Pages

Wednesday, December 30, 2020

0895 : Cash Flow

 

S : อยากเทรดให้ได้ Cash Flow เยอะๆ แต่ก็ยังเทรดได้บ้างไม่ได้บ้างอยู่ใช่ไหมครับ ?

.

.

P : สาเหตุที่เราสร้าง Cash Flow ได้ไม่ค่อยดี มีสาเหตุดังนี้ครับ

.

1 ในพอร์ตมี Product ที่เทรดจำนวนน้อยเกินไป หากเปรียบพอร์ตของเราเป็นร้านขายของ การมีของขายแค่ชนิดเดียว ก็มีโอกาสขายได้น้อยกว่าการมีของขายหลายๆชนิดครับ มีของขายน้อย ลูกค้าไม่ค่อยเข้าร้านก็นั่งตบยุงบ่อยหน่อย หากมีของขายมาก โอกาสลูกค้าเข้าร้านให้ได้ค้าได้ขายก็มากขึ้นตามไปด้วยครับ

.

2 เลือก Product ที่ความผันผวนต่ำ เช่น หุ้นบางตัว (เท่าที่เจอมาก็พวกหุ้นปันผล ที่ราคานิ่ง+เหนียว บางทีทั้งเดือนแทบไม่ขยับเลย หรือพวกหุ้นที่ไม่มี Volume ซื้อขายเลย การจะขยับ มี Movement ให้เราได้ส่วนต่างของราคา เก็บเข้ากระเป๋าเป็น Cash Flow ก็น๊านนานว่าจะได้เก็บสักที

.

3 จังหวะเข้า-ออก ไม่ match กับจังหวะของตลาด เช่น สมมติ หุ้นตัวนึง ราคาขึ้นๆลงๆแกว่งอยู่ที่ 3 บาท วิ่งขึ้นไป 3.3 บาท สักพักลงมา 2.8 บาท แล้วก็กลับไป 3.2 บาท ถ้าเราเข้าซื้อที่ 3 บาท แล้วดันไปตั้งจุดออกไว้แถวๆ 3.6 บาท มันก็ไปไม่ถึงให้เราได้เก็บกำไรสักที 

.

4 เจอจังหวะเกิด Trend พอดี เกิด Product ที่เราเข้าไปซื้อนั้นวิ่งยาวๆ เช่น Bitcoin วิ่งขึ้นจาก แสนกว่าบาทมาแปดแสนกว่า โอกาสซื้อแล้วขาย กลับลงมาซื้อคืน เพื่อเทรดเก็บรอบบ่อยๆก็ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ครับ เพียงแต่เราจะได้มูลค่าพอร์ตที่เติบโตมาขึ้นแทน (ก็ OK อยู่เนอะ) แต่ถ้าหากว่าไปเจอ Product ไหนที่เป็นขาลง มาร่วงยาวๆ ไม่เด้ง นี่ก็เหนื่อยเหมือนกันครับ พอร์ตก็หด Cash Flow ก็ไม่ได้ ช้ำสองต่อเลย

.

ที่กล่าวมานี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราสร้าง Cash Flow ได้ไม่ดี จริงไหมครับ ?

.

.

I : การที่เราเทรดสร้าง Cash Flow ได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำให้พอร์ตเราไม่เติบโต ขาดโอกาสที่จะนำ Cash Flow ไปขยายพอร์ตครับ แล้วก็คงจะรู้สึกห่อเหี่ยวพอดูหากเทรดแล้วสร้าง Cash Flow ไม่ค่อยได้ใช่ไหมครับ ?  

.

.

N : การจะทำให้พอร์ตไม่เหงา เจ้าของพอร์ตไม่ต้องนั่งตบยุงบ่อยๆ สร้าง Cash Flow ให้ได้สม่ำเสมอ ผมมีข้อแนะนำ ดังนี้ครับ

.

1 เลือก Product ที่ดีและเหมาะแก่การสร้าง Cash Flow บาง Product อาจจะดี แต่เทรดเพื่อสร้าง Cash Flow ได้ไม่ดี ก็มี เช่น หุ้นบางตัว ที่ปันผลดีๆ แต่ราคามักไม่ค่อยขยับ , ETFs ที่เสี่ยงน้อย แต่คนไม่เทรดกัน Volume บางๆ ก็ทำให้สร้าง Cash Flow ได้ไม่ดีเช่นกันครับ ปัจจุบันก็มีตัวเลือกที่มากขึ้น สำหรับเทรดเพื่อสร้าง Cash Flow เช่น พวก Crypto ที่มีความผันผวนสูงกว่า Product เดิมๆ เช่น หุ้น , Index ต่างๆครับ โดยส่วนตัวผมก็เลือกเทรด Bitcoin และ Ripple เป็นหลักครับ ซึ่งมันมีความผันผวนสูงกว่าหุ้น (จะดูง่ายๆก็ใช้พวก ATR วัดดูก็ได้ครับ) แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่าตามไปด้วย เลยใช้กำไรจากหุ้น ขยายพอร์ตไปเทรดครับ

.

2 วาง Money Management ให้ดี เพื่อให้เรามีโอกาสในการคุมพื้นที่เทรด ในระยะที่ราคามันจะวิ่งไปถึง เช่น อย่างใน Ripple ผมก็วางเงินเอาไว้ครอบคลุมพื้นที่ราคาตั้งแต่ 0 ถึง 24 บาท หากราคาวิ่งอยู่ในกรอบนี้ ก็สามารถเทรดซื้อ-ขาย เพื่อดึงกำไรในรูปของกระแสเงินสดออกมาได้อย่างสม่ำเสมอครับ

.

3 จุดเข้าออกที่สอดคล้องกับความผันผวน เพราะเราเทรดบน “ระยะทาง” ที่ราคามันวิ่งจากจุด A ไป B ซึ่งมันอาจจะวิ่งจาก A ไป B แล้ววิ่งย้อนกลับจาก B มา A สลับกันหลายๆรอบก็ได้ หาเราเข้าไปเทรด ดักเก็บระยะทางได้หลายๆรอบ กระแสเงินสดก็จะเกิดจากตรงจุดนั้น อย่าง Ripple ผมก็มีช่วง Take Profit ประมาณ 0.1 – 0.4 บาท ในกรณีปกติ ซึ่งสามารถเทรดซื้อ-ขายไปกลับได้จำนวนรอบที่ขึ้นครับ

.

4 ขยายให้มีหลายๆ Product ในพอร์ต ใช้ความผันผวนและ Correlation ของหลายๆ Product ให้เป็นประโยชน์ ตัวนึงขึ้นตัวนึงลง ตัวนึงวิ่งอีกตัวนึงนิ่ง สลับๆกันไปเรื่อยๆ แบบนี้พอร์ตของเราจะมี Activities สามารถสร้าง Cash Flow ได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบเลยครับ

.

5 ทำบัญชีให้ดี เพื่อดูว่า Product ไหนให้กระแสเงินสด เทียบกับเงินทุนทั้งก้อนเป็นอย่างไรบ้าง คุ้มค่าไหม รวมถึงจัดสรรกำไรในรูปกระแสเงินสดให้นำไปขยายพอร์เพิ่มได้เรื่อยๆด้วยครับ

.

นี่ก็เป็นคำแนะนำจากผมนะครับ ซึ่งเทรดในแนวทางที่ใช้พอร์ตสร้าง Cash Flow เป็น Multi Income มาโดยตลอด คุณคงไม่ปฏิเสธที่จะนำข้อแนะนำเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อสร้าง Cash Flow ได้ดีขึ้นตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ? 

.

.

Monday, December 28, 2020

0894 : Learn from your loss

 Learn from your loss

.

S : ไม่อยากขาดทุน แต่ก็ยังขาดทุนซ้ำๆอยู่ใช่ไหมครับ ?

.

.

P : การขาดทุนซ้ำๆ จากเหตุผลเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ เป็นเพราะเรายังไม่ได้เรียนรู้ว่าทำไมเราถึงขาดทุน ทำไมเราถึงพลาด เมื่อไม่ได้เรียนรู้ ความคิด พฤติกรรม ในการเทรดของเรา ก็ตอบสนองต่อตลาดเหมือนดั่งเช่นครั้งก่อนๆ จริงไหมครับ ?

.

.

I : หากเราขาดทุนซ้ำๆนอกจากเงินในพอร์ตที่จะลดน้อยถอยลงไป อารมณ์ด้านลบต่างๆ เช่น ความโกรธ ความกลัว ก็จะสะสมในใจเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนวันนึงมันอาจจะระเบิดออกมา การอาจจะตัดสินใจทำอะไรเสี่ยงๆ แบบว่า All in or Nothing ไม่รวย ก็ซวยไปเลยได้ง่ายๆครับ และเราก็คงจะรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆเลยใช่ไหมครับ ?

.

.

N : ทุกครั้งที่เราขาดทุน จะมีบทเรียนอยู่เสมอ มันเหมือนบททดสอบที่เข้ามาทดสอบเราเรื่อยๆ หากเรายังขาดทุนซ้ำๆ ด้วยพฤติกรรมการเทรดแบบเดิม เท่ากับว่าเรายังสอบไม่ผ่าน มันก็จะวนกลับมาทดสอบเราใหม่ในภายหลังอยู่ดี จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ ค้นพบบทเรียนของเราเอง ทำให้เราผ่านมันไปได้ จากนั้นเราก็จะไปเจอกับบททดสอบใหม่ๆต่อไป

.

ผมเรียกมันว่า “การล้มไปข้างหน้า” ทุกครั้งที่เราขาดทุน หรืออาจจะทำอะไรผิดพลาด (เช่น เคาะซื้อ-เคาะขาย โดยใส่ปริมาณ Asset ผิด หรือ ใส่ราคาผิด ทำบัญชีผิดพลาด อะไรพวกนี้ แม้ว่าจะไม่ขาดทุน แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงเช่นกันหากมันเกิดขึ้นซ้ำๆในอนาคต แล้วเราบริหารเงินที่มากขึ้น) เราลองย้อนดูตัวเองว่า เราได้ค้นพบบทเรียนอะไรบ้างจากเหตุการณ์นั้น แล้วเราจะไม่ผิดพลาดซ้ำอีก 

.

กระบวนการ ล้มไปข้างหน้า ก็มีดังนี้ครับ

.

1 กลับมา Review ดูว่า การขาดทุน หรือ ข้อผิดพลาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง อธิบายมันออกมาให้ละเอียด เช่น ผมเคยไปเทรดหุ้นตัวนึง ที่ราคาร่วงลงมากว่า 90% 

.

ผมก็ลองมาไล่ดูว่า มันเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แรกบ้าง แล้วผมก็พบว่า ผมเข้าไปเทรดเพราะแค่ว่ามันมี Volatility ที่ดี แต่ไม่ได้เข้าไปเจาะเรื่องพื้นฐานของบริษัท ว่ามันมีผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงทุกปี พอเทรดไปเทรดมาราคาร่วงลงเรื่อยๆ ก็ไม่ได้หยุดเทรด หรือ Switch ไปตัวอื่น แต่กลับทำโซนล่างเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนถัวเฉลี่ยในหุ้นขาลงนั่นเองครับ 

.

สุดท้ายพอราคาร่วงลงไปแทบไม่เหลืออะไรเลย ยังดีกว่ามีกระแสเงินสดที่ Feed ออกมาจากการเทรดได้ราวๆ 60% ของเงินทุน สรุปก็เจ็บตัวไปพอควรเลย 

.

2 ถามตัวเองดูว่า จากเหตุการณ์นั้น เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ลองไล่ออกมาเป็นข้อๆดูครับ มันจะเป็นบทเรียนที่เราค้นพบเอง แล้วมันมาจากประสบการณ์ของเราจริงๆ เรียกได้ว่าจำได้ไม่มีลืม แตกต่างจากความรู้ที่เราอ่านจากในหนังสืออย่างมากเลยครับ 

.

3 จะทำอะไรต่อไป เอาบทเรียนที่ได้ไปพัฒนาการเทรดได้อย่างไร พอเราได้ค้นพบบทเรียนของเราเองแล้ว การจะไปต่อก็คือการเอาไปปรับใช้ให้เข้ากับแนวทางการเทรดของเรา ให้มัน Work มากขึ้นนั่นเองครับ

.

ถ้าจากที่ผมยกตัวอย่างเหตุการณ์ในข้อข้างบน ผมมีสิ่งที่ได้เรียนรู้และสิ่งที่เอาไปพัฒนาการเทรดของผมเอง ก็คือ 

.

- เลือก Asset ให้ดี เทรด ETFs หรือ ไม่งั้นก็ต้องเลือกบริษัทที่ดี ในอุตสาหกรรมที่ดี และทำการบ้านพื้นฐานบริษัทก่อนทุกครั้ง

.

- หากจะเสี่ยงไปเทรดหุ้น ให้แบ่งกำไรไปเทรด อย่าเอาทุนไปเสี่ยง หากขาดทุนจะเป็นแค่ขาดทุนกำไร และเงินทุนหลักของเรายังอยู่ครบ 

.

- วาง Money Management ให้จบก่อนเทรด ไม่เพิ่มเงิน เพิ่มโซนเข้าไปทีหลัง เป็นการ Limit Loss

.

- หยุดให้เป็น หากเจอ Drawdown ถึงจุดที่ต้องหยุด ก็ให้หยุดเทรด

.

- มีแผนสำรอง หากเราไปเทรดในหุ้นที่ไร้อนาคต แล้วถึงจุดหยุด ก็หาตัวที่จะ Switch เพื่อ Cover Drawdown ให้เจอ

.

- หุ้นตัวไหนดูเสี่ยงสูง ช่วงที่จังหวะมันวิ่งขึ้นแรงๆ แล้วพอร์ตมีกำไร ให้ตัดขายทำหุ้นฟรีทิ้งไว้ในพอร์ตบ้าง แล้วชักทุนคืนให้ไว 

.

- ยอมรับในความผิดพลาด จะรู้สึกผิดบ้างก็ไม่เป็นไร และอย่าเสียใจให้นานนัก ชีวิตต้อง Move On

.

ก็ประมาณนี้ครับ เรียกได้ว่าจำได้แม่นเลยแหละ ช่วงหลังมาก็เลยไม่มีเจ็บตัวจากหุ้นเท่าไหร่ เหมือนเราสอบผ่านไปแล้ว ทีนี้เราก็จะไปเจอโจทย์ใหม่ๆแทนครับ

.

ทั้ง 3 Steps นี้ ทั้ง การ Review อธิบายข้อผิดพลาดออกมาให้ละเอียด , การที่เราลองถามตัวเองว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง และ เราจะเอาบทเรียนที่ค้นพบไปใช้พัฒนาการเทรดได้อย่างไร คือข้อแนะนำจากผมนะครับ 

.

คุณคงไม่ปฏิเสธที่จะนำมันไปใช้เพื่อค้นหาบทเรียนเฉพาะตัวของคุณเองที่ได้จากความผิดพลาดตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ?

Saturday, December 26, 2020

0893 : เทรดอย่างสบายใจ

 

S : อยากเทรดอย่างสบายใจ แต่ก็ยังกังวลอยู่บ่อยๆใช่ไหมครับ ?

.

.

P : ที่เทรดเดอร์มักจะมีความกังวล นั้น มีทั้งสาเหตุที่เกี่ยวกับ Positions ที่เทรด และเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับการเทรดโดยตรง อาจจะเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันแยกกันไม่ออก โดยจะมีสาเหตุ ดังนี้ครับ

1 เทรดหนักเกินกว่าที่ใจจะรับไหว จึงทำให้กังวลใจอยู่ข้างในลึกๆ 

2 มีความกังวลในด้านอื่นๆของชีวิต เช่น มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนรอบตัว ทะเลาะกับคนรัก หรือ มีเรื่องค้างคาที่รบกวนจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการงาน การเงิน สุขภาพ การจัดการเวลา รวมถึงความรักผิดชอบเรื่องอื่นๆในชีวิต

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่มีความสุข สมองคิดวนเวียนเต็มไปด้วยความกังวลจริงไหมครับ ? 

.

.

I : การที่สมองเราถูกแบ่งออกไปคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆมากมายนั้น ทำให้เราขาดประสิทธิภาพครับ การตัดสินใจก็จะแย่ลง ส่งผลให้ Performance การเทรด บางครั้งความหงุดหงิดที่สะสมไว้ ก็จะทำให้อารมณ์เข้าครอบงำเราได้อีกด้วย การจะเทรดหนักๆ หรือ ช่างแม่ง ล้มกระดาน ก็มีโอกาสเกิดได้มากขึ้น สุดท้ายเราก็จะมานั่งรู้สึกเสียดาย เสียใจมากๆกับการกระทำในช่วงที่เราทำตามอารมณ์อีกใช่ไหมครับ ?

.

.

N : การจะเทรดอย่างสบายใจ ต้องรักษาในมิติต่างๆของชีวิตให้มีความสมดุลครับ สำหรับตัวผมนั้น การสร้างรากฐานที่ดีให้กับการเทรดนั้นจะเริ่มจาก…

.

1 การเงินพื้นฐานต้องแน่น

- จัดการรายได้-ค่าใช้จ่ายให้สมดุล เพื่อมี Free Cash Flow Feed เข้าพอร์ตมาเรื่อยๆ

.

- สร้างแหล่งเงินทุนสำรองไว้อีกก้อน สัก 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน เช่นในช่วง Lock Down จาก Covid-19 ที่หลายๆคนมีสภาพคล่องที่ลดลง บางคนก็ต้องหยุดทำงาน ขาดรายได้

.

- ป้องกันความเสี่ยงด้วยประกันชีวิต ประกันภัยต่างๆให้พร้อม เพื่อถ่ายโอนความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ๆออกไป ทำให้ช่วยให้เราไม่ต้องไปดึงเงินทุน หรือ ดึงกำไรจากพอร์ตออกมาใช้ในยามที่จำเป็นครับ

.

- แยกพอร์ตเกษียณออกไปต่างหาก เป็นพอร์ตสำหรับเงินที่เราจะใช้หลังเกษียณจากการทำงาน วางแผน Feed เงินเข้าไปให้เพียงพอหากถึงเวลานั้น

.

ทั้งหมดนี้คือการเงินพื้นฐานที่เราต้องจัดการมันให้ดีครับ เพื่อให้เราเทรดได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องรีบร้อน รีบรวย สามารถทำตาม Process ได้อย่างใจเย็น 

.

ส่วนตัวผมเอง ช่วงที่เข้ามาในตลาดใหม่ๆ เคยสนใจแต่เรื่องเทรด แต่ละเลยเรื่องการเงินพื้นฐานไปเหมือนกันครับ เพราะคิดว่า เงินจากการเทรดมันหาง่ายมากๆ เรื่องการเงินพื้นฐานคงไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก เรื่องเล็กๆน่า แต่พอเทรดไปสักพัก ก็พบว่าการที่การเงินพื้นฐานของเราไม่พร้อม ไม่แน่นพอ มันทำให้มีเรื่องที่รบกวนเงินทุนในพอร์ตบ่อยๆ เดี๋ยวถอนๆ ถอนกำไรบ้าง ถอนทุนบ้าง การเทรดก็ทำตาม Process ได้ไม่ดี รีบทำกำไรตลอด พอติดดอยก็ทุกข์ กลัวเงินหาย ซึ่งมันมาจากการที่ใจเรารู้สึกขาด ไม่สมบูรณ์พูนสุข พอกลับมาจัดระบบการเงินพื้นฐานให้ตัวเอง ก็ทำให้มีความสุขมากขึ้นเยอะเลยครับ เทรดตามระบบ กำไรก็สะสมเพิ่มพูนขึ้นมาต่อเนื่องครับ

.

2 สุขภาพกายดี

“มีเงินมากมายเท่าไหร่ ก็เทียบกับสุขภาพที่ดีไม่ได้” หากเรามีเงิน แต่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงก็คงไม่มีความสุขเป็นแน่ การเทรดเป็นสิ่งที่ต้องใช้สมอง ใช้ความคิด ในการตัดสินใจ หากเราร่างกายแย่ สมองเราจะไม่อยู่ในโหมดที่พร้อมคิด พร้อมสร้างสรรค์ครับ เนื่องจากมีแต่ความกังวล ต้องการเอาชีวิตรอด ยิ่งหากเป็นช่วงที่ป่วย ก็แทบอยากพัก อยากนอน ไม่อยากทำอะไร เรื่องเทรดนี่ไม่ต้องคิดเลยทีเดียวครับ

.

สำหรับด้านสุขภาพหลักๆแบ่งเป็น 3 เรื่อง คือ การนอน การกิน การออกกำลังกาย

.

การนอน ก็จัดเวลานอนให้เพียงพอ บางคนอาจจะยอมแลกการนอนให้น้อยลง เพื่อที่จะให้มีเวลาเทรด มีเวลาทำงานมากขึ้น เพื่อหวังว่าจะได้ไปถึงความสำเร็จให้ไวขึ้น ซึ่งผมเคยโหมเทรด โหมทำงานหนัก ยอมนอนน้อย นอนวันละ 4 ชั่วโมง ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพเลย ทำให้ป่วยบ่อย ป่วยง่าย หงุดหงิดง่าย สุดท้ายการพยายามรีบเร่ง กลับกลายเป็นการทำให้เราไปได้ช้าลงเสียอีกครับ เนื่องจากเราต้องหยุดพักฟื้นร่างกาย ผมก็เลยค้นพบว่า การที่เดินหน้าไปในจังหวะของเรา รักษาสมดุลกายใจให้ดี จึงเป็นทางที่ไวที่สุดแล้วครับ 

.

วิธีการง่ายๆของผมก็คือ ตั้งนาฬิกาปลุกก่อนช่วงเวลาเข้านอนสัก 15 นาที เพื่อให้เราได้จัดการอะไรก็ตามที่ทำอยู่ให้เสร็จและก็เตรียมตัวเข้านอน แล้วก็ตั้งอีกครั้งในช่วงเวลาที่เราตั้งใจจะเข้านอน ลองคำนณจากเวลาตื่นของเราก็ได้ครับว่าเราสมควรจะเข้านอนตอนกี่โมง เช่น ชีวิตผมเป็นไฟต์บังคับอยู่แล้วว่าจะต้องตื่น 6:00 น. และ ผมต้องการนอนให้ได้ 7 ชม. เพราะงั้นผมต้องเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม ผมก็ตั้งเวลาปลุกรอบแรก 22:45 น. และอีกรอบตอน 23:00 น. เป็นต้นครับ

.

การกิน กินอาหารที่มีประโยชน์ ดีต่อสุขภาพในระยะยาว ลดพวกของทอด ของมัน ของหวาน โดยเฉพาะน้ำตาล ก็จะช่วยให้ร่างกายเราดีขึ้นครับ ส่วนตัวผมทำ IF 12-16 ชม. ประกอบด้วยครับ เพื่อให้ร่างกายได้มีจังหวะฟื้นฟูตัวเองบ้าง 

.

การออกกำลังกาย ผมเลือกเดิน , วิ่ง และ ยืดเหยียด เป็นหลักในการออกกำลังกาย เพราะมันเรียบง่ายดี วันไหนวิ่งก็ตั้งเวลาไว้ว่าจะวิ่ง 1 ชม. วันไหนพักจากการวิ่งก็เดินให้ครบ 10,000 ก้าว ช่วงดึกๆ หลังตื่นนอน และ ระหว่างวัน (ซึ่งต้องนั่งทำงานนานๆ) จะใช้การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อป้องกัน Office Syndrome ครับ

.

3 มีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม

ชีวิตเราจะมีความสุข จากความสัมพันธ์ที่ดีครับ ทั้งกับตัวเองและกับคนรอบข้าง หากความสัมพันธ์แย่ จะมีเรื่องให้ต้องปวดหัว รบกวนการเทรดอยู่ตลอด หรือไม่ก็ทำเป็นลืม เก็บซ่อนมันไว้ให้มิดชิดที่สุด แต่สุดท้ายก็จบระเบิดออกมาอยู่ดี หรือ ต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่ Toxic ก็รบกวนใจเราได้เช่นกันครับ หากอยู่ในสถานการณ์ประเภทนี้ก็ต้องหาทางสะสางมันให้ได้ ไม่งั้นก็จะต้องทนทุกข์แบบนี้ไปเรื่อยๆ 

.

ข้อแนะนำที่ผมพอจะแนะนำได้ก็คือ

1 มองสถานการณ์ตามความเป็นจริง ว่าอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง มัน Work ต่อชีวิตเราไหม

.

2 กล้าที่จะสื่อสาร เรื่องที่อึดอัด เก็บงำอะไรเอาก็ ก็หาโอกาสไปสื่อสาร พูดคุยกันตรงๆ ชีวิตจะได้เบาขึ้น ไม่ต้องแบกอะไรไว้ทั้งหมด

.

3 ทำให้ชีวิตไม่มีเรื่องค้างคา ให้มันจบสมบูรณ์ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะสมหวัง หรือ ผิดหวัง ก็ให้เรา Complete กับมัน วันดีคืนดี หากมีอะไรที่มันค้างคาโผล่ขึ้นมา เช่น เรื่องที่เราอาจจะบอกกับตัวเองว่า ช่างแม่ง ไปแล้ว แต่มันก็ยังโผล่ขึ้นมาในความคิดบ่อยๆ แสดงว่ามันยังค้างคาอยู่ครับ (ลองไปดูหนังเรื่อง How to ทิ้ง ก็ได้นะ อารมณ์ประมาณนั้นเลย) ก็ไปทำให้มันจบเสีย ใจก็จะเบาสบายครับ

.

4 กล้าที่จะสร้างกติกาในความสัมพันธ์ที่ไม่ OK หากสามารถทำได้ก็สื่อสารให้ชัดเจนว่าเราไม่ชอบอะไร มันมีผลกระทบอะไรต่อเราบ้าง ถ้าอีกฝั่งยอมรับก็ถือว่าดี สามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ หากไม่ OK ก็ลองดูว่าเรายอมรับได้ไหม หากความสมพันธ์มันจะเป็นแบบนี้ไปต่อ

.

5 ใส่ใจคนรอบข้าง จัดตารางชีวิตที่จะใช้เวลาร่วมกัน เช่น ผมจะนัดทานข้าวกับภรรยากัน 2 คน (ไม่พาลูกไปด้วย) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้พูดคุยกัน 2 คนเป็นเรื่องส่วนตัวกันบ้าง โทรหาพ่อแม่เป็นประจำ หรือ นัดโทรคุยกับอะไรแบบนี้ครับ โดยจะใช้ตัวช่วยก็คือปฏิทินในมือถือนี่แหละ ลงตารางนัดหมายไว้ล่วงหน้าเพื่อจะได้เห็นภาพของความสัมพันธ์ว่าเราจะติดต่อใครยังไงบ้างครับ

.

หากทำได้ตามนี้ ใจเราก็จะสบายขึ้น การเทรดก็จะไม่มีอะไรมาถ่วงให้หนักใจมากนัก ที่เหลือก็เป็นเรื่องของแผนการเทรด แผนการคุมความเสี่ยงแล้วครับ 

.

คุณคงไม่ปฏิเสธที่จะจะนำไปปรับใช้กับวิถีชีวิต วิถีการเทรดตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ?

Friday, December 25, 2020

0892 : New Year New You

New Year New You
.
.
S : อยากให้ New year’s resolution สำเร็จทุกๆปี แต่สุดท้ายก็แป็กมาเรื่อยๆอยู่ใช่ไหมครับ ?
.
.
P : การที่เราตั้งเป้าหมาย ตั้งปณิธานไว้ตอนปีใหม่ แล้วก็ล้มเหลว ล้มเลิกทุกที เป็นเพราะสาเหตุ…ประการ ดังนี้ครับ
.
1 ขาดวินัย จึงทำให้การลงมือทำไม่ต่อเนื่อง มีเหตุผลดีๆมาแทรกก็หยุด ก็เลิกทำ
.
2 ไม่ได้อยากได้มันมากพอ ตั้งเป้าหมายไว้เท่ห์ๆ หรือ ตามกระแส สุดท้ายก็ปล่อยมันไปกับกระแสนั่นแหละ
.
3 มีเป้าหมายหลายอย่างเกินไป ไม่ Focus สุดท้ายจึงไม่สำเร็จสักอย่าง เวลาและ Energy เรามีจำกัด หากมันถูกแบ่งไปทำอะไรหลายๆอย่าง ก็จะไม่มีพลังที่มากพอจะทำอะไรให้ลุล่วง สำเร็จ
.
4 ไม่ได้ติดตามความก้าวหน้า แรกๆก็เริ่มต้นด้วยดี ทำไปทำมา ไม่ได้มีการติดตามผล Review Process ที่เดินไปสู่เป้าหมาย ก็เลยเนียนๆเลิกทำไปซะงั้น
.
5 เก็บมันไว้กับตัวเอง ไม่ได้ประกาศ หรือ บอกให้คนอื่นรู้ จึงทำให้ไม่มีแรงส่งเสริมจากคนอื่นๆที่หวังดี พอจะล้มเลิกมันก็เลยทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องเขินกับใครมากนัก
.
.
I : หากเรายังตั้งเป้าหมายตอนต้นปีแล้วปลายปีก็มาตั้งใหม่เหมือนอีกทีอยู่เรื่อยๆแบบนี้ ชีวิตก็ไม่ก้าวหน้าไปไหนเป็นแน่ ความเชื่อมั่นในตัวเอง ความภูมิใจในชีวิตก็ลดน้อยถอยลงไป และก็คงรู้สึกว่าตัวเองปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์มากๆเลยใช่ไหมครับ ?
.
.
N : การตั้งเป้าหมายและทำให้เป้าหมายให้สำเร็จ สำหรับผมใช้วิธีประมาณนี้ครับ
1 ทำให้มันเป็นเกม เก็บคะแนนใน Process ที่เราลงมือทำ (ถ้าจะเอาเป็นหลักเป็นการ ก็ใช้ OKRs ก็ได้ครับ ฮ่าๆ) เช่น ผมตั้งเป้าว่าจะสอบเลื่อนตำแหน่งให้ได้อันดับที่ 1 (และก็ทำได้สำเร็จด้วยนะ 2 รอบติดกันเลย) ผมก็สร้าง Process การอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ วันละ 1 ชั่วโมง ทุกวัน ผมก็เก็บ Score จดไว้ในสมุดบันทึกเลย (หรือใครสะดวกจะใช้ App ก็ได้นะครับ แต่ผมเป็นพวกสาย Old School ครับ 555) รูปแบบมันก็จะประมาณนี้เลยครับ 
Day 1 อ่าน 1 ชม. เวลาสะสม 1 ชม.
Day 2 อ่าน 1 ชม. 15 นาที เวลาสะสม 2 ชม. 15 นาที
Day 3 อ่าน 1 ชม. 5 นาที เวลาสะสม 3 ชม. 20 นาที  
เวลาที่เราสะสม มันก็เปาเหมือนเราเก็บค่า Exp. ในเกม เพื่ออัพเลเวล เพียงแต่สิ่งที่เราทำ เป็นการอัพเลเวลในชีวิตจริงก็เท่านั้นเอง 
.
การบันทึก Process มันคือ การทำให้เป้าหมายของเรา “คงอยู่” สูญสลาย ล้มเลิกหายไปครับ ถ้าเราบันทึก Exp. ทุกวัน วันไหนที่เราไม่ได้เก็บเลเวล เราก็รู้สึกขาดอะไรไปสักอย่าง แล้วก็กลับมาทำมันต่อได้ครับ
.
2 ทำทีละเป้าหมาย เลือกเป้าหมายที่เราต้องการจริงๆ หยิบมันมาทำให้สำเร็จ เพราะเวลาเรา Lists เป้าหมายออกมาเนี้ย ไม่ได้มีข้อสองข้อแน่นอน บางทีก็ย๊าวยาวเป็นหน้ากระดาษ A4 แต่ก็นั่นแหละครับ เวลาและพลังงานของเรามีจำกัด เลือกข้อที่สำคัญ ข้อที่เราต้องการมันจริงๆมาทำดีกว่าครับ ข้อไหนที่หากทำมันสำเร็จแล้วชีวิตเราจะดีขึ้น ข้อไหนที่สำเร็จแล้วเราจะใจเต้นแรง ภูมิใจในตัวเอง เอาปากกาแดงวงมันไว้เลยครับ แล้วกำหนดไปเลยว่าเราจะทำมันสำเร็จภายในวันไหน ถ้าเราอยากได้มันมากพอ ก็จงทำให้มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายไปเล๊ยยยย!
.
3 Integrity จงให้เกียรติและรักษาคำพูดของตัวเอง พูดว่าจะทำอะไร ตอนไหน ก็จงทำตามที่พูด ความมีวินัยจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จครับ อย่างผมเอง ช่วงที่เตรียมตัวสอบ มีบางวันที่มีเรียน จะกลับบ้านดึกมาก กว่าจะถึงบ้านก็ราวๆ 5 ทุ่ม แต่ก็ยังรักษาคำพูดที่ว่าจะอ่านหนังสืออยู่ หรือ วันไหนที่กลับดึกแล้วอ่านไม่ไหว ก็ต้องไปหา Slot เวลาในวันหยุดเพื่ออ่านชดเชยช่วงที่ Skip ไว้ครับ เพราะผมต้องการให้เกียรติและรักษาคำพูดของตัวเองนั่นเองครับ!
.
4 สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เราไม่ได้อยู่ในโลกนี้ด้วยตัวคนเดียว ยังมี ภรรยา ลูก พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน การจะมุ่งทำแต่เป้าหมายจนหลงลืมความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไป ก็เป็นเรื่องที่ไม่ Work เท่าไหร่ครับ เราตั้งเป้าหมายอะไรไว้ เราควรสื่อสารให้คนรอบกาย (ที่ไว้ใจได้ด้วยนะ ไม่ใช่พวก Toxic หรือ Dream Killer) รับทราบด้วย บอกกับเค้าว่าเราทำไปเพื่ออะไร อย่างตอนที่ผมจะเตรียมตัวสอบเลื่อนตำแหน่งผมก็ไปบอกภรรยาเลยว่า ผมตั้งใจทำเพื่อครอบครัวนะ ถ้าทำสำเร็จ รายได้เราจะเพิ่มเป็นประมาณนี้นะ ซึ่งมันก็เป็นการโน้มน้าวให้เค้า Support เราไปโดยปริยายครับ อีกทางนึงมันก็เป็นการบังคับตัวเราเองด้วยว่า มึงล้มเลิกไม่ได้นะ เพราะมึงไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแล้ว มึงทำเพื่อคนที่มึงรัก วันที่เหนื่อย วันที่ท้อ อยากล้มกระดาน ก็จะมีคำถามว่า เค้าเชื่อใจเรา แล้วเราจะพอแค่นี้หรือ มันจะกลายเป็นพลังที่ทำให้เราไปต่อจนสำเร็จได้อีกแรงหนึ่งครับ
.
5 หาก Process มันมีความก้าวหน้า ให้กลับมาชื่นชมตัวเองด้วย อย่ามองแต่ว่าไกลจากจุดหมายแค่ไหน แต่ให้ดูว่าเราขยับมาจากจุดเริ่มต้นไกลแค่ไหนแล้ว จงอย่าลืมชื่นชมตัวเองล่ะ!
.
6 ข้อสุดท้ายแล้วครับ หาก “ทำเต็มที่แล้ว” ยังไม่สำเร็จ ไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ก็ให้ปล่อยวาง และ ให้อภัยตัวเอง ลองย้อนกลับมาดูว่า เราพลาดอะไรไป มีอะไรที่เราควรจะทำแต่เรายังไม่ได้ทำหรือไม่ ปีหน้าเราจะลุยอย่างไรให้มันสำเร็จ!
.
นี่ก็เป็นข้อแนะนำจากผมนะครับ คุณคงไม่ปฏิเสธที่จะนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้กับ New year’s resolution ในปี 2021 ของคุณตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ?
.
.

0891 : Start your Trade

Start your Trade

 

S : อยากเทรดเป็นงานเสริม แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มสักทีอยู่ใช่ไหมครับ ?

.

.

P : ที่ยังไม่ได้เริ่มเทรดสักที เป็นเพราะสาเหตุ 5 ประการ ดังนี้ครับ

.

1 คิดไปก่อนว่ามันยาก กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน ทำให้ไม่กล้าลงมือทำสักที

.

2 ติดภาพว่าการเทรดจะต้องดูยุ่งๆแบบในหนัง ในซีรีย์ นั่งจ้องจอเยอะๆ ใช้เวลาทั้งวันไปกับการเทรด จนทำให้รู้สึกว่า ไม่มีเวลามากพอที่จะทำได้ขนาดนั้น

.

3 ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ก็เลยเลื่อนมันออกไปก่อน

.

4 อาจจะไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเทรด เพื่อสร้างรายได้อีกทาง รายได้หลักก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว หรือ ทำอย่างอื่น คุ้นค่า คุ้มเวลากว่า ก็เลยได้แค่สนใจ แต่ไม่ได้เริ่มสักที 

.

5 เงินทุนไม่พร้อม จึงทำให้ไม่ได้ฝากเงินเข้าพอร์ตไปลงสนามเสียทีจริงไหมครับ

.

.

I : การที่เราไม่ได้เริ่มเทรดสักที ทำให้เราเสียโอกาสอย่างมากในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงในตลาด ในเกมการเงินนั้นบอกได้เลยว่าเริ่มก่อนได้เปรียบครับ (แต่ต้องเริ่มแบบที่ถูกที่ควรนะครับ) เพราะมันสู้กันด้วยจิตใจ และ กลยุทธ์การเทรด หากเราประสบการณ์น้อย โอกาสที่จะโดนเค้าโจมตีก็สูงครับ และสำหรับคนที่มีความตั้งใจ แต่ไม่ได้เริ่มลงมือทำ ก็คงรู้สึกไม่เติมเต็ม ค้างๆคาๆ เพราะโดนหยุดแต่ว่าอยาก แต่ไม่ได้ทำมันสักทีใช่ไหมครับ ?

.

.

N : สำหรับคนที่อยากเทรด เพื่อสร้างรายได้ทางที่ 2 แต่ยังไม่ได้เริ่มสักที ผมมีคำแนะนำ ดังนี้ครับ

.

1 สำหรับคนที่เงินทุนไม่พร้อม ให้กลับมาจัดการเรื่อเงิน ของตัวเองให้ดี วางแผนจากสมการ รายได้-เงินออม = รายจ่าย ค่อยๆออมเงินไว้ทำพอร์ต 

.

ส่วนใครที่ร่ายจ่ายสูงกว่ารายได้ ต้องกลับไปจัดการให้มีเงินเหลือก่อนนะครับ เพราะถือว่ายังไม่ผ่าน Step ที่ 0 ครับ

.

2 ศึกษาแนวทางการเทรด ของ Trader ที่มี Life Style ใกล้เคียงกับวิถีชีวิตของเรา เช่น บางคนทำงานประจำ บางคนทำงานพาร์ทไทม์ บางคนทำ Freelance บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจ ก็มีแนวทางการเทรดที่แตกต่างกันไป แต่คนละมี Time Frame การเทรดเป็นของตัวเองครับ 

.

อย่างผมทำงานประจำ ก็ไม่ได้เทรดแบบดูกราฟมากนักครับ หรือ หากจะดูก็เลือกดูในกราฟ Time Frame 4 ชั่วโมง (4 ชั่วโมง = กราฟ 1 แท่ง) หรือ 1 วัน (1 วัน = กราฟ 1 แท่ง) เป็นหลักครับ 

.

คิดดูว่า หากผมประชุม ตั้งแต่เช้ายันเย็น กราฟ 4 ชั่วโมง เพิ่มไปเคลื่อนที่ไป 2 แท่งเอง เข้าไปดูกราฟหลังเลิกงานก็ยังทัน มันจึงมีจังหวะให้เราได้คิดได้ตัดสินใจได้อย่างสบายๆเลยครับ 

.

นี่ก็เป็นความสำคัญของการที่เราต้องหาจังหวะที่เหมาะสมกับตัวเราให้เจอครับ

.

3 ทดลองด้วยเงินจำนวนน้อยๆ อย่างผมเคยเขียนถึงเรื่อง Sandbox of Trading ไป ว่าผมทดลองเทรด Crypto แข่งกับเพื่อนๆด้วยเงิน 1,000 บาท ซึ่งทำให้ได้ประสบการณ์และทักษะใหม่ๆเพิ่มขึ้นอย่างไวเลยครับ 

.

.

สำหรับคนที่จะเริ่มต้น ก็ลองศึกษา วางแผน แล้วก็ลงสนามจริง ในแนวทางของ Sandbox ไปก็ได้ครับ หากสามารถอยู่รอดได้ ก็ค่อยลุยต่อไปในเงินก้อนที่ใหญ่ขึ้นอาจจะ Copy Model เดิมที่เราทำแล้วได้ผลดีมาเทรดต่อครับ 

.

.

ในมุมมองของผมนั้น ผมมองว่า “ เวลา มีค่ามากกว่าเงินครับ” เพราะเงินทองเพิ่มได้ลดได้ แต่เวลาไม่มีเพิ่มแล้วแหละ มีแต่ลดลงไปเรื่อยๆ หวังว่าคุณคงไม่ปฏิเสธที่จะเริ่มต้นเทรดตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ ?

Saturday, May 23, 2020

0890 : Crypto Playground 4


สวัสดีครับ,
พบกันอีกครั้งกับ Crypto Playground นะครับ
Project นี้ผ่านมา 18 วันแล้ว
มาติดตามดูสถานการณ์ Port กันบ้างว่าเป็นยังไง

จากทุนตั้งต้น 1,000 บาท
Equity 995.05 บาท
Draw down  0.49%
Maximum Draw down ยังคงเป็นตัวเลขเดิมครับ คือ 1.1%
Free Cash Flow 4.79 บาท (คิดเป็น 0.48%)
Activity 6 Transactions

Dash Board จากแอดมวย ทีมหลังบ้าน ก็จะหน้าตาประมาณนี้ครับ



การเทรดเป็นทีม หากมีการจัดการข้อมูลที่ดี
ก็ทำให้เราได้เห็นการเทรดในหลายๆแง่มุม
จาก Activities ของเพื่อนๆในทีมนั่นเองครับ
ทำไมคนนี้เทรดได้หลายรอบมากๆ
หรือ ทำไมอีกคนเก็บระยะทำกำไรได้ไกล
อีกคนทำไมเค้าไม่ค่อยทำอะไร เค้ารอคอยอะไรอยู่
ทำให้เราได้ย้อนคิดว่า เรามองข้ามอะไรไปหรือเปล่าในเกมที่เราเล่นอยู่


ส่วนตัวผมวีคนี้ก็ลองใช้วิชา Copy Ninja ลอก Order เพื่อนดู 555
เพราะเราทำ Trade Log ใน Google Spread Sheet เดียวกัน
ทำให้เราสามารถเห็นได้ว่าเพื่อนๆเราทำอะไรอยู่
คนไหน Performance ดี ตรูก๊อบจังหวะเข้าออกซะเลย
แต่ก็เป็นการ Bet ที่ไม่ได้เดิมพันมากมายอะไร
เพราะผมใส่เงินกับ Position นี้แค่ 20 บาท (2% ของทุน)
ก็เก็บระยะจาก 6.16 ไป TP ที่ 6.26 ตามพี่เค้าเลยครับ

ส่วน Core Model ที่สร้าง Free Cash Flow ได้สม่ำเสมอ ก็ทำหน้าที่ของมันไป
แยกกันออกให้ชัดว่าอันไหนคือ Core Model อันไหนคือ Betting


ในการเทรดแรกสุด ผมให้ความสำคัญ 3 เรื่อง คือ
1. ไม่เจ๊ง
2. Free Cash Flow ที่สม่ำเสมอ
3. Draw down ต้องไม่สูงมากนัก

ซึ่งตรงนี้ ก็แล้วจริตของแต่ละคน ว่าแสวงหาอะไรในตลาดครับ
เพราะกำไรในตลาดก็มีหลายรูปแบบ
เป็นเงิน (Cap gain)
เป็น Asset (จำนวนหุ้น , จำนวน Coin , จำนวนสัญญา)
เป็น Cash Flow (Free Cash Flow , เงินปันผล)


การเทรด Project นี้ ถามว่ากำไรที่เป็นตัวเงินมันคุ้มไหม
ก็จะไปคุ้มอะไรเล่า กับเงิน 1,000 บาท
มันไม่คุ้มหรอก แค่เดินไปเปิดคอม เปิดแอร์ในห้องเทรด ก็ไม่คุ้มแล้ว

แต่สิ่งที่ได้คือ Exp. ครับ ทั้งจากการเทรดของตัวเอง
และการสังเกตุเพื่อนๆใน Project

Exp. ที่เราได้มา ก็สามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต
หากเราสามารถบริหารเงิน 1,000 ให้มีประสิทธิภาพได้
เงิน 1,000,000 ก็บริหารแบบเดียวกับเงิน 1,000 บาทนั่นแหละครับ
แค่เติมศูนย์ไปอีก 3 ตัวเท่านั้นเอง (อย่าลืมด้วยเรื่องสภาพคล่อง กับ Capacity ของตลาดด้วยนะ)


ไว้พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ.

Saturday, May 16, 2020

0889 : Crypto Playground 3


 

 
อัพเดท Port Project Crypto Playground ที่เทรด Product XRP กันหน่อยนะครับ
แต่ละสัปดาห์ก็จะมา Review Port และแผนการเทรด ลง FB Page และใน Blog นี้
เนื่องจากเป็น Agreement ที่ให้ไว้กับเพื่อนที่ริเริ่ม Project Crypto Playground ครับ

สถานการณ์ Port ตอนนี้ (จากทุน Start เริ่มต้นที่ 1,000 บาทนะครับ)
Equity 994.01 บาท
Draw down  0.60%
Maximum Draw down 1.1%
Free Cash Flow 3.62 บาท (คิดเป็น 0.36%)
Activity 4 Transactions
 
การเทรดที่ผ่านมา ใช้ Zone Trading ธรรมด๊า ธรรมดา ในการยึดครองพื้นที่ครับ
ทำให้ตอนนี้ผมยึดพื้นที่กรอบบนได้ที่ราคา XRP 7.26 
ส่วนกรอบล่างก็มี Cash Reserve ไว้เทรดได้จนถึงโซน 3.60 
(กรณีไหลยาวลงโคตรพ่อโคตรแม่อ่ะนะ 555)
 
หากมองเป็นเกม...
ตอนนี้ก็จะเหลือ HP 850 จาก Max HP 1,000 (ยิงไป 3 นัด นัดละ 50 บาท)
SP 3.62 (SP คือ Free Cash Flow ที่เราทำได้ครับ ซึ่งจะเอามาต่อยอดใช้ Skill พิเศษเพิ่มเติม)
การใช้ SP ขั้นต่ำก็ 10 Points เช่นกัน
เพราะงั้นถ้า Free Cash Flow เรายังไม่ถึง 10 บาท เราก็ใช้ท่าไม้ตายยังไม่ได้จ้า

ส่วน Skill พื้นฐานที่ผมเลือกไว้คือ หมัดไคโอ (Kaioken) ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้
เพราะ Draw down ยังไม่ถึง 10 บาท และ XRP Price ยังอยู่ใต้เส้น Moving Average อยู่
 
 
 
สุดท้าย... สิ่งที่คิดว่าต้องมี หากจะเทรดแนวทางนี้ คือ
1. ความไม่คาดหวัง
หากไม่คาดหวังว่าจะต้องกำไรเร็วๆ แรงๆ ทะลุฟ้า 
จะทำให้เราสามารถเทรดตาม Process ตามแผนที่วางไว้ได้
 
2. ความใจเย็น
ตลาดมีช่วงเวลาขึ้นลง กระชาก เนิบๆ ของมัน
ถ้าใจของเรา ไปไวกว่าราคา ก็จะอยู่กับมันไม่ได้
จนทำให้บางทีก็พยายามทำอะไรสักอย่างกับพอร์ต ซึ่งอาจจะไม่เกิดผลดีก็ได้
ช่วงไหนที่ไม่ใช่เวลาของมัน การไม่เทรดก็คือการเทรดอย่างหนึ่ง
 
3. ความใส่ใจ
ใส่ใจใน Equity ในการทำระบบบัญชี หลังบ้าน
รู้ว่าต้องดูข้อมูลอะไร ที่เป็นประโยชน์ต่อการเทรด
จะทำให้เราเทรดบนพื้นฐานของความจริงได้ดีครับ
 
 
แล้วพบกันใหม่ในการอัพเดทครั้งต่อไปนะคร้าบบบ

Monday, May 11, 2020

0888 : Crypto Playground 2


สวัสดีครับ,
วันนี้จะมาอัพเดทสถานการณ์ของพอร์ตและแผนการเทรด XRP คร่าวๆครับ
.
.
1. #CryptoPlayground เริ่มต้นเมื่อวันที่ 5 เดือน 5
(เข้ เลขสวย เพิ่งเห็นว่าเริ่ม 5/5/2020 ถถถ)  นับถึงวันนี้ก็ 5 วันแระ
.
สถานะตอนนี้ก็เข้าซื้อ XRP เก็บไป 3 ครั้ง นัดละ 50 บาท
เท่ากับใช้ทุนไป 15% ของเงินทุนตั้งต้น 1,000 บาท
โดยได้ของที่ราคา 7.04 / 6.78 และ 6.55 (รับเละช้อนหักเลย 5555) ตอนนี้ก็โดน Drawdown อยู่
ส่วนการสร้าง Free Cash Flow ยังไม่ได้จังหวะ Take Profit เลยสักนัด (สงสัยจะตั้งไว้ไกลไป)
.
.
2. ในสัปดาห์หน้า แผนการเทรดก็คือ ทำตามแผน (เอ๊ะ ยังไง ไม่ได้กวนตีนนะครับ 555)
แผนก็คือเข้ายึดครองพื้นที่ตามที่ Volatility มันจะพาเราไปถึง
ถ้าราคาเด้งก็ Take Profit เก็บ Free Cash Flow
ถ้าโดนทุบต่อก็ยึดครอบพื้นที่ด้านล่างลงไปเรื่อยๆ
เพราะเรามีทุนให้ยึดครองพื้นที่ได้อีก 17 Zone
.
.
3. แผนใช้ Skill หมัดไคโอเค็น
(คือ การใช้ Leverage ส่วนทุนเกิน MM ที่วางแผนไว้
ซึ่งถือเป็นการสร้างภาระให้โครงหลักของ Model
เหมือนกับการใช้หมัดไคโอเค็น ที่ทำให้ร่างกายต้องรับภาระหนักขึ้น)
.
ตรงนี้จะเป็นการ Re-Balance Equity ที่มัน Drawdown ลงมา
เช่น ถ้าราคามันดึง DD ลงมาถึงจุดที่ Equity ติดลบ -10 บาท
(ณ ตอนที่เขียนอยู่มันติดลบประมาณ 8 บาท)
ก็จะเข้า Buy กระสุนนัดละ 10 บาท แล้ว TP สั้นลง เพื่อเก็บรอบเพิ่มขึ้น
(ถ้าถามว่าทำไมต้องรอ 10 บาท ก็เพราะ Bitkub มันต่ำสุด 10 บาทมั๊ง ถ้าผมจำไม่ผิดนะ 555)
.
ส่วนจังหวะเข้าเด๋วรอดูมันยืนเหนือ Moving Average อีกที
(ถ้ามันยืนแล้ว Equity ติดลบไม่ถึง 10 บาท ก็แล้วกันไป ไม่จำเป็นต้องใช้หมัดไคโอ)
.

.
.
4. โครงหลักของ Model 1,000 บาท นี้ก็เป็นอะไรที่ Simple ครับ
แรกสุดคือ วางกรอบการเทรด
ณ จุดนี้ผมใช้กรอบ High – Low รอบการวิ่งล่าสุดของ XRP
ตีไว้กลมๆที่ 3 บาท – 11   บาท
.

.
ถ้าเล่นนัดละ 50 บาท ดูจาก ATR คร่าวๆ ก็ใช้ระยะห่างโซนละประมาณ 0.20 บาท
(ตอนเทรดจริงส่วนใหญ่ระยะจะกว้างกว่าที่วางแผนอยู่ละ)
จะต้องใช้เงินทุน 2,000 บาท หรือกระสุน 40 นัด
เพราะงั้นเงินทุนเราเลยไม่เพียงพอ จึงค่อยๆทำการซื้อสะสมที่ละนัด
เพื่อหาพื้นที่หรือกรอบการเล่นที่แท้จริงก่อน
โดยให้ Volatile ของตลาดมันเป็นคนพาเราไปเปิดแมพ War Zone ที่แท้ทรู
.
อีกฝั่งในส่วนของ Free Cash Flow ที่ทำได้
ก็เอามาจัดสรรให้มีเงินทุนเต็มจำนวนของ Full Model ต่อไป
.

.
.
5. ก็ประมาณนี้แหละครับ ที่เหลือก็ Plan your trade & Trade your plan #ยังไงก็สู้ๆนะครับ
.
.

Sunday, May 10, 2020

0887 : Crypto Playground 1


     #Crypto Playground
Project นี้ผมกับเพื่อนๆ รวมตัวกันเทรด 5 คนครับ 
แนวทางก็คือ ใส่เงินทุนตั้งต้นคนละ 1,000 บาท 
เทรดตามกลยุทธ์ของตัวเองได้เลย ไม่มีข้อจำกัด
โดยเลือก Playground เป็น Product XRP ใน Bitkub ครับ 
แล้วก็จะมาบันทึก Trade Log ทำบัญชีกันใน Google Spread Sheet 
ซึ่งจะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์กันในภายหลัง
.
.
ส่วนตัวผมแล้ว มอง Project นี้เป็นเกมออนไลน์ 
ที่เล่นกับเพื่อนๆ กำไรที่ได้มาก็เหมือนเป็น Exp. นั่นเองครับ
.
ผมแบ่ง Class ของเกมจากทุน 1,000 บาท ประมาณนี้
1. Novice เงินทุนตั้งต้น 1,000 บาท
.
2. Merchant เปลี่ยนอาชีพพ่อค้า เมื่อ Exp. 
(หรือกำไร 1,000 บาท = Alpha ได้ทุนคืนมาครบ)
.
3. Blacksmith เปลี่ยนคลาส 2 Exp. 10,000 
ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ท่าไม้ตายที่มีพลังโจมตีรุนแรงเพิ่มขึ้นได้ครับ
.
ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเปลี่ยนคลาสนะครับ 
.
จาก Stat พอร์ตอื่นๆของตัวผมเองที่เทรด XRP อยู่ระยะเวลา 4 เดือนพอดี (120 วัน) 
สามารถ Gen Cash Flow ได้ 14% ถ้าทำเหมือนเดิมที่เคยทำมา 
ก็จะน๊านนานเลยแหละกว่าจะ Alpha
.
แต่หากได้แชร์ไอเดียกับเพื่อนๆ
ก็อาจจะเจออะไรใหม่ได้ทำให้ไปได้ไวขึ้นก็ได้ครับ
.
.
ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
.
.

Friday, May 8, 2020

0886 : Hedging Inflation From Oil


ช่วงนี้ราคาน้ำมันลงมาเยอะ
อย่างรถผมเติม เดิมราคาอยู่แถวๆ 24-26 บาท
มาช่วงนี้เหลือ 17-18 บาท


ปกติผมจะจัดการเงินส่วนตัวโดยแบ่งเป็นงบประมาณตามแต่ละหมวดหมู่การใช้จ่าย
อย่างหมวดค่าเดินทาง ก็จะมี ค่าน้ำมัน + ค่าเติมเงินบัตร Easy Pass + ค่าที่จอดรถ
รวมๆก็กำหนดไว้เดือนละ 5,000 บาท (ขับแบบเต็มที่ สบายๆ)
เหลือก็หยอดกระปุกออมสินไว้ 555


พอราคาน้ำมันลงมาก็จะมีเงินเหลือจากงบค่าเดินทางมากกว่าเดิม
ก็เลยมาคิดว่า เราจะสร้างประโยชน์จากราคาน้ำมันที่มันปรับตัวลงมายังไงดี
เพราะผมคงใช้น้ำมันไปอีกหลายปี รถยนต์คันที่ใช้ ก็ซื้อมาได้ 2-3 ปีอยู่เลย
และคิดว่าเราคงยังไม่ได้ใช้รถไฟฟ้าในเร็ววันนี้อ่ะ (หมายถึง 5 ปีจากนี้)


ผมเลยมาดูๆกองทุนน้ำมันดูเพื่อซื้อเก็บไว้ใช้ในอนาคต
ส่วนตัวที่ดูไว้ (บวกกะลอกการบ้านเพื่อนในกลุ่ม) มีอยู่ 2 กองที่น่าสนใจ คือ
1. KT Oil ของ KTAM
2. K-Oil ของ KASSET
สุดท้ายก็เลือก K-Oil เพราะกองใหญ่กว่า (1,900 กว่าล้าน)
KT Oil มี Asset ประมาณ 300 กว่าล้าน และค่าใช้จ่ายกองสูงกว่า
เลยเลือก K-Oil ไป แล้วก็มีเก็บพวกหุ้นน้ำมันนิดหน่อย


วิธีการลงทุนก็ไม่มีอะไรมาก
จากเงินค่าเดินทางที่เหลือแต่ละเดือน ก็โอนเข้าไปซื้อกองทุน
จดบัญชีลง Excel ไว้ พวกจำนวนหน่วยลงทุน ราคาซื้อ
ถ้ากำไรก็ขาย Re-Balance ออกไปเป็นเงินสดหรือ MMF (Money Market Fund) บ้าง
หรือหากโดนทุบลงมา ก็รับคืน + ซื้อเพิ่มจากเงินที่เหลือๆในเดือนใหม่
 

ทีนี้การใช้จ่าย การเติมน้ำมันของเราก็จะมีการ Hedging แระ คือ
หากน้ำมันราคาพุ่งขึ้น ค่าใช้จ่ายประจำเดือนก็จะสูงตาม
แต่อีกฝั่งเราก็จะกำไรจากกองทุน

ถ้าราคาน้ำมันลง ก็จะได้เติมน้ำมันถูก
เงินเหลือเยอะขึ้น เอามาซื้อกองทุนน้ำมันต่อ

หากราคาน้ำมันแช่โซนนี้นานๆ
เงินที่ใส่ไปในกองทุนก็จะเป็นการ Lock ต้นทุนน้ำมัน
ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันไปได้ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ
ก็ต้องมาดูกันว่าจะสามารถ Build Port จนยืด Time ไปสักเท่าไหร่ 555

 
การซื้อกองทุนน้ำมัน เป็นการซื้อด้วยเงินเต็มจำนวน
ซึ่งก็ปลอดภัยกว่าการใช้สัญญา Future หรือ CFD ในโบรค Forex
เนื่องจากพวกโบรคเหล่านี้มีลูกเล่นเยอะพอดู
บางจ้าวบอก Swap ฟรี วันดีคืนดีมาคิด Swap ย้อนหลัง
บางทีก็ปรับ Position Size ขั้นต่ำ จากที่เคยให้เทรด 0.01 lotได้
วันดีคืนดีมาบอกว่า มึงต้องเทรดขั้นต่ำ 1 lot นะจ๊ะ (อ่าว เห้ย ไม่ได้ทันได้เตรียมใจ)
บ้างก็ให้หยุดเทรด ถอด Product ออกเสียดื้อๆเลย
นอกเหนือจากนั้นก็ปลอดภัยจากความโลภของตรูเองนี่แหละ
บางทีก็อดใจจะใช้ Leverage เสียไม่ได้ 555


การ Re-Balance ในกองทุนน้ำมัน
ถ้า Build Port ให้ใหญ่ขึ้น
ก็จะเหมือนเรามีปั้มน้ำมันเล็กๆไว้ Generate น้ำมันของเราเองนั่นแล
 


Background photo created by jannoon028 - www.freepik.com

Friday, May 1, 2020

0885 : Re-Balancing Process 101


สวัสดีครับ วันนี้จะมาพูดถึงการ Re-Balancing นะครับ
เพราะช่วงนี้มีหลายๆคนส่งคำถามหลังไมค์เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้
เลยขอมาเขียนตอบตรงนี้ทีเดียวเลยแล้วกันนะครับ
 

 

การ Re-Balancing คือการปรับพอร์ตของเราให้อยู่ในสัดส่วนที่เราวางแผนไว้
เช่นเราอาจจะวางแผนว่าจะถือครอง เงินสด 50% และ Asset A 50%
สมมติที่ทุน 1,000,000 บาท แบ่งเป็น
1. เงินสด 500,000 บาท
2. Asset A จำนวน 50,000 Unit ที่ราคา 10 บาท / Unit มูลค่ารวมเท่ากับ 500,000 บาท ละกัน)

เมื่อราคาของ Asset A มันขยับไปทางใดทางหนึ่ง ทำให้มูลค่าเปลี่ยนไป
สมมติ หากราคา Asset A วิ่งขึ้นเป็น 11 บาท มูลค่าเพิ่มเป็น 550,000 บาท
พอร์ตรวมของเราจะกลายเป็น 1,050,000 บาท (ตีเป็น 100% ใหม่อีกรอบ)
จาก เงินสด 500,000 บาท (47.62%) Asset A 550,000 บาท (52.38%)

หากเราจะ Re-Balancing กลับไปที่ เงินสด 50% + Asset A 50% อีกรอบนั้น
ก็ต้องปรับพอร์ตด้วยการขาย Asset A ออกให้ได้เงิน 25,000 บาท
(ขายที่ราคา 11 บาท มูลค่า 25,000 บาท ก็เท่ากับประมาณ 2,273 Unit)
แล้วเราก็จะมี เงินสด 525,000 บาท (50%) + Asset A 525,000 บาท


ทีนี้หาก Asset A โดนทุบบ้าง สมมติ ราคาลงจาก 11 บาท เหลือ 9.43
มูลค่า Asset A ในพอร์ตเรา ลดลงจาก 525,000 บาท เหลือ 450,000 บาทล่ะ จะทำอย่างไร
ก็มาดูที่สัดส่วนของ เงินสด กะ Asset A ก่อนว่าเป็นอย่างไร
เงินสด 525,000 บาท = 53.85%
Asset A มูลค่า 450,000 บาท = 46.15%
มูลค่าพอร์ตรวม = 975,000 บาท

การจะ Re-Balancing ก็จะปรับโดยการเอาเงินสดไปซื้อ Asset A เติมเข้าไปให้กลายเป็น 50 : 50
พอร์ตรวม 975,000 บาท ที่ 50 : 50 จะเท่ากับต้องมีเงินสด : Asset A อย่างละ 487,500 บาท
เพราะงั้นเราจะต้องแบ่งเงินสดไปซื้อ Asset A จำนวน 37,500 บาท
(ปรับจาก 525,000 - 487,500 = 37,500 บาท)
ที่ราคา Asset A 9.43 บาท / Unit เงิน 37,500 บาท จะซื้อได้ราว 3,976 Unit
พอร์ตเราก็จะกลายเป็น เงินสด 487,500 บาท
Asset A 51,703 Unit x ราคา 9.43 บาท มูลค่าจะเท่ากับ 487,559 บาท (เกินไป 59 บาท 555)
โดยที่เราจะมี Unit เพิ่มจากจุดเริ่มต้น 1,703 Unit (แรกสุดเรา Start ที่ 50,000 Unit)

เมื่อราคา Asset A มัน Move ไปทางไหน เราก็คอยปรับพอร์ตตามไปเรื่อยๆ
ซึ่งวิธีนี้ทำให้เราสามารถวางแผนล่วงหน้าได้
ราคาปรับตัวขึ้น เราจะทำอะไร
ราคาโดนทุบ เราจะรับมืออย่างไร


จังหวะการปรับพอร์ต
ส่วนนี้เราอาจจะกำหนดจากการเพิ่มลดของมูลค่า Asset ก็ได้
เช่น มูลค่าบวก 5% , 10% , 20% เราจะปรับพอร์ตทีนึง
หรือ อาจจะเอาเครื่องมือทางเทคนิคคอล มาใช้หาจังหวะในการ Re-Balancing ก็ไม่มีใครว่า
การใช้ EMA , MACD , RSI , STO ใน Time Frame ต่างๆ

สมมติว่า เราวางแผนจะ Re-Balancing ตาม EMA
ถ้า EMA มัน Cross กับ Price ที
เราก็มาดูสัดส่วนพอร์ตเราทีนึงว่าเราจะต้องปรับเงินสดกับ Asset อย่างไร เท่าไหร่บ้าง


สิ่งสำคัญของการ Re-Balancing คือ
1. ต้องเลือก Asset ให้ดี เพราะเราจะอยู่กับมันนาน
2. มีวินัย ทำตามแผน ไม่โลภ หรือ กลัว จนไม่กล้า Action ตามแผนที่วางไว้
3. ทำบัญชีให้ดี ไม่งั้น งงตายยย
4. ออกแบบแผนการ Re-Balancing ให้เหมาะสมกับกับสิ่งที่เรามี  (หน้าตัก / เวลาชีวิต / Life Style / ความรู้ / พฤติกรรมของ Product ที่ลงทุน) เช่น หากไม่ค่อยมีเวลาก็อย่าไปพยายาม Re-Balancing ให้มันถี่มากนัก หรือ ตั้งเป้า Re-Balancing ไว้ไกลเว่อร์ๆ จนไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของตัว Product ไรงี้


จริงๆมันมีการ Re-Balancing อีกหลายแบบนะครับ
ที่เขียนไปข้างบนคือ สะสม Asset เพิ่ม (เพิ่มจำนวน Unit)

ส่วนแบบอื่นๆก็เช่น
- ไม่เพิ่ม Unit แต่สร้าง Free Cash Flow
- Re-Balancing แบบกำหนดสัดส่วน หรือ หลายๆ Asset เช่น
* เงินสด 40 : Asset 60
** เงินสด 30 : Asset A 20 : Asset B 20 : Asset C 20
*** ฯลฯ มันแตกไปได้หลายอย่างมาก แล้วแต่เราออกแบบครับ 555
แต่ที่สำคัญ คือ เราต้องสร้างระบบบัญชีหลังบ้านให้ดี และวางแผนให้ชัดแค่นั้นเอง
พวกแตกแขนงออกไปแบบอื่นๆนี่ไว้โอกาสหน้าจะมาเขียนต่อครับ


ส่วนวันนี้ลาไปก่อนครับ โอกาสหน้าพบกันใหม่
ขอให้ทุกท่านอยู่รอดปลอดภัยในช่วงวิกฤติ Covid-19 นี้
ทั้งด้านสุขภาพและการเงินในกระเป๋านะคร้าบบบ


ขอบคุณภาพประกอบจาก People photo created by freepik - www.freepik.com ครับ

Saturday, March 28, 2020

0884 : Diary 28 มี.ค. 2563


เคลียร์งานประจำไปเกือบหมดละ ปิดบัญชี 31 มี.ค. นี้
ช่วงนี้ก็... วางแผนสำหรับปีหน้า ซึ่งก็หนักหนาอยู่ กับ Covid-19
ไป Face to face ก็ลูกค้าก็ลำบาก ต้องใช้การโทรคุย สื่อสารกันมากขึ้น

ปีที่ผ่านมาพอใจกับตัวเองไหม อยู่ในเกณฑ์ที่พอใจนะ
มีทีมงานมากขึ้น ก็คาดหวังมากขึ้น บางทีก็มองว่าไม่ได้ดั่งใจเรา
มันมีเสียงในหัวประมาณนี้ขึ้นมาบ่อยๆ... ว่าทำไมไม่อย่างนั้น อย่างนี้...
ไม่มองหาช่องทางสร้าง Productivity เพิ่มกันหรือ
แต่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องปรับมุมมองต่อไปและสร้างการสื่อสารที่ work ต่อไป


ชีวิตตอนนี้ก็รู้สึกหย่อนยานในการออกกำลังกายและ IF มากกก
Clean Up จิตใจตัวเองและเริ่มใหม่แพ๊บ

กลับมา Focus & Follow เป้าหมายที่มึงตั้งไว้ด้วยโว้ย!


การเทรด
Forex 
ไปได้ดี Equity Curve เริ่มฟื้นตัว
เราเอา Cash Flow ส่วนเกินกำไรที่คาดหวังในเดือนนี้ไป Cut loss พวก Close System เดิม
เช่น AUDCHF , AUDUSD , NZDUSD , NZDCHF ฝั่ง Buy หลายไม้อยู่
ซึ่งก็ยังไม่หมดนะ เดือนต่อไปก็ค่อยทยอยคัทออกจนเหลือแค่ Model Arbitrage ละกัน

เริ่มคุยงาน เรื่องถอด Process การเทรด Fx ออกมาทำเป็นบอทละ หลังจากที่จะเริ่มมานาน


Crypto
สัปดาห์นี้ไม่ได้มี Activity อะไรเท่าไหร่เลย
ไม่ได้ลงแข่ง Mudley Club ด้วย เนื่องจากขอเว้นไปทำงานประจำก่อน
ตามดูห่างๆ รู้สึกว่า Volatility มันลดลง
เร็วๆนี้น่าจะใกล้วิ่งอีกครั้งละมั๊ง


Stock
เทรดเก็บ Cash Flow เบาๆ เพราะเงินสดยังไม่มา รออีกนิสน้าา
แผนช่วงนี้ก็เทรดแบบทยอยสะสม
ส่วนจุดที่จะเก็บเยอะๆก็คงรอหุ้นดีๆมี Yield ระดับ 15-20% โน่นแหละ
ซึ่งมันเป็น Yield ระดับเดียวกับตอนปี 2009

Saturday, March 21, 2020

0883 : Diary 21 มี.ค. 2563


เพิ่งได้ไปดู Channel Bitcoin ที่ลากไว้ มาดูอีกทีหลุดเละเลย 555 เปลี่ยนมุมมองใหม่อีกที

 


ช่วงที่ผ่านมาก็มีใช้ Leverage ฝั่ง Buy ไปบ้าง ใน Deribit แต่ก็ใช้แบบบางๆ พยายามให้ Liquidity Price ไม่เกิน $1,500 วันที่มันลงทีเดียว $3,000 น่ากลัวเหลือเกิน คนที่ใช้ Leverage 1:2 , 1:3 น่าจะกลับจุดเซฟไปกันหมด ก็เป็นสิ่งที่เตือนใจได้เป็นอย่างดีว่า อย่าบุกมากเกินไปจนลืมเรื่องเกมรับ


Wednesday, January 29, 2020

0882 : Diary 29 ม.ค. 2563


ช่วงนี้ในงานประจำผมก็ออกไปเยี่ยมลูกค้ารัวๆเลย
ส่วนใหญ่ไปโซนที่เป็นเจ้าของฟาร์มปลา
ปัญหาหลักๆตอนนี้คือ น้ำไม่มี ใช้น้ำเก่าวนเลี้ยงปลาในบ่อกันไป
ซึ่งก็ทำให้เสี่ยงเพิ่ม ถ้าปลารับไม่ไหวก็ป่วยเป็นโรค
แถมตลาดยังมาดร็อปลงในช่วงนี้อีก
การจะขายก็ต้องมี Size ให้คู่ค้าได้เลือก
หากขายใน Size ที่ตลาดไม่ต้องการก็จะทำให้ขาดทุนราวๆ 20-30% เลย
ซึ่งถือว่าโหดสุดๆ ซึ่ง 30 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยเกิด Event ประมาณนี้มาก่อน

บางคนมีการเตรียมตัวที่ดี คือมีบ่อพักน้ำ Stock น้ำเยอะ ก็โยกน้ำไปมา
บางคนก็มีระบบทำบ่อน้ำบาดาลไว้ สูบเติมเข้าเรื่อยๆ
แต่หลายๆคนก็ได้แต่บ่น ท้อ อย่างเดียวเลย
ทำให้ได้เห็น Mindset ที่ชัดเจนของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
คนที่เค้าเอาตัวรอดได้ จะคิดแผนสำรองเสมอ
การวางแผนก็ไม่ได้เลี้ยงแบบอัดแน่น เต็มที่จนล้น Capacity
และรู้จักตัวเองดี ในที่นี้คือ จริต , Stat ของตัวเอง
พอวิกฤตมาก็เลยมีทางรอด

ส่วนกลุ่มที่ไม่รอด ก็ไม่มีช่องให้ปรับหรือถอยแล้ว
ซัดเต็มตั้งแต่ทีแรก และสายป่านก็สั้นกว่ากลุ่มแรกอีก
การจะรอดก็ต้องคัทลอสแบบเจ็บๆเลยแหละ
แล้วค่อยไปเริ่มต้นในจังหวะใหม่
ซึ่งส่วนใหญ่ Personal Finance Based ก็ไม่แน่นอีก

เฮ้อ ปัญหานี้มันระดับรากของประเทศไทยจริงๆ
มันจะแก้กันยังไงแว้ - -"


ถ้ามองก็คล้ายๆกับที่เราเทรดเลย
คือหากอัดเต็ม MM แต่แรกนิ แล้วเจอทุบยาวๆนิมีสิทธิ์ดับสูง
เหมือนเราเข้าไปอยู่ในเกมที่สามารถถูกเค้าบีบให้ตาย ให้มอบตัวได้
ถ้าค่อยๆยึดพื้นที่ไป ใช้ทรัพยากรไม่มาก สามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้ก็รอด



ในกลุ่มคุยกันถึงสิ่งที่ควรทำในช่วงอายุ 20 - 30 (จากกระทู้นึงใน pantip)
ของผมคิดว่า ช่วง 20-30 ถ้าย้อนกลับไปบอกตัวเองได้ ก็จะบอกประมาณนี้แหละ
1. วางแผนการเงิน
2. เก็บเงิน (เงินสำรอง เงินเกษียณ ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ไรพวกนี้)
3. สร้าง Asset
4. สร้างแต่หนี้ดี
5. เรียนรู้ในสิ่งที่อยากทำ หรือ สิ่งที่เป็น Passion ของเรา
6. ท่องเที่ยว
7. ดูแลสุขภาพ
8. Connect กับครอบครัวให้มากขึ้น



Bitcoin วันนี้ขึ้นไปทำ High ที่ $9,900 ส่วน Low อยู่ที่ $9,300 วิ่ง $600 เลย
ใน Bitkub ได้ TP หลายไม้อยู่ Happy 555
ส่วนใน Deribit โดนลากต่อไป รอกำลังเสริมจาก Cash Flow ของ Beta System





Monday, January 27, 2020

0881 : Diary 28 ม.ค. 2563


การแข่งขัน Mudley Club Competition Season 2 เริ่มขึ้นแระ
นัดนี้ Lazy Trader เจอกะ Inferno
ผมก็ลงตำแหน่ง Total Distance เช่นเดิม

เปิดมาก็ตัดสินใจพลาดไป ตอนที่ราคา Bitcoin ร่วมลงมาหลุด $9,000
แล้วไม่ได้ปิด Positions เพื่อดึง Cash Flow กะว่าขอเก็บระยะเพิ่มอีกหน่อย
มาวันนี้เด้งมา $9,500+ เลย So Sad
แต่ก็นั่นแหละ มันสนุกตรงที่เดาผิดเดาถูกนี่แหละเนาะ 5555
ไม่ให้ความหมายกับมัน ปล่อยวาง แล้วสร้างใหม่ รอจังหวะต่อไป
 
ที่พลาดรอบนี้เพราะเดาว่ามันน่าจะลงต่อสิน่า
แล้วเราค่อยไปเก็บระยะลึกๆหน่อย

What's next ก็เก็บระยะที่พอเหมาะ
แล้วก็ฟัง Manager บ้าง 5555 เพราะ Manager บอกให้ปิดไว้ก่อนแต่แรกแล้ว

ส่วนมุมมอง Bitcoin ตอนนี้ก็ตี Channel ใหม่ไว้ละ
แบ่งกระสุนมา Bet ไว้รอขายที่กรอบบนไว้ด้วย


Friday, January 17, 2020

0880 : พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับเป้าหมาย


ช่วงที่ผ่านมาผมค้นพบอะไรบางอย่างครับ
ด้วยความที่เดิมผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีวินัยเท่าไหร่
แถมยังผัดวันประกันพรุ่งเก่งอีก
การจะลงมือทำเป้าหมายอะไรสักอย่างมันจึงมักจะเถลไถลไปเสียบ่อยเลย

ไม่นานมานี้เพิ่งได้ฟังคลิปงานสัมมนานึง
น่าจะจัดที่ตลาดหลักทรัพย์มั๊งครับ
เป็นคุณรวิศ หาญอุตสาหะ (เจ้าของศรีจันทร์ กับ Mission to the moon)
แกพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม
หากเรามีเป้าหมายอะไรสักอย่าง
ถ้าสิ่งแวดล้อมมันไม่เอื้อ ก็เป็นเรื่องง่ายมากที่เราจะหลุด Focus
เพราะจิตใจเราไม่ได้แข็งแกร่งดั่งหินผามากเท่าไหร่

จะให้ดีก็คือ ทำให้สิ่งแวดล้อมมันสอดคล้อง เอื้ออำนวยต่อการบรรลุเป้าหมายของเรา
เช่น หากต้องการลดน้ำหนัก ตู้เย็นก็ไม่ควรมีของที่กินแล้วอ้วน
อยากออกกำลังกายก็ไปฟิตเนสหลังเลิกงานเลย หากกลับมาพักเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อน ก็ยากแระ
เปิดซีรีย์นอนดูอยู่บ้านง่ายกว่าเยอะ

อย่างผมตอนนี้ทำ IF มีช่วงงดอาหาร 16-20 ชั่วโมงครับ
ปกติผมจะกินมื้อเช้ากะมื้อกลางวัน (ทานเสร็จราวๆ 13:00 น.)
ส่วนมือเย็นจะงด ทานแต่น้ำเปล่าไปกินอีกทีก็ 8 โมงวันถัดไป จะได้ช่วงอดราวๆ 19 ชั่วโมง
ก่อนหน้ามันจะพังบ่อยๆ เพราะการแวะนั่นนี่หลังเลิกงานนี่แหละ
บ้างก็แวะ 7-11 แวะตลาด แวะโลตัส อะไรพวกนี้
พอแวะ ก็เหมือนเอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ ...
มันก็ยากที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ซื้อนั่นซื้อนี่กิน

หลังๆผมก็เลย คิดได้ว่า เออ กูเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นเองนี่หว่า
จริงๆ ขับรถเลย 7-11 เลยตลาด เข้าบ้านไปเลย ก็จบแล้ว รอด!

อย่างเรื่องการเทรดก็เช่นกัน
ปกติผมไม่ค่อยชอบดูกราฟ ดูราคาเท่าไหร่
พอเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม มีการไปแข่งเทรดก็อยู่กับเพื่อนๆในกลุ่ม
ต้องดู Chart ดูราคาบ่อยขึ้น
สิ่งแวดล้อมเหล่านี้มันก็ทำให้เราได้ซึมซับ EXP. ไปอัตโนมัติเลยเช่นกัน

สิ่งที่ค้นพบก็ไม่มีอะไรมาก
ลองเอาตัวเองไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับเป้าหมายดู
ถ้าหาไม่เจอก็ลองสร้างมันขึ้นมาครับ ^ ^

Saturday, January 4, 2020

0879 : Diary 4 ม.ค. 2563


ว่าจะจดสรุปแนวคิดของกองทุนใหม่กองนึงของพี่ต้านที่ไปฟังในงาน Riccio มานะครับ
นานละไม่ได้ทำสักที ถือฤกษ์วันนี้เลยละกัน 555
 
   
สรุปแนวคิดของกองทุนนะครับ
    
เนื่องจากกองทุนเดิมประสบความสำเร็จ แต่ไม่สามารถขยาย Fund ได้
ทำให้ต้องทำ Fund ใหม่ โดยมีแนวคิดของการ Scalable & Automated (ใช้ AI นั่นแหละ)
   
    
Vision คือ Thai Soul , International Body
Thai Soul คือ Mudley Trader
International Body คือ เรื่องของ Admin , Broker , Audit
 
    
Priority #1 คือ Shareholder
Priority #2 คือ Capital Preservation
Priority #3 คือ B. Foundation
 
    
Mission Statement
1. Seeks to combine discretionary and quantitative investment strategy in order to generate consistent , positive return regardless of market direction.
2. Evole , scale and automate Riccio's trading strategy.
3. Constantly grow and positive impact the financial health.
   
Riccio Return (3/5 years annualized คือ 12.87% / 13.06%)
 
    
Philosophy
#1 Preserve investor capital.
- Trade using investor capital are hedge.
- Trade using fund profits are not hedge.
- Protect capital by using option.
    
#2 Marathon, not a sprint.
- Patience is most important asset.
    
#3 Technology Driven
- Highly scalable , highly efficient
- Automated trading (AI , ML)
- Trade 24 hr. everyday
    
#4 Be humble
- Low risk, medium return
- Trading discipline
- Simple vs. Complex
- To be hugely successful and grow into a major.
 
    
ข้อแตกต่างระหว่าง กองเก่า vs. กองใหม่ 
กองเก่า
1. Multi strategy, multi product
2. Multi Broker
3. Mamual Trading
4. Private, un-audited
5. Family Director
6. Monthly Dividend at Management Discretion
7. No NAV published
   
กองใหม่
1. Focus Strategy, Exchange listed instruments
2. Using Riccio strategy that can be scaled and automated
3. Single Prime Broker
4. Automated Trading
5. No dividend , quarterly withdraw mechanism
   
   
Example : How to trade using investor capital are hedge
1. Buy Gold
2. Use profit to by option to protect the gold
3. trafe gold using algo generate profit
4. Option expire if gold price is lower than cost , option protect capital
Worst case lost money spent on buying option 
"The more profit we generate, the greater the oppotunity."
 
   
Instrument
- Commo
- Currencies
- ETFs
- Indices
- Option

   
Fee 2 steps คือ
2% Management Fee
20% Performance Fee

0878 : เตรียมตัวลุยต่อในปี 2020


มานั่งเขียนซะหน่อยว่าจะเตรียมตัวยังไงสำหรับปี 2020 นี้ (ช้าไปม่ะ 555)
อันที่จริงก็เตรียมการมาหลายวันแล้วแหละ

ปี 2020 นี้จะใช้ Process Based ในการวัดผล
ซึ่งได้แนวคิดมากจาก อ.นภดล ร่มโพธิ์
คือเราเข้าไปอ่านบทความ + ฟัง Podcast เรื่อง OKRs , การวัดผลจากอาจารย์บ่อยๆ
ซึ่งผมก็เอามาประยุกต์เป็นหลักการของตัวเอง คือ


1. เขียนเป้าหมายมิติต่างๆของชีวิตออกมา (ระบุตัวเลขออกมาให้ได้)


2. สร้าง Process , กระบวนการ หรือ เส้นทางที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นออกมา ว่าต้องทำอะไรบ้าง


3. ใช้เครื่องมือในการติดตาม วัดผล
- ในข้อนี้ผมโหลด App ที่ชื่อว่า Done มาใช้ Tracking Process ของตัวผมเองครับ
(จริงๆไม่ต้องใช้ App ก็ได้นะ ทำใน Excel หรือ Spread Sheet ก็ได้
แต่คือผมอยากได้ความสะดวกน่ะ เลยยอมจ่ายตังค์ซื้อ Appนิดนึง)
- อีก App ที่ใช้ก็คือ Minimalist ที่เป็น App เอาไว้สร้าง To-do list
เอาไว้จดว่าต้องทำอะไรบ้าง และ ทำอะไรเสร็จไปแล้ว


4. Focus
ในระหว่างทาง มันจะมีหลายๆสิ่งที่เข้ามาทำให้เราไข้วเขว
การดึงตัวเองกลับเข้ามาอยู่ในเส้นทางของเป้าหมายจึงสำคัญมากครับ
วิธีที่ผมใช้ก็คือ เวลามีอะไรที่ผุดขึ้นมาในความคิด ก็จดบันทึกความคิดนั้นลงใน Minimalist ซะ
เช่น สมมติในปี 2020 ผมตั้งเป้าว่าจะฝึกวิ่ง
แต่อาจจะมีความคิดที่อยากไปฝึกยิงปืน ปีนเขา ดำน้ำผุดขึ้นมาก็ได้
และหากเราไข้วเขวเราก็อาจจะเอาเวลาไปทำในสิ่งที่เราอยากทำ
จนทำให้เราละทิ้งการฝึกวิ่งไปเลย หรืออาจจะเว้นไปช่วงนึง กว่าจะกลับมาก็ปลายปีอะไรงี้

หากเราเจอความคิดประเภทนี้ก็จดมันไว้
แล้วก็ถามตัวเองดูว่าเราจะทำมันจริงๆหรือไม่
ทำมันไปทำไม ? (ลองหา Strong Why ของมันดู)
หากมันจำเป็น หรือ มันเป็น Passion ของเราจริงๆ ก็เปลี่ยนสิ
หรือมันอาจจะเป็นแค่ความสนใจใหม่ๆ อันนี้ก็ต้องตอบตัวเองว่าเราจะทำไงกับมัน

มันคือตัวเลือกแค่
1. จะทำตอนนี้ (จะทำก็ลงตารางเวลาไว้เลย)
2. ยังไม่ทำมันตอนนี้ (ถ้าเลือกข้อนี้ก็ ดูว่าในอนาคตจะทำมันเมื่อไหร่
หากทำเป้าหมายหลักสำเร็จค่อยมาทำมันต่อก็ได้)
3. ไม่ทำมันหรอก (มันโผล่มาในความคิดเฉยๆ ไม่ได้สำคัญอะไร)
แค่นั้นเอง


5. วัดผล Tracking Process
ทำให้แต่ละเป้าหมายมันกลายเป็นตัวเลขเผื่อให้สามารถวัดผลได้
เช่น หากมีเป้าหมายเรื่องการวิ่ง
ก็ Track ตัวเองว่าจะวิ่งกี่วันใน 1 ปี และจะวิ่งให้ได้กี่กิโลเมตร
อย่างของผมก็ตั้งเป้าไว้ 200 วัน / ปี โดยจะวิ่งให้ได้ 1,200 กม.
แต่ละวันผมก็จะ Track ตัวเองว่า
วันนี้วิ่งได้ 1 / 200 วัน ระยะ 6 / 1,200 กม.
วันต่อมาก็จะเป็น 2 / 200 วัน ระยะ 12 / 1,200 กม. อะไรประมาณนี้ครับ
ซึ่ง App ออกกำลังกายส่วนใหญ่ก็จะมี Track ให้อยู่แล้ว

สุดท้ายก็จะวัดออกมาเป็นคะแนน ตั้งแต่ 0 - 1
เช่น วิ่งไปได้ 120 km. จากเป้าหมาย 1,200 km ก็เท่ากับได้คะแนน 0.1 ประมาณนี้ครับ
แล้วก็จะติดตามมันทุกวีค ทุกเดือน ทุกไตรมาส
เพื่อให้ได้ Focus จดจ่อไปกับเป้าหมายที่ตั้งไว้


ถือโอกาสนี้อวยพรให้เพื่อนๆที่ติดตามอ่าน Blog Value Visions มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีความสุข มีสติ มีพลังในการดำเนินชีวิตตลอดทั้งปี 2020 นี้ครับ สวัสดีปีใหม่คร้าบบ