Pages

Wednesday, August 17, 2011

0013 : Value Visions 10-08-2011

บนเส้นทางการลงทุนของผม จากที่เคยเรียบง่าย
ไม่มีหลุมมีบ่อ ไม่ค่อยจะมีอุปสรรคใดๆมากีดขวาง
แต่ ณ วันที่ 5 สิงหาฯ 2554 นั้น กลับเจอบททดสอบแรกในชีวิต
นั่นก็คือการที่ USA ถูก S&P ปรับลดเครดิต
ทำให้หุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรงทันที ( ราวๆ 5% )
ตลาดหุ้นไทยในวันนั้นก็ไม่รอดเช่นกัน

ณ วันนั้นหุ้นในพอร์ตของผมมูลค่าลดลงไปประมาณ 2%
ผมก็ยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ เพราะต้องการรอดูสถานการณ์ก่อน
ก็เริ่มยอดซื้อขายสุทธิของตลาด ปรากฏว่า นลท. ต่างประเทศ
ขายสุทธิ เงินบาทก็อ่อนค่ามากขึ้น ทำให้ผมคิดว่า ฝรั่งเริ่มหนีกลับ
เหล่ากองทุนในต่างประเทศน่าจะเทขายหุ้นเพื่อถือเงินสด
เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์การขายคืนหน่วยลงทุน

วันจันทร์ สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น แต่พอร์ตผมก็ยังแข็งแกร่งเช่นเดิม
หุ้นตัวหลักในพอร์ตราคาปิดเท่าเดิม แต่ตัวอื่นๆลดลง 2-3%
ผมจึงเริ่มกังวลใจมากขึ้น เนื่องจาก ณ เวลานั้น
มีหุ้นอยู่ 110% ( คือใช้มาร์จิ้น 10% )
ผมลังเลใจระหว่างการขายหุ้นออก 30% เพื่อลดมาร์จิ้น
และกลับมาถือเงินสดอีก 20% กับการทนถือฝ่าวิกฤตไป
หรืออย่างน้อยก็ลดพอร์ตให้เหลือ 100%
ซึ่งผมมองว่า ณ เวลานั้น USA เหมือนยังไม่เจอทางออก
และอาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบปี 2008 อีกครั้ง

สุดท้ายแล้ว ณ เช้าวันอังคารที่ 9 ผมเลือก ลดพอร์ตลง 30%
เพื่อกลับมาถือเงินสด เผื่อว่าเหตุการณ์มันจะกลับไปย่ำแย่
แบบปี 2008 อีกครั้ง ผมตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะว่า
ผมต้องการลดมาร์จิ้นและชักกำไร ให้ออกมาเป็นเงินสดในมือ
อย่างน้อยในสถานการณ์ที่เรามองอะไรไม่เห็น
ถ้าเรากำเงินสดอยู่ ยังไงเราก็ได้เปรียบ
แต่ช่วงบ่าย ผมลองทำ SAP เล่นๆ โดตั้รับต่ำกว่าเยอะ
แล้วก็ทำงานจนลืมไปว่าตั้งรับไว้ มาดูอีกที
อ้าว ! มีคนขายให้กรูซะงั้น ก็กลายเป็นว่าตอนนี้ถือหุ้น 100%เหมือนเดิม

และวันที่ 9 ช่วงดึก USA ก็ประกาศนโยบายแก้ไขเศรษฐกิจ
( แก้ผ้าเอาหน้ารอด ) โดยตรึงอัตราดอกเบี้ยพิเศษเอาไว้ 2 ปี
ทำให้หุ้นทั้งโลกบวกกลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่า SET ในวันรุ่งขึ้นก็เช่นกัน

มีเพื่อนแซวผมว่า แบบนี้ก็ลดพอร์ตขายหมูสิ
ผมก็ไม่ว่าอะไร ยอมรับว่าขายหมู
แต่ผมคิดว่าผมตัดสินใจไม่ผิด และผมยังทำตามแผนที่ได้ไตร่ตรองไว้
ซึ่งผมถือว่าความมีวินัยต่อแผนการที่เราวางไว้
เป็นข้อสำคัญข้อหนึ่งในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ

อย่าลืมว่า ณ วันนี้คือการมองไปในอดีต
เราอาจจะเห็นว่าเป็นการขายหมู
แต่ ณ วันนั้นที่ตลาดแดงทั้วโลก
Fund Flow ไหลออกไทยเกือบหมื่นล้านในวันเดียว
และถ้าเกิด USA ไม่ออกมาตรการตรึงดอกเบี้ย
บางทีคนที่ขายหมูอาจจะโชคดีกว่าคนที่หุ้นเต็มพอร์ตด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่าหากวิกฤตมา คนที่ถือเงินสด เป็นผู้ที่มีโอกาสชนะมากกว่าใคร !
( ยกเว้นพวกที่ Short Future นะ )



อันนี้เป็นความรู้ที่แอบจดมาจาก Facebook ของ พี่บอย
Vivitawin Krerngkamjornkij นะครับ

" นลท.ที่พยายามใช้เทคนิคกราฟหรือรูปแบบ
ในการทำนายอนาคตแล้วผิดบ่อยๆมักจะเกิดอาการเครียด
อันที่จริงแล้วกราฟไว้ใช้ป้องกันความเสี่ยงไม่ใช่การทำนาย "

สมมติ ถ้าเราเอา เส้น sma100day เป็นเกณฑ์
ถ้าเหนือเส้นนี้ก็เพิ่มหุ้น ถ้าใต้เส้นนี้ก็ลดหุ้น หรือ
ถ้าหลุด sma200day ก็ล้างพอร์ต ถ้าขึ้นมาก็ค่อยซื้อหุ้น
แม้จะไม่ได้ทำให้รวยเร็วในช่วงsideway
แต่ความเสี่ยงในการที่จะขาดทุนหนักๆในช่วงวิกฤตก็แทบไม่มี
และเวลาฟื้นจากวิกฤตขาขึ้นก็ถือหุ้นได้นานขึ้นก็รวยได้

เราลงทุนในตลาดฯ การละเลยสภาพตลาดไปเลยผมว่าเสี่ยงมากนะครับ

บางทีขายไปถูกกว่าแต่พอมายืนได้เราก็อาจจะต้องซื้อคืนแพงกว่า
แต่ถ้ามันลงอีกก็ต้องขายอีก ผมเข้าใจว่ามันขัดใจคนเล่นแนวพื้นฐาน
แต่มันคือการป้องกันความเสี่ยง
ก็คล้ายๆกับการเสียเบี้ยประกันชีวิตให้พอร์ตเราอ่ะครับ
ดีกว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย

อีกอย่างคือเราไม่เทพก็จัดการตามฐานะของเราแบบไม่โลภมากดีกว่า
เอาสบายใจเข้าว่า อิอิ

No comments:

Post a Comment