก่อนคุณ
ต้นทุนย่อมต่ำกว่า เพราะกว่าข่าวจะหลุดมาถึงคุณ
เค้าย่อมต้องบอก ญาติสนิท มิตรสหาย เค้าไปแล้ว
ราคาที่คุณเข้าไปซื้อหุ้น (ซึ่งคิดว่าตัวเองได้ข่าววงในมา) คือราคาดอย
ที่คนแย่งกันซื้อ ทีนี้พอมีคนทะลึ่งขายทำกำไร
ก็พากันหนีตาย มึงขาย กูขายมั่ง ขาดทุนนิดหน่อยไม่เป็นไร
cut loss ไป แล้วพอไปอ่านกระทู้โดนบิ้วอารมณ์มาก็เกิดคันมืออีกรอบ
อยากได้หุ้นเข้าพอร์ต กลับไปซื้ออีกครั้งที่ต้นทุนสูงกว่าเดิม
( แมงเม่าชัดๆ ) ซึ่งเซียนคนนั้นอาจจะขายเพราะหุ้นมันขึ้นมาจน
Over Value ไปแล้วก็ได้

เพราะงั้นถ้าจะซื้อตามเซียน ต้องดูด้วยว่าเซียนเค้าให้ Value ของหุ้นตัวนั้น
ประมาณเท่าไหร่... ( ขึ้นมาเท่าไหร่เค้าถึงจะออกว่างั้น )
ซึ่งเค้าจะให้ Value เท่าไหร่คุณก็ไม่มีทางรู้
เพราะเมื่อเซียนจะขายหุ้น เค้าคงไม่มาประกาศให้โลกรู้หรอกว่า ขายหุ้นไปแล้ว

เพราะงั้น... เวลาลอกการบ้าน เราไม่ควรลอกตัวหุ้นเด็ดขาด
แต่ให้ลอกวิธีคิด วิธีหาข้อมูล วิธีมองหุ้นของเซียน
เหมือนเป็นการครูพักลักจำวิธีหาปลา
พอเราจับปลาเป็น แม้จะไม่เก่งเท่าเซียน
แต่อย่างน้อยเราก็ไม่อดตายแน่นอน...

และสุดท้ายนี้ก็ขอเตือนด้วยว่า...
คุณต้องแน่ใจด้วยว่า เซียนที่คุณพยายามลอกการบ้านนั้น
เป็นเซียนจริง ไม่ใช่เซียนเก๊...
เพราะท่ามกลางตลาดขาขึ้น มักจะมีคนที่เรียกตัวเองว่า เซียน
ปรากฏตัวออกมามากมายหลายคน
ซึ่งเพียบพร้อมทั้งบุคลิก ความน่าเชื่อเถือ
ซึ่งอาจจะมีคุณสมบัติครบทุกอย่าง ยกเว้น... ความสามารถ
หากคุณหลวมตัวไปลอกการบ้าน
หรือขอหวยหุ้นเด็ดจาก เซียนเก๊ประเภทนี้แล้วละก็
จากหุ้นเด็ด... อาจจะกลายเป็นหุ้นเด็ดชีพคุณแทน

เพราะฉะนั้น เราควรตั้งใจศึกษา หาความรู้ด้านการลงทุนด้วยตัวเอง จะดีที่สุด
ดั่งคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ " ตนแล ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน "

Thursday, August 25, 2011

0017 : Value Visions 25-08-2011

สถานการณ์วันนี้ยังไม่มีอะไรคลี่คลาย...
ในสมองของผมนั้นยิ่งสับสนเพิ่มขึ้นไปอีก
สับสนไปด้วย ความคิด ทางเลือก ความกล้า ความกลัว ความโลภ
ปัญหาที่ผมถามตัวเอง แต่ยังหาคำตอบไม่ได้ก็คือ
หุ้นในพอร์ตของผมส่วนใหญ่เป็นหุ้น Domestic
ช่วงที่ตลาดลงที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงอะไรกะเค้าสักเท่าไหร่
แต่ดูจากสถานการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น
ก็อดคิดไปไม่ได้ว่า ต่อให้หุ้นในพอร์ตของผมแข็งแกร่งปานใดก็ตาม
มันก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานแรงขายจากเงินก้อนใหญ่ของต่างชาติได้

บอกกันตรงๆว่าหุ้นตัวหลักในพอร์ตของผมก็คือ BLA ครับ
BLA นั้นไม่ค่อยจะสน SET เท่าไหร่
วันใด SET แดง BLA เขียวก็มีให้เห็นอยู่หลายวัน
ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า BLA จะเป็นหุ้นที่แข็งกว่าตลาดหรือไม่
ความสับสนของผมเกิดจากความย้อนแย้งที่ว่า...
ในภาวะขาลงแบบนี้ แต่หุ้นผมดันไม่ยอมลง ผมควรทำอย่างไรดี ?

เหตุการณ์ของ BLA นี่ มันทำให้ผมนึกไปถึงนิทานเรื่องนึงครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า... มีชายคนนึง บ้านถูกน้ำท่วม สูงจนถึงหลังคาบ้าน
ชายคนนี้ก็หนีน้ำไปอยู่บนหลังคาบ้าน ในขณะที่น้ำก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
เค้าก็ได้แต่สวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า
ไม่นานนักก็มีคนพายเรือผ่านมา ก็ได้ชวนให้ขึ้นเรือไปด้วยกัน
แต่ชายคนนี้ก็ปฏิเสธ เนื่องจากจะรอการช่วยเหลือจากพระเจ้า
ก็ได้แต่สวดอ้อนวอนต่อไป ต่อมาอีกไม่นานนักก็มีเรือหางยาวผ่านมา
คนขับรือก็ได้ชวนให้หนีขึ้นเรือไปด้วยกัน แต่ชายคนนี้ก็ยังปฏิเสธ
เนื่องจากจะรอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็ได้แต่สวดอ้อนวอนต่อไป
ต่อมาเมื่อระดับน้ำเริ่มสูงยิ่งขึ้น ก็ได้มีเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือ
แต่ชายคนนี้ก็ยังบอกปัดไป เนื่องจากกำลังรอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
สุดท้ายน้ำก็ขึ้นมาเรื่อยๆจนท่วมหลังคาบ้าน และชายคนนี้ก็เสียชีวิตไป
เมื่อตายไปก็ได้พบกับพระเจ้า ชายคนนี้ก็เลยถามพระเจ้าด้วยความโกรธว่า
เหตุใดจึงไม่ใช่เหลือตนซึ่งกำลังตกทุกข์ได้ยาก... พระเจ้าจึงตอบกลับมาว่า
" เราได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าถึง 3 ครั้ง แต่เจ้าก็ปฏิเสธความช่วยเหลือของเรา
ทุกครั้ง ทั้งเรือพาย เรือหางยาว และ เฮลิคอปเตอร์ที่เราส่งไป... "

ผมกลัวว่าผมกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เฮลิคอปเตอร์กำลังมาช่วยเหลือหรือเปล่านะ ?


ผมคิดทางเลือกให้พอร์ตผมอยู่หลายทางด้วยกัน
1. ) ไม่ต้องทำอะไร เพราะในระยะยาว ผมเชื่อว่า BLA ยังเติบโตได้อีกมาก
หากปรับตัวลงไปตามภาวะตลาดจริง ก็ต้องกลับมาได้แน่ และผมตั้งใจว่า
หากมันปรับตัวลงไป เงินออมก้อนใหม่ๆก็ค่อยๆหาจังหวะเก็บหุ้นในราคาถูก

หรืออย่างที่ เบน เกรแฮม เคยกล่าวไว้ในหนังสือ The Intelligent Investor ว่า
หากวันนึงบ้านที่เราอาศัยอยู่ มีคนมาขอซื้อโดยให้ราคาต่ำลง
เราจะขายมันเพียงเพราะอยู่ดีๆมีคนมาตีราคามันถูกๆหรือ ?
ผมว่าหุ้นในพอร์ตของเราก็เช่นกัน หากหุ้นมันดีจริง การปรับตัวลงของราคา
ย่อมเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป...

1.1 ) ปัญหาคือ ใจผมก็คิดว่า หากมันลงไป กำไรเขียวๆของพอร์ตผม
ก็หายไปน่ะสิ ? ( ผมไม่อยากทนเห็นเงินหายไปต่อหน้าต่อตา ฮือๆ )

2. ) ลดพอร์ต อาจจะลดพอร์ตลง 20% 30% หรือ 50% เพื่อชักกำไรที่ได้
ออกมาเป็นเงินสดเพื่อหาจังหวะในการช้อนซื้อหุ้นตัวอื่นที่มี MOS หรือไม่ก็
BLA ตัวเดิมที่อาจจะราคาปรับตัวลงมาตามภาวะตลาด (หากตลาดเละจริงๆ
ก็ต้องไม่รอดอยู่แล้ว) ในข้อนี้ก็อาจทำให้เครียดน้อยกว่า (มั๊ง) , ไม่ก็เครียด
เพราะถือเงินสดนานเกินไปแหละ (ผมเรื่องมากป่ะครับ? แหะๆ)

จะพูดไปการลดพอร์ตแล้วถือเงินสด รอดูสถานการณ์ ก็ดีตรงที่...
เราสามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราเองได้ครับ
ส่วนการถือหุ้นไว้เต็มพอร์ตนั้นก็เหมือนการปล่อยให้ชีวิตเราเป็นไปตามยถากรรม
หุ้นไหลลงเราก็ได้แต่ทนมองมันแดงเถือกไป ผมว่าแบบนั้นมันกระไรอยู่
แม้บางคนจะบอกว่าการลงทุนในหุ้นแบบ VI ก็เหมือนการเป็นเจ้าของกิจการก็เหอะ
แต่อันที่จริงแล้วการเป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายย่อยก็มีข้อได้เปรียบ
ตรงที่สามารถถอยได้ง่ายกว่าไม่ใช่หรือ ?
ซึ่งตรงนี้ผมว่าเป็นข้อดีที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้เปรียบเจ้าของกิจการนะ
ก็คือการถอยฉากออกมารอดูท่าที
หากหุ้นลงไปแรงๆก็สามารถเอาเงินสดมาซื้อเพิ่มได้
ในขณะที่หากไม่มีวิกฤตเกิดขึ้นก็กลับเข้าไปซื้อได้เช่นเดิม
แม้ว่าอาจจะต้องซื้อแพงกว่าตอนขายออกไปบ้างก็ตาม
แต่ตามที่พี่บอย Vivitawin Krerngkamjornkij บอกไว้นั่นแหละครับ
ว่าการที่ตลาดมันเกิดท่าทีที่จะเป็นขาลง แล้วมันมีโอกาสลงมากกว่าขึ้น
เราควรถอยออกมาถือเงินสด หากหุ้นลงสุดแล้ว...
เปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน เราค่อยเข้าไปซื้อ
แต่บางทีหุ้นก็อาจไม่ได้ลงมากมาย หรือปรับตัวเด้งขึ้นเร็ว
จนเกินราคาที่เราขายออกไป หากเป็นอย่างนั้นก็จำเป็นต้องรับแพงกว่าที่ขายออกไป
เพราะถือว่าส่วนที่เราจ่ายแพงกว่านั้น เป็นค่าประกับอุบัติเหตุให้พอร์ต

แต่คำตอบที่ว่าพรุ่งนี้ผจะทำอย่างไรนั้น
ผมขอทิ้งมันไว้ก่อน ขอนอนพักสมองก่อนละกัน
พรุ่งนี้เช้าตื่นมาสูดอากาศสดชื่นๆ ค่อยคิดกันใหม่อีกรอบ...

ขอ "สติ" จงสถิตย์อยู่กับท่าน!

0016 : Value Visions 24-08-2011

การลงทุนจะแพ้หรือชนะ เหตุผลใหญ่น่าจะตัดสินกันที่ใจ
ถ้าจิตใจไม่หนักแน่น มือไม้อ่อนซื้อง่าย ขายคล่อง มีสิทธิ์แพ้สูง

วันนี้ผมก็ทำผิดพลาดอีกครั้งแล้วครับ เฮ้อ!
จากรอบแรกเมื่อราวๆสองอาทิตย์ก่อน
ทะลึ่งอยากได้ BLA เพิ่มเลยเข้าซื้อแบบไม่ต่อราคา
ได้มาซะราคาสูงเชียว แต่ก็ไม่ได้เอามาคิดรวมกับต้นทุนเดิมนะครับ
เพราะการบันทึกการซื้อ-ขายหุ้นในแต่ละไม้นั้น
เราควรบันทึกแยกไม้กันครับ อย่างเช่น
ผมซื้อ BLA ไม้แรก ราคา IPO 13.5 บาท จำนวน 5,000 หุ้น ก็บันทึกไว้
พอซื้อเพิ่มอีก 1,000 หุ้น ราคา 30 บาท ก็บันทึกแยกออกมา
ไม้หลังสุดซื้อ 57 บาท จำนวน 500 หุ้น ก็แยกออกมาอีก
ที่บันทึกแบบนี้ก็เพราะว่า เราจะได้ทราบได้ว่าเราติดดอยไม้ไหนหรือไม่ ?
และจะช่วยให้เรามองเห็นความจริงของพอร์ตเรา
มากกว่าบันทึกแบบราคาเฉลี่ยครับ
หากจะบันทึกราคาเฉลี่ยผมแนะนำว่า
เราควรนำหุ้นมาเฉลี่ยเมื่อสิ้นปีมากกว่า
พอยกไปต้นปีใหม่ก็รวบรายการซะเลย
เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการเปรียบเทียบผลตอบแทนจริงในปีถัดไปครับ
แต่หากเราซื้อหุ้นเพิ่มอีก เราก็ทำแบบเดิมคือบันทึกแบบแยกไม้
และค่อยเอามาเฉลี่ยรวมกันเมื่อสิ้นปีต่อไปครับ

เย้ย! ออกนอกเรื่องความผิดพลาดซะไกลเลย
เหตุการณ์มีอยู่ว่า เมื่อวานเห็นข่าว HMPRO
ประกาศแจกหุ้นปันผล 7: 1 ก็เลยเกิดอยากได้ขึ้นมา
วันนี้ตลาดเปิดก็เลยสอยซะ 10.4 กะ 10.2
โดยที่ไม่ได้วิเคราะห์อะไรมากมายสักเท่าไหร่
(ส่วนใหญ่คิดในใจ) แม้ว่า HMPRO จะเติบโตได้ดีในระยะยาว
แต่ว่าการที่ผมซื้อหุ้นโดยอยากได้ปุ๊บก็ซื้อปั๊บแบบนี้มันไม่ถูกต้อง
จริๆแล้วผมควรรอซื้อในราคาที่มี MOS มากกว่า
แต่ในการกระทำของผมนั้น ดันเข้าซื้อในราคาที่ไม่ต้องพูดถึงว่ามี MOS
แม้กระทั่ง Upside ของปีนี้ยังแทบไม่เหลือเลย
ทำให้ผมรู้สึกแย่กับจิตใจที่ไม่มั่นคงของผมมากมายเลยครับ
แม้ว่าการซื้อไม้นี้จะเป็นเงินแค่หลักหมื่นก็เถอะ
แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินเลย
มันเกี่ยวกับวินัยในการลงทุนของผมต่างหาก...

เฮ้อ! ทำไมใจเรามันควบคุมยากอะไรอย่างนี้นะ
ต้องมารื้อระบบความคิดใหม่อีกรอบแล้วหล่ะครับ!

อีกเรื่องที่ต้องจับตามองก็คือการปรับตัวลงมาของบ้านปู คิดคร่าวๆแล้ว
ลงมา 15% เลยทีเดียว แถมยังมีพวกกลุ่มพลังงานตัวอื่น และ แบงค์ อีก
หากลงไปลึกก็น่าสนใจในการเข้าไปช้อนเพื่อรอเด้ง แต่ปัญหาคือ
ตอนนี้มันยังไม่ใช้จุดที่ลึกมากขนาดนั้น หากเข้าไปมันก็มี 2 ทาง คือ
ลงต่อ ไม่ก็ เด้งกลับ ซึ่งผมคิดว่ายังไม่น่าเสี่ยง ไว้รอมันลงสุดแล้วเด้ง
เราค่อยโดดเกาะเทรนด์ขาเด้งขึ้นมาก็ยังทัน และก็ปลอดภัยกว่าด้วย...

0015 : Value Visions 23-08-2011

วันนี้ตอนบ่ายคุยกับพี่เบิร์ด (ไม่ใช่พี่เบิร์ด รักทุกคนเลยนะครับ)
พี่เบิร์ด เป็นอดีตพนักงานฯ แต่เกษียณก่อนกำหนดไปก่อน
วันนี้แวะมาหาพี่อีกคน แต่พี่เค้าติดประชุมก็เลยนั่งคุยกะผมก่อน
พี่เบิร์ดสอนผมหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ
เพราะผมชอบฟังเรื่องนี้ก็เลยทำให้คุยกันถูกคอครับ

ตอนแรกผมก็ถามพี่เบิร์ดไปก่อนว่า
ราคาทองมีโอกาสจะตกรุนแรงไหม ?
พี่เบิร์ดก็ตอบว่า โอกาสน้อยมาก
เพราะอะไรรู้ไหม... จะเล่าให้ฟัง...
เริ่มจากปัจจุบันคนอินเดีย กับ คนจีน เริ่มมีฐานะดีขึ้น
เมื่อก่อนจะเป็นในรูปของ หากจะทำเกษตรคนอินเดีย
จะขายทองเพื่อเอาทุนมาทำเกษตร พอขายผลิตผลได้
ก็จะเอาเงินไปซื้อทอง แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่ เค้าเริ่มมีฐานะดีขึ้น
ทำให้สามารถมีเงินมาซื้อทองเก็บสะสมหรือให้เป็นของขวัญ
แก่กันได้ ทำให้ความต้องการทอง เปลี่ยนไป...

อีกสาเหตุก็คือ การที่รัฐบาลประเทศต่างๆ เปลี่ยนมุมมอง
ที่มีต่อเงิน USD หันมาเก็บทองแทน ทำให้ราคาที่ขึ้นมาแรง
ส่วนนึงก็เกิดจากรัฐบาลจีน อินเดีย เกาหลี ฯลฯ
ซึ่งไม่ต้องการถือ USD เพิ่มและพยายามลดหันมาถือทองแทน

จากนั้นพี่เค้าก็ถามผมว่า ส่วนใหญ่คนที่ซื้อทองแท่ง
เอาเงินที่ไหนมาซื้อ ผมก็ตอบไปว่า เงินออม , พี่เค้าก็ว่า ใช่
ส่วนใหญ่คนเอาเงินเย็นมาซื้อทอง เพราะงั้นถ้าราคามันตกลงไป
เค้าไม่ขายกันหรอก มีแต่กอดไว้ อย่างน้อยต้องกำไร
เค้าถึงจะขายจริงไหม ? เพราะงั้นราคามันจึงไม่ดิ่งลงแรง
แบบที่คนพากันเทขายหุ้นหนีตาย

พี่เค้ายังเล่าอีกว่า ที่ราคาทองขึ้นแรงช่วงที่ผ่านมา เพราะ ต้นทุน
เหมืองทองใน USA ปัจจุบันเพิ่มขึ้น 300% ที่ราคาทองเพิ่มขึ้นน่ะ
ถูกแล้ว เพราะ Cost เพิ่ม ราคาขายจะไม่เพิ่มได้อย่างไร ?

ผมก็เลยแอบถามไปว่า พี่กะราคาทองไว้สักเท่าไหร่ ?
พี่เค้าก็ตอบว่า ประมาณ 35,000 บาท : 1 บาท ( ทอง )
( ก็ต้องฟังหูไว้หู ดูกันต่อไปนะครับ! )


จากนั้นก็คุยเรื่องการเงินการลงทุนแบบอื่น
พี่เค้าก็บอกว่าให้แบ่งเงินทุกๆเดือนมาออมในทองบ้าง

หากเก็บได้เป็นก้อนก็เอาไปซื้อที่ดิน โดยหากจะซื้อที่ดินเปล่า
ต้องเลือกที่ทำเลงามๆ ราคามันถึงจะขึ้น เวลาขายต่อกำไรจะดีมาก
หรือไม่ก็หากทุนหนา วันหน้าก็ใช้ทำโครงการตึกแถว หรือ Town House ได้
รายได้เราควรจะมีจากหลายๆทาง ทั้งจากดอกเบี้ย ค่าเช่า และเงินปันผล

อีกแบบก็คือซื้อที่นาผืนงามๆเก็บไว้ เพราะปัจจุบันที่นาหาซื้อยาก
เพราะคนต้องการมาก ยุคนี้ข้าวแพง เราซื้อทิ้งไว้ให้เค้าเช่าทำนา
เราก็ได้ข้าวกินตลอด ไม่ต้องไปซื้อกิน เรียกได้ว่ามีที่นาไว้ก็ไม่ต้องกลัวอด
( แต่ต้องดูว่าที่นาผืนนั้นน้ำท่วมรึเปล่าด้วยนะ )

พี่เค้าก็ยกตัวอย่างเพื่อนร่วมงานที่เก็บออมจนร่ำรวยให้ฟัง
เป็น 10 Case เลย บางคนเก็บทอง บางคนเก็บที่ดิน
อย่างพี่เค้าก็มีทองแท่งอยู่ประมาณ 80 บาท ออม ไม่รวมพวก
แหวนสร้อยอีกประมาณชามน้ำแกงอีกชามนึง
ที่ดินนี่ไม่ต้องพูดถึง หลายแปลงมากจนจำไม่หวาดไม่ไหว
และก็มีพระเครื่องอีกหลายชุด (ราคาแต่ละองค์ก็เป็นล้าน - -)
เค้าบอกเก็บออมมาตั้งแต่ปีแรกที่ทำงาน แต่ก็ได้ครอบครัวส่งเสริมด้วย

พี่เค้าก็บอกว่ารุ่นใหม่ๆอย่างเราเนี่ย โอกาสในการลงทุนเยอะมาก
ไม่เหมือนสมัยก่อน มีแต่ทอง กะ ที่ดิน ปัจจุบันมีหุ้นต่างๆ
ให้เลือกลงทุนเยอะแยะ แต่เสียอย่างเดียวคนสมัยนี้
ออมเงินไม่ค่อยได้ มัวแต่ใช้จ่ายกัน อย่างทำงานไม่ทันไรก็ซื้อรถป้ายแดง
หน้าบานไป 3 วัน แต่ลองเอารถใหม่คันนั้นไปขายสิ ราคาลดไปเป็นเกือนครึ่ง
เราต้องสร้างรายได้เอาไว้ให้วันข้างหน้า ไม่ใช่ว่ามาลำบากตอนแก่

แล้วก็ยกตัวอย่างคนที่เกษียณไปแต่ชีวิตหลังเกษียณลำบาก
เพราะตอนทำงานอยู่ไม่รู้จักวางแผนเก็บออมเงิน

ส่วนเรื่องหุ้นก็คุยกันนิดหน่อย
พี่เค้าก็ให้มุมมองว่า ช่วงนี้ฝรั่งขายหนัก ตอนนี้หากมีหุ้น
ควรขายหุ้นเอากำไรออกมาเป็นเงินสดหรือพักเงินไว้ในทอง
ไม่ก็ดูหุ้นเป็นรายตัว ควรถือหุ้นที่แข็งแกร่ง เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ
อย่าเพิ่งไปเล่นพวกที่เกี่ยวกับต่างประเทศ เพราะเมืองนอกสถานการณ์ไม่ดี
รอมันลงมาหนักๆค่อยเอาเงินสดที่เทคกำไรออกมานั่นไปช้อนดีกว่า
( มุมมองตรงกับเราเลยแฮะ แหะๆ )

คุยกับพี่เค้าเสร็จก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกอักโข
ต่อไปนี้จะตั้งใจเก็บออมและวางแผนลงทุนให้ดียิ่งขึ้นครับ
สู้ต่อไป เพื่ออิสรภาพทางการเงิน โว้ย !

Wednesday, August 17, 2011

0014 : กับดักของสินค้าผ่อน 0%


กับดักของสินค้าผ่อน 0%

" การตัดสินใจซื้อสินค้าของเราจะง่ายขึ้น
ถ้าหากเราไม่ได้จ่ายราคาค่างวดนั้นเป็นเงินสด "
ในทางจิตวิทยาเค้าพูดเอาไว้ประมาณนั้นนะครับ

การซื้อสินค้าชิ้นเดียวกัน ราคาเท่ากัน
แต่วิธีการจ่ายเงินแตกต่างกันนั้น
จะทำให้ความยากง่ายในการตัดสินใจของเราแตกต่างกันไปด้วย
ยกตัวอย่าง มีนาฬิกาเรือนหนึ่ง ซึ่งเราอยากได้ ราคา 50,000 บาท
ถ้าหาก ณ ช่วงเวลานั้นเรามีเงินสด 50,000 บาท พอดีเป๊ะ
การตัดสินใจใช้เงินสดซื้อนาฬิกาเรือนนั้นจะยากมาก
เพราะถ้าเราซื้อเงินในกระเป๋าเราจะวูบหายไปในทันที
( แถมไม่มีตังค์ขึ้นรถกลับบ้านอีก )

แต่ถ้าเรามีเงินในกระเป๋า 1,000 บาท พร้อมบัตรเครดิตวงเงิน
100,000 บาท อีก 1 ใบ การตัดสินใจซื้อนาฬิกาเรือนนั้นจะง่ายขึ้นมาก
เพราะรูดบัตรซื้อไปแล้ว เงินในกระเป๋าไม่ลด เดินชิลไปโบก Taxi กลับบ้าน
จะมารู้ตัวอีกทีตอนใบแจ้งหนี้มาถึงหน้าบ้าน
( แล้วก็คร่ำครวญในใจ กูไม่น่ารูดเล๊ย !
ถ้าชำระขั้นต่ำก็โดนดอกเบี้ย ชำระหมดเงินก็หดหาย T T )

แต่ปัจจุบันหลายบริษัทได้ทำโปรโมชั่น ผ่อน 0%
อาจจะระยะเวลาผ่อน 6 เดือนบ้าง 10 เดือนบ้าง
ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนได้เปรียบโคตรๆ
แต่อันที่จริง ผมคิดว่านั้นเป็นกับดักอันแยบยล
ที่เค้าพยายามดึงตังค์ออกจากกระเป๋าเราไปใช้จ่าย
กลายเป็นรายได้เข้ากระเป๋าเค้า

ลองคิดดูอย่างตัวอย่างนาฬิกาเรือนข้างบน
หากเรามีเงินสด เรายากที่จะตัดสินใจซื้อ
หากเรามีบัตรเครดิต เราตัดสินใจง่ายขึ้น
แต่ก็ยังต้องชั่งใจเพราะหากถึงกำหนดชำระ
แล้วไม่ได้ชำระทั้งยอดก็จะโดนดอกเบี้ยอัตรา 20%

แต่หากมีโปรโมชั่นผ่อน 0%
เราแทบไม่ต้องคิดเลย เพราะได้ซื้อสินค้าราคาเท่าเดิม
แบ่งจ่ายได้เป็นหลายงวด

แต่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า
แม้สิ่งที่เราเสียจะไม่ใช่ดอกเบี้ย
แต่เราก็เสียเงินของเราไป
แลกกับสินค้าที่เราอาจจะไม่ตัดสินใจซื้อถ้าไม่มีโปรโมชั่นนี้
( แสดงว่ามันไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเท่าไหร่ ซื้อก็ได้ ไม่ซื้อก็ได้ )
และเราก็เสียโอกาสในการออมเงิน
ปกติเราอาจจะเก็บเงินได้เดือนละ 5,000 บาท มาโดยตลอด
แต่วันนึงเราเกิดหลวมตัวซื้อสินค้าโดยผ่อนแบบ 0% 10เดือน
เท่ากับว่าจากนี้ไปอีก 10เดือน เราจะไม่ได้ออมเงินเหมือนอย่างเคย
เงิน 5,000 บาท ที่เคยออมได้ในทุกๆเดือน
กลับต้องกลายมาเป็นค่าผ่อนชำระสินค้า

และบางทีหากเรารู้ไม่ทันกิเลสของตัวเอง
พอเราผ่อนชิ้นที่ 1 เสร็จ เราก็จะหาชิ้นที่ 2 ที่ 3 ตามมา
กลายเป็นว่าวินัยในการออมเงินที่เคยมี
กลับกลายเป็นวินัยในการใช้จ่ายไปซะแล้ว

เพราะงั้น ผมจึงอยากเตือนว่า
ก่อนจะซื้ออะไร ผ่อนอะไร โปรดคิดให้ดีๆนะครับ
ว่าของสิ่งนั้นมันจำเป็นที่เราต้องซื้อมันจริงหรือไม่...

หรือมันเป็นเพียงแค่กับดักของลัทธิ " บริโภคนิยม "


0013 : Value Visions 10-08-2011

บนเส้นทางการลงทุนของผม จากที่เคยเรียบง่าย
ไม่มีหลุมมีบ่อ ไม่ค่อยจะมีอุปสรรคใดๆมากีดขวาง
แต่ ณ วันที่ 5 สิงหาฯ 2554 นั้น กลับเจอบททดสอบแรกในชีวิต
นั่นก็คือการที่ USA ถูก S&P ปรับลดเครดิต
ทำให้หุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรงทันที ( ราวๆ 5% )
ตลาดหุ้นไทยในวันนั้นก็ไม่รอดเช่นกัน

ณ วันนั้นหุ้นในพอร์ตของผมมูลค่าลดลงไปประมาณ 2%
ผมก็ยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ เพราะต้องการรอดูสถานการณ์ก่อน
ก็เริ่มยอดซื้อขายสุทธิของตลาด ปรากฏว่า นลท. ต่างประเทศ
ขายสุทธิ เงินบาทก็อ่อนค่ามากขึ้น ทำให้ผมคิดว่า ฝรั่งเริ่มหนีกลับ
เหล่ากองทุนในต่างประเทศน่าจะเทขายหุ้นเพื่อถือเงินสด
เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์การขายคืนหน่วยลงทุน

วันจันทร์ สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น แต่พอร์ตผมก็ยังแข็งแกร่งเช่นเดิม
หุ้นตัวหลักในพอร์ตราคาปิดเท่าเดิม แต่ตัวอื่นๆลดลง 2-3%
ผมจึงเริ่มกังวลใจมากขึ้น เนื่องจาก ณ เวลานั้น
มีหุ้นอยู่ 110% ( คือใช้มาร์จิ้น 10% )
ผมลังเลใจระหว่างการขายหุ้นออก 30% เพื่อลดมาร์จิ้น
และกลับมาถือเงินสดอีก 20% กับการทนถือฝ่าวิกฤตไป
หรืออย่างน้อยก็ลดพอร์ตให้เหลือ 100%
ซึ่งผมมองว่า ณ เวลานั้น USA เหมือนยังไม่เจอทางออก
และอาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบปี 2008 อีกครั้ง

สุดท้ายแล้ว ณ เช้าวันอังคารที่ 9 ผมเลือก ลดพอร์ตลง 30%
เพื่อกลับมาถือเงินสด เผื่อว่าเหตุการณ์มันจะกลับไปย่ำแย่
แบบปี 2008 อีกครั้ง ผมตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะว่า
ผมต้องการลดมาร์จิ้นและชักกำไร ให้ออกมาเป็นเงินสดในมือ
อย่างน้อยในสถานการณ์ที่เรามองอะไรไม่เห็น
ถ้าเรากำเงินสดอยู่ ยังไงเราก็ได้เปรียบ
แต่ช่วงบ่าย ผมลองทำ SAP เล่นๆ โดตั้รับต่ำกว่าเยอะ
แล้วก็ทำงานจนลืมไปว่าตั้งรับไว้ มาดูอีกที
อ้าว ! มีคนขายให้กรูซะงั้น ก็กลายเป็นว่าตอนนี้ถือหุ้น 100%เหมือนเดิม

และวันที่ 9 ช่วงดึก USA ก็ประกาศนโยบายแก้ไขเศรษฐกิจ
( แก้ผ้าเอาหน้ารอด ) โดยตรึงอัตราดอกเบี้ยพิเศษเอาไว้ 2 ปี
ทำให้หุ้นทั้งโลกบวกกลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่า SET ในวันรุ่งขึ้นก็เช่นกัน

มีเพื่อนแซวผมว่า แบบนี้ก็ลดพอร์ตขายหมูสิ
ผมก็ไม่ว่าอะไร ยอมรับว่าขายหมู
แต่ผมคิดว่าผมตัดสินใจไม่ผิด และผมยังทำตามแผนที่ได้ไตร่ตรองไว้
ซึ่งผมถือว่าความมีวินัยต่อแผนการที่เราวางไว้
เป็นข้อสำคัญข้อหนึ่งในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ

อย่าลืมว่า ณ วันนี้คือการมองไปในอดีต
เราอาจจะเห็นว่าเป็นการขายหมู
แต่ ณ วันนั้นที่ตลาดแดงทั้วโลก
Fund Flow ไหลออกไทยเกือบหมื่นล้านในวันเดียว
และถ้าเกิด USA ไม่ออกมาตรการตรึงดอกเบี้ย
บางทีคนที่ขายหมูอาจจะโชคดีกว่าคนที่หุ้นเต็มพอร์ตด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่าหากวิกฤตมา คนที่ถือเงินสด เป็นผู้ที่มีโอกาสชนะมากกว่าใคร !
( ยกเว้นพวกที่ Short Future นะ )



อันนี้เป็นความรู้ที่แอบจดมาจาก Facebook ของ พี่บอย
Vivitawin Krerngkamjornkij นะครับ

" นลท.ที่พยายามใช้เทคนิคกราฟหรือรูปแบบ
ในการทำนายอนาคตแล้วผิดบ่อยๆมักจะเกิดอาการเครียด
อันที่จริงแล้วกราฟไว้ใช้ป้องกันความเสี่ยงไม่ใช่การทำนาย "

สมมติ ถ้าเราเอา เส้น sma100day เป็นเกณฑ์
ถ้าเหนือเส้นนี้ก็เพิ่มหุ้น ถ้าใต้เส้นนี้ก็ลดหุ้น หรือ
ถ้าหลุด sma200day ก็ล้างพอร์ต ถ้าขึ้นมาก็ค่อยซื้อหุ้น
แม้จะไม่ได้ทำให้รวยเร็วในช่วงsideway
แต่ความเสี่ยงในการที่จะขาดทุนหนักๆในช่วงวิกฤตก็แทบไม่มี
และเวลาฟื้นจากวิกฤตขาขึ้นก็ถือหุ้นได้นานขึ้นก็รวยได้

เราลงทุนในตลาดฯ การละเลยสภาพตลาดไปเลยผมว่าเสี่ยงมากนะครับ

บางทีขายไปถูกกว่าแต่พอมายืนได้เราก็อาจจะต้องซื้อคืนแพงกว่า
แต่ถ้ามันลงอีกก็ต้องขายอีก ผมเข้าใจว่ามันขัดใจคนเล่นแนวพื้นฐาน
แต่มันคือการป้องกันความเสี่ยง
ก็คล้ายๆกับการเสียเบี้ยประกันชีวิตให้พอร์ตเราอ่ะครับ
ดีกว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย

อีกอย่างคือเราไม่เทพก็จัดการตามฐานะของเราแบบไม่โลภมากดีกว่า
เอาสบายใจเข้าว่า อิอิ

0012 : คำถามที่คนไม่เล่นหุ้นชอบถาม


ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ทิ้ง Blog ให้รกร้าง หยากไย่ยุบยับนะครับ
ที่หายไปนานก็เพราะว่า ช่วงที่ผ่านมารู้สึกว่ายังโง่งมในเรื่องการลงทุน
และมีเรื่องที่ต้องศึกษาเพิ่มอีกมากครับ ก็เลยหลบไปฝึกวิชามา
แต่ก็นะ คนธรรมดาอย่างผมเรียนรู้ไปก็ไวได้เท่าคนธรรมดา
ก็ต้องอาศัยความพยายามกันต่อไปหล่ะครับ !



ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
มีคนมาทักผมประมาณว่า เล่นหุ้นด้วยเหรอ ?
เล่นตัวไหนยังไงบ้าง ? , ไม่กลัวขาดทุนเหรอ ?
เยอะแยะเหลือเกินครับ...

ปัญหาของผมก็คือว่า เวลาถูกถามคำถามเหล่านี้ผมไม่รู้จะตอบยังไง
ไอ่ครั้นจะกดไหล่ไอ่คนถามให้นั่งลงฟังเราอธิบาย
แนวทางการลงทุนแบบ VI มันก็กระไรอยู่

ผมก็เลยพยายามคิดหาคำตอบที่เอาไว้ใช้ตอบ
คนที่เข้ามาทักเข้ามาถามเกี่ยวกับเรื่อง เล่นหุ้น ครับ
คิดเอาไว้ก่อน เผื่อเวลาเจอคนถาม
จะได้ไม่ต้องมานั่งเรียบเรียงประโยคคำตอบ แฮ่ๆ

อย่างคำถามที่ว่า เล่นหุ้นด้วยเหรอ ? เล่นแนวไหน ?
ก็คงต้องตอบโดยอธิบายการลงทุนแนว VI ให้สั้นที่สุดครับ
" เล่นหุ้นแนว ถือยาว เน้นซื้อหุ้นบริษัทดีๆ ตอนที่มันตกลงมาราคาถูกๆ "
ผมว่าผมพยายามอธิบาย VI ให้เป็นแบบบ้านๆที่สุดแล้วนะครับ
ถ้าพี่ท่านไม่เข้าใจสงสัยต้องตอบแบบกวนตีนว่า
เล่นหุ้นแบบ " ซื้อถูก ขายแพง " แล้วหล่ะ


ส่วนไอ่คำถามที่ว่าเล่นตัวไหนยังไง มีหุ้นเด็ดตัวไหนแนะนำบ้าง
ข้อนี้ตอบยากจริงๆนะครับ เพราะเงินคุณ ไม่ใช้เงินผม
ถ้าผมแนะนำคุณแล้วคุณดันไปซื้อตามแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ
เกิดเจ๊งขึ้นมา ผมก็ซวยอีก และอีกอย่างก็คือ
ผมก็ไม่รู้ว่าคุณจะเข้ามา เล่นหุ้น ด้วยจุดประสงค์กลใด
จะเข้ามาเล่นเก็งกำไรช่วงสั้นๆ หาตังค์กินหนม
หรือเข้ามาแบบลงทุนยาวๆ เพื่อหาผลตอบแทนที่ดีก่าเงินฝาก
หรือลงทุนเพื่อสร้าง Asset for Passive Income ก็ไม่รู้
ถ้าเจอถามแบบนี้ผมก็คงตอบกลางๆไปประมาณนี้ครับ...
" ช่วงนี้หุ้นดูเหมือนจะแพงๆ ไม่มีตัวไหนแนะนำครับ
ผมยังถือเงินสดรอดูท่าทีอยู่เลย "
คือไม่ได้ขี้เหนียวอะไรหรอกนะ แต่ถ้าคุณค้นหาคำตอบว่า
" คุณลงทุนไปเพื่ออะไร ? " ได้แล้ว
เราค่อยมาคุยกันเรื่องการบ้านหุ้นจะดีกว่า
การบ้านหุ้นผมมีเพียบเลย มาช่วยกันแกะงบ แกะกราฟสิ หุหุ


คำถามที่เจอบ่อยและตอบลำบากอีกคำถามนึงก็คือ
" ไม่กลัวขาดทุนเหรอ ? "
ส่วนใหญ่จะตอบไปว่า
" ก็อย่าไปเล่นตอนหุ้นแพงสิ เล่นตอนหุ้นถูกโอกาสขาดทุนมันน้อย
แล้วก็เลือกซื้อหุ้นบริษัทดีๆ ไม่เล่นหุ้นปั่น ระยะยาวยังไงก็ไม่ขาดทุน "

แต่จริงๆในใจก็คิดนะครับว่า
" ใครบ้างไม่กลัวขาดทุน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ เราจะหาวิธีลดความเสี่ยง
ที่เราจะขาดทุนให้น้อยที่สุดยังไงต่างหาก ซึ่งมันก็มีหลายวิธี
ไม่ว่าจะเป็น ซื้อหุ้นในช่วงราคาที่มี MOS หรือ
การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้าช่วยดู Trend "
ปัญหาคือถ้าอธิบายออกไป คนฟังมันจะหาาเราบ้านรึป่าว ?
ไอ้นี่พูดห่าอะไรของมันฟระ ?


อีกอย่างที่ผมจะบอกไว้ก็คือ ไม่ว่าคุณจะเป็น Value Investor ระดับเซียน
ที่แน่นเรื่อง Fundametal ขนาดไหนก็ตาม ในสายตาของคนทั่วไป
คุณก็ยังเป็นเพียงแค่ " คนเล่นหุ้น " อยู่ดี
เพราะงั้นอย่าไปเสียเวลาในการอธิบายว่า
ผมเป็น " นักลงทุน " ไม่ใช่ " คนเล่นหุ้น " นะคร้าบ ( นะโว้ย ) !
เพราะเค้าจะเข้าใจว่าคนที่ซื้อขายหุ้นคือ คนเล่นหุ้น
ไม่ได้แบ่งเป็นนักลงทุน Day Trader หรือ VI VS อะไรหรอกครับ

แต่สำหรับคนที่เริ่มเข้ามาลงทุน
คุณควรจะจัดหมวดหมู่ได้แล้วนะครับว่า คุณจะอยู่หมวดไหน ?
ถ้าคุณยัง " งง " อยู่ ว่าตัวเราจัดอยู่ในคนเล่นหุ้นประเภทใด
แสดงว่าคุณกำลังแบกความเสี่ยงอยู่
เพราะความเสี่ยงนั้นคือความไม่รู้
โดยเฉพาะ " การไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ "