Pages

Monday, April 18, 2016

0444 : Note การดู Mudley Channel ตอน How to observe market from micro account


Note การดู Mudley Channel ตอน How to observe market from micro account

Link Youtube : https://youtu.be/YWYJ7rkYFhE

คลิปนี้พูดเรื่องการใช้ micro account , cent account ในการสำรวจตลาด , ทดสอบ strategy ของเรา แต่ก็ออกทะเลไปในส่วนของ TA ซะเยอะอยู่ครับ มีพูดถึง MACD , Elliott Wave , RSI ด้วย


เริ่มที่ ข้อดีของ micro account คือ
1. ใช้เงินลงทุนน้อย ในตอนที่เรายังไม่มี exp เช่น เปิดพอร์ตด้วยเงิน 3,000 บาท มันให้อะไรเราได้มากมาย (เรียนรู้แบบ save cost)
2. หากมีวิธีคิดที่ถูกต้องจะเก็บ exp ได้นาน (ช่วงทดสอบ strategy ของเรา)
3. ใช้ในการ Test มุมมอง อยู่ถูก Trend หรือไม่ ?


สิ่งที่จะช่วยให้เทรดเดอร์อยู่ในตลาดได้ คือ ความคิด
พวก spread หรือ โบรค ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
การที่เราเจ๊งแล้วโทษโบรค = เล่นบอลแล้วโทษว่ารองเท้าแย่กว่าเพื่อนๆ

การเลือกอาจารย์ที่จะเรียนก็สำคัญ ต้องมอง Risk/Reward ด้วยว่าคุ้มค่าไหม ?


พี่ต้านชอบใช้ Port Cent ที่เป็น unit trade เพราะคำนวณเงินง่ายดี


จากนั้นก็จะเป็นช่วงพูดถึง MACD...
MACD ต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง Histogram และ Average
เวลาจะเทรดอะไร ให้หาเหตุการณ์ที่ยากที่จะเกิดขึ้น (พี่ต้านเรียกว่าจันทรุปราคา) เพื่อ Test Strategy

สิ่งที่ยากที่จะเกิดของ MACD...
1. จุดตัด 0
2. จุด Top
3. จุด Bottom
แต่จุด Top กับ จุด Bottom นั้น เราไม่รู้ มันก็จะเหลือแค่จุดตัด 0

MACD อยู่ที่จุดตัด 0 ได้นานแค่ไหน ? = (จันทรุปราคา ไม่คงอยู่ตลอดไป)

TA ... ใช้หา event ที่มันเกิดได้ยาก -> พวก option trader เข้า action เพราะรู้ว่ามันจะฉ๊กออกจากจุดนั้นแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่ามันจะไปทิศทางไหน

ถ้าเข้าใจ Indicator , เข้าใจ Quant สามารถทำเป็น Linear ได้


คนที่ใช้ TA มักจะมีอารมณ์หลอน ... กลัวผิด ทำให้ มีข้ออ้างเยอะ (รอดูก่อน รอสัญญาณ รอ confirm) ทำให้เอา stop loss มาใช้

แต่ TA ไม่ใช่เรื่องของการ predict มันมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้น ต้องตามด้วย tactic ที่จะใช้ กับ strategy นั้น

TA หาเหตุผิดปกติ -> คนที่เชื่อใน TA ก็จะเป็นแรงส่งให้ TA อีกต่อนึง เช่น MACD ตัด 0 ก็จะมีคนตาม ... แต่การตัดสินใจมีผิดมีถูก หากผิดก็จะเรียกว่า False Signal


สำหรับพี่ต้าน TA ให้จุด Take Action ที่ดี = จังหวะที่ไม่มีบ่อยมากนัก

TA หัวใจของมันคือ จังหวะ


เข้าใจ TA ขั้นต่อมา คือการสร้าง Tactic แต่ต้องผ่าน Require พื้นฐานก่อน


Require พื้นฐาน
1. สร้าง system ที่ generate cash flow สม่ำเสมอ
2. คนที่ไม่มีพื้นฐาน จะกังวลเรื่องถูกผิด เพราะไม่มีระบบคอย support
3. ตัวอย่างเช่น กำไร $100 แบ่ง $30 ใส่ micro account เอาไปเล่น trend follow ... พี่ต้านยกตัวอย่าง เปิดกราฟ EURJPY ซึ่ง MACD TF Month กำลังตัด 0 ลงมาพอดี ก็แบ่งไปเล่น Short Bias 6 นัด จัดกระสุนแบบ สั้น 2 , กลาง 2 , ยาว 2 ใช้เงินทั้งหมด 740 yen



แล้วพี่ต้านก็พาออกทะเลไปยัง Elliott Wave (ซึ่งผมก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนะครับ แนะนำให้เปิดดูกันเองดีกว่า 555)

Elliott Wave = คลื่นทางจิตวิทยา ไม่ได้มี 5 คลื่น ส่วนจะมีกี่คลื่นนั้นขึ้นอยู่กับจิตวิทยาของคน

การตีความ จะแบ่งเป็น Wave หลัก & Wave ย่อย

Wave หลัก = คน Agreement

การดู Elliott Wave ต้องเอา Moving Average ไปจับเพื่อดูว่ามันเป็น Wave หรือไม่ด้วย

การนับ Wave ประกอบด้วย Wave หลัก ต้องมี คลื่นน้ำขึ้นและคลื่นน้ำลง (ขาขึ้น+ขาลง)

การดูคลื่นต้องดูภาพรวม ดูมุมกว้างๆ Time Frame ใหญ่ๆๆๆ

การใช้ MA จับ Wave นั้น เมื่อไหร่ที่ Price เริ่มต่ำกว่า MA และ Reset High เดิมไม่ได้ = การกลับตัวเป็นขาลง (พี่ต้านใช้คำว่าน้ำลง) -> Trader ที่มีประสบการณ์สูงจะเริ่มเปลี่ยน strategy

การวิ่งของราคาที่ไม่เคยลงมา Test MA เลย = คลื่นมวลมหาประชาชน หรือ Wave 3 นั่นเอง

การวิ่งของราคาใน Wave 1 จะมีการกลับมา Test MA บ้าง เป็นการขึ้นแบบไม่ Strong เนื่องจากคนยังกลัวอยู่...

ส่งผลให้ Wave 2 นั้น จะลงแรงและเร็ว (Reset เร็ว) จากความกลัว แหยงๆ ช่วงก่อนหน้า Wave 1

การเริ่มนับคลื่นนั้น จะนับก็ต่อเมื่อมันแซง (สูงกว่า) คลื่นเก่าเท่านั้น

Wave 4 = การล่อลวง หล่อกล่อซะส่วนใหญ่ ซึ่งจะตามมาด้วย Volatility

Wave 5 พี่ต้านยังไม่บอก รอ S&P เฉลยก่อนแล้วจะมาบอก...

MA จะเป็นตัว Confirm Wave (เมื่อ slope เปลี่ยน)

Wave A , B , C จะมาในคลื่นย่อย คือตั้งแต่ Time Frame Day ลงมา

หลังจาก Wave 5 ไปแล้ว มันคือการฟอร์มตัว

คลื่น... มีขึ้น มีลง เท่านั้น / ตอนหลังๆก็พูดซ้ำอีกทีว่า ชีวิตมันก็มีแค่ Wave ขึ้น กับ Wave ลง

จบ Elliott Wave ครับ (พี่ต้านบอกระวังธาตุไฟเข้าแทรกด้วยนะ)

เทรดเดอร์มักจะ Buy ที่ยอด Wave  เพราะมองแค่ว่าราคาร่วงลงมาเยอะแล้ว จากความผันผวนในภาพเล็ก



การ Predict ทำให้เครียด -> คิดมาก
Predict เป็นเรื่องของคนมีตังค์ หรือเงินเหลือ -> ไม่อยากให้ Predict เพราะไม่อยากให้เสียตังค์

การ Predict นั้นใช้ Energy สูง และต้องมีจุดที่คิดผิด ที่จะต้องมา Reset
ถ้าถูกเรื่อยๆ เราก็จะเกิดความคิดว่าเราเก่ง ทำให้เกิด Ego
แต่ถ้าผิด ก็ถูก Reset , Stop Loss ... และวันดีคืนดี ก็จะมีคนรู้แกว เล่นกับ stop loss ของเรา


ความเชื่อของเรา ออกมาเป็นพอร์ตของเรา ออกมาเป็น Resume ของเรา = ชะตากรรมของเรา ... เลือกที่จะเชื่อแบบไหน ก็ต้องยอมรับผลของมันด้วย


ตอนแรกพี่ต้านจะพาออกไปหา Fibo ด้วย แต่ก็กลับเข้าฝั่งก่อน ทิ้งไว้แค่ว่า มันเป็นเหมือน MA แบบขีดเส้น...



ต่อด้วยการออกทะเลไปยัง RSI

RSI เหมือนการทอยเหรียญ
เช่น RSI (10) = การทอยเหรียญ 10 ครั้ง
RSI 70% = ออกหัว 7 ครั้ง หรือถ้าในตลาดก็คือ ราคาขึ้น 7 วันใน 10 วัน

RSI = การทำสถิติทอยเหรียญ หรือการออกดำกี่ครั้ง ออกแดงกี่ครั้งในรูเล็ตต์ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เรา Take Action

RSI จะบอกว่า มันขึ้น/ลงมานานหรือยัง ในรอบ ... วัน (คล้ายๆขึ้น = ออกหัว , ลง = ออกก้อย)

วิธีการ Test RSI ให้รู้ว่าตลาดเป็น Trend หรือไม่เป็น Trend คือ...
ถ้าเป็น Trend ... RSI จะขึ้นมากกว่าลง Test ด้วยการใช้ position น้อยๆลองยิงไป ถ้าถูกจะได้ระยะ เพราะเจอ Trend ราคาจะวิ่งแรง

ตามตำรา RSI เหมาะกับ Swing Trade

RSI ถ้าเจอ Trend มันจะติดลมบนตลอด (ติดโซนบน) ... แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็น Trend จริงหรือไม่ ... ถ้ามันเป็น Trend จริง มันต้องขึ้น (อยู่ในโซน 70 ตลอด) และต้องขึ้นมากกว่าลง ... ส่วนขาลงนั้น มันต้องลงมากกว่าขึ้น

P'ต้าน ใช้วิธี ซื้อ position หรือ option ณ Zone (เวลาราคาวิ่งชนกรอบ) RSI


จากนั้นออกทะเลต่อมาที่ Money Flow Index อีกนิดหน่อย โดยพี่ต้านแนะนำว่า ไม่ควรใช้ใน MT4 เนื่องจาก Money Flow Index นั้นมันต้องใช้ Volume มาเกี่ยวข้อง (มันคือ Ratio ราคาเมื่อเทียบกับ Volume) ซึ่งใน MT4 มันไม่ใช่ Volume ที่แท้จริง แนะนำให้ใช้ในตลาดหุ้นจะดีกว่า


เปิด War = ไม่รักพี่ต้าน ... ขออยู่เงียบๆเป็นวิทยุชุมชนดีกว่า ... มุมมองใครก็มุมมองมัน
สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราอยู่ได้คือ การไม่เป็นศัตรูกับใคร



การ Back Test ...

ทำไมบาง Fund ต้องจ้างนักวิทยาศาสตร์ หรือ นักคณิตศาสตร์ ถ้าทำ Back Test หรือระบบ Static ทั่วๆไปมันก็ ok มันก็ไม่ต้องจ้าง ... แต่มนุษย์มีการปรับตัวตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่เราชนะบ่อยๆ แสดงว่าเงินอยู่ที่เรา เช่น เดือนนี้พี่ต้านได้กำไรเยอะ ก็ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เปลี่ยนแนวคิด เพื่อไม่ให้อยู่นิ่ง ... ถ้าเรายึดติดกับแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง วันนึงมันอาจจะใช้ไม่ได้ผลก็ได้

ผลการเทรด ... ตลาด เป็น ไดนามิก มันอาจจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็ได้

Back Test ใช้ได้... แต่อย่ายึดติด

อย่าแสวงหา system ที่ดีที่สุด -> system ที่แย่ที่สุดในบางเวลามันอาจจะดีที่สุดก็ได้ มันกลับไปกลับมาตลอด


ทำอย่างไรเราถึงจะเอาตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลง movement ของตลาด เมื่อตลาดเปลี่ยน system เดิมที่เราใช้ pay off มันอาจจะไม่สูงสุดแล้ว ตาม Game Theory



สิ่งที่ดู Volatility ได้ดีก็คือ Positions

Trader ชอบ Volatility -> ถ้าวาง close system จะได้ return สูง

positions เล็ก ให้วิ่งหา Volatility ดูตัวที่ price movement แรงๆ แล้วใช้ port micro เก็บ Vol -> trend ไม่ได้เปรียบเท่าไหร่ เพราะเงินน้อย

positions ใหญ่ ให้วิ่งหนี Volatility เนื่องจากอาจจะทำให้เจอ Draw down หรือ cut loss



Port Micro
- ทำให้เราเห็น information ของตลาด
- ฝึก trading
- ถ้าเรามีฝีมือดี เราต้องสร้าง positions ขึ้นไปได้
- ถ้าเทรดได้ดี $10 -> $100 ก็ต้องทำได้อยู่ดี
- ถ้าเราเทรดไม่ดี จาก $10,000 ก็เป็น $100,000 ไม่ได้
- อยู่ที่การเทรดของเรา แค่ลดขนาด Ratio ลงมา แล้วทำเหมือนการเทรดปกติ
- อย่ากลัว spread เอาชนะมันให้ได้ กลัวอะไรนักหนา!
- ถ้ากลัว spread แสดงว่า strategy เราสั้นมากๆ ?
- มันถือเป็นการ Forward Test
- วางเงินให้ถูก Cent Account $100 เอาอยู่สบาย


ประสบการณ์ , Knowledge เราอยู่ตรงไหน Realize มันออกมา


เราไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเดียว หรือ ความเชื่อแบบเดียว โอกาสที่จะยืดหยุ่นปรับตัวก็ยาก การยึดติดมากๆอาจจะทำให้เรากลายเป็นเหยื่อก็ได้


คิดวางแผนให้รอบคอบ ไม่จำเป็นต้องใช้ close system ก็ได้ มีหลายทางเลือก แต่เราต้องเข้าใจว่าจะใช้ทางเลือกไหน


อ่านตอนก่อนหน้าตรงนี้นะครับ 
Note Mudley Channel ตอน การพัฒนาตัวเองกับปลาหมึก
Note Mudley Channel ตอน เทรดเดอร์ยุคใหม่และโอกาส
Note Mudley Channel ตอน Principle ของเทรดเดอร์


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

No comments:

Post a Comment