Pages

Sunday, May 1, 2016

0448 : Note การดู Mudley Channel ตอน เฉลยข้อสอบกลางภาค 2016


Note การดู Mudley Channel ตอน เฉลยข้อสอบกลางภาค 2016

Link Youtube : https://youtu.be/uZd54MTxX1o
Link Youtube : https://youtu.be/NlhQRixf2qk


อันนี้ผมดูค้างไว้นานมา ตั้งแต่ช่วงหยุดสงกรานต์ พอเปิดทำงาน งานเยอะเลยไม่ได้ดูต่อ เพิ่งมาดูจบเมื่อวาน ฮ่าๆ ช่วงต่อจากนี้ก็อาจจะไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ เพราะต้องเรียนบัญชีของรามคำแหง อีก 160 ชั่วโมง (รู้เลยว่าเวลามีค่ามาก In Time สัสๆ) แต่ก็อาจจะแบ่งๆเวลาเอานั่นแหละครับ

สิ่งที่เราเลือก สิ่งที่เราใช้เวลามันก็มีผลกับเราอ่ะเนอะ


มาเข้าเนื้อหาดีกว่า ในคลิปนี้จะพูดถึงเรื่องการสอบกลางภาค ที่ให้แปล Principle ของ Ray Dalio

การทำ Live ของ Mudley คือ ต้องการสอนคนที่ต้องการเป็น expert

การสอบ = การทดสอบว่าเรามีความพยายามในการเรียนรู้ขนาดไหน

การอ่าน = ความพยายามที่เราไม่ต้องลำบาก ไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ

การอ่านมีหลายแบบ ... แต่คนทั่วไปจะอ่านแบบเดียวคืออ่านให้จบ มีสรุปบ้าง ... ถ้าเราอ่านได้แบบเดียว แสดงว่าการอ่านของเรามีปัญหา อาจจะทำให้ไม่ได้ความรู้มากนัก

หากอ่านแบบทั่วๆไปก็จะได้ความรู้แบบ Average Knowledge จำได้บ้างไม่ได้บ้าง และ มักจะคิดว่าเราเข้าใจ

ยกตัวอย่างการอ่าน ... อ่านหนังสือ 1,000 เล่ม ถ้าเจอหนังสือที่ชอบ 5 เล่ม ก็ต้องไปลงรายละเอียด นี่คือการอ่านที่เหมาะสม อันไหนที่เราชอบ ต้องลงลึก หรือ อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับอาชีพของเรา ความรู้ของเรา ต้องลงในรายละเอียด

บางทีการอ่านแบบสรุปของเรา (อ่านแบบ Scan แล้วสรุป) ทำให้เราทิ้งรายละเอียด อาจจะข้ามเนื้อหาที่เราคิดว่าไม่สำคัญ และตัดมันออกไป ซึ่งจริงๆแล้วมันอาจจะสำคัญก็ได้

การสอบก็เลยให้อ่านสิ่งที่สำคัญ คือ Principle เนื่องจาก อยากให้เจอกำแพงด่านแรก เช่น ไม่ชอบอ่านหนังสือ , เกลียดภาษาอังกฤษ , ความขี้เกียจ ซึ่งเราก็จะได้รู้ว่าตัวเรามีกำแพงอะไรขวางอยู่

... แล้วทำไมต้องอ่าน Principle -> เพราะจะได้เข้าใจแนวคิดจากประสบการณ์ของ Ray Dalio ... และเพื่อไม่ให้เราตัดสินว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ ก็เลยให้แปลทั้งหมดเล่มก่อน ซึ่งมันจะเป็นการอ่านแบบละเอียด

ส่วนใหญ่คนเรามักจะพลาดโอกาสในชีวิต เพราะการด่วนตัดสินใจ ว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ (ซึ่งจริงๆแล้วมันอาจจะสำคัญก็ได้)

ทุกอย่างที่เราด่วนตัดสินใจไปก่อน มันอาจจะทำให้เราพลาดเนื้อหาสำคัญไปก็ได้


การสอบกลางภาค จะวัดว่า แต่ละคนมีความพยายามอยู่ในระดับไหน ?
Slow life , เป็ด , expert , มีความพยายามสูง ... ทุกคนจะรู้ตัวเอง

หากความพยายามน้อย ... การเทรนเป็นมืออาชีพจะยาก !


การอ่านแบบ Speed Reading คืออะไร ?
มันคือการ scan ว่าเราชอบหนังสือเล่มนี้ไหม ควรจะลงลึกไหม เพราะสิ่งสำคัญในการ learning something คือ เมื่อเรารู้ว่าเราชอบอะไร ก็ต้องลงลึกกับมัน
 

ยิ่งเข้าใจธรรมชาติ ยิ่งเทรดได้ดี
เข้าใจหรือไม่ ... วัดจาก equity curve


การสอนของ mudley จะสอนแบบให้สัมผัสกับความเป็นไปของโลกแบบจริงๆจังๆ ... ขณะที่เราไม่พยายาม จะมีคนอีกหลายคนที่เค้าพยายามอยู่ ถ้าเราอยากทำอาชีพนี้ แต่ไม่พยายาม เราจะมีจุดยืนในอาชีพนี้ได้อย่างไร ในขณะที่คนอื่นเขาพยายามมากกว่า ... ต้องมองให้เป็นอาชีพ คนที่พยายามมากกว่าก็จะมีสปอตต์ไลท์ส่องไปที่เค้า


อุปสรรค หรือ กำแพง ที่เราเจอนั้นมันเล็กน้อยมาก เทียบกับเด็กเอธิโอเปีย ยังไม่ได้เลย !


สิ่งสำคัญถ้าเราอยากจะ learning คือ energy
ต้องมีพื้นฐาน energy ที่ดี ... แบตเตอร์รี่มากกว่าคนอื่น

การเพิ่มแบตเตอร์รี่ให้ตัวเอง เราควรจะเพิ่ม Capacity
อย่างแรกคือ รู้ว่า limit ของเราอยู่ตรงไหน เช่น การแปล principle แต่ละคนก็จะมีปฏิกิริยาต่างๆกันไป บางคนมีข้ออ้าง หรือ logic ต่างๆ (ทำไมต้องทำ , ไม่จำเป็นหรอกม๊าง , ไม่มีเวลา ...) นั่นคือ limit ของเรา ... มนุษย์เรา limit แรก ก็คือ ข้ออ้าง ... ข้ออ้าง + logic ที่จะไม่ให้เราเกิน limit

ยกตัวอย่าง ถ้าพี่ต้านเป็น leader ของวงการ ก็จะไม่อยากให้คนอื่นๆ เกิน limit เพราะมันหมายถึงการมีคู่แข่ง จึงอยากจะให้มีคนที่อยู่ในระดับ average เยอะๆ สปอตต์ไลท์จะได้ส่องไปที่พี่ต้าน ให้คนอื่นๆฝึกผิดๆถูกๆ อยู่สบายๆชิลๆ เป็นเหยื่อที่จับกินง่าย เราจะรู้สึกว่าความสบาย ความง่ายมัน makesense

จงคิด วิเคราะห์ ให้ดีๆ ว่าเรา ok ไหม กับสิ่งที่เราจะเป็น ... ถ้าไม่ ok ก็ต้องพยายามก้าวข้าม limit ของเราไปให้ได้ (เลือกแบบไหน ก็ต้องยอมรับผลของความเชื่อเรา)

บางทีต่อให้เรารักสงบ แล้วเราไม่มีทักษะบางอย่าง ก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อได้ วันไหนเราเจอผู้ล่า ก็เป็นเหยื่ออยู่ดี


การเพิ่ม limit เริ่มจาก ร่างกาย ก่อน ซึ่งก็คือการว่ายน้ำ (มีผลการวิจัยว่ามันช่วยได้หลายอย่าง) ในบาง Firm อาจจะให้วิ่ง , ปั่นจักรยาน , ชกมวย ... มันอยู่ที่ mentor ว่าจะ Research ลึกขนาดไหน

ทำไมให้เทรดเดอร์ว่ายน้ำ ? ... เพราะมันจำเป็นในการฝึก และมาจากการ Research ไม่ได้คิดไปเอง และ กีฬาแต่ละแบบไม่เหมือนกัน ให้ outcome ต่างกัน ... กีฬาหลายๆประเภทไม่ได้ช่วยให้เทรดเดรอ์ซ่อมแซมเซลล์สมองได้เท่ากับว่ายน้ำ

เวลาเทรดเก็บ exp หน้าจอ ถ้าไม่ว่ายน้ำ ก็จะเหมือนปลาทอง เรียนไปก็เท่านั้น ... เวลาว่ายน้ำอ็อคซิเจนไปเลี้ยงสมองมากขึ้น จาก Research ก็คือ ขั้นต่ำ 14%

Process ในการเป็น mentor ต้องมีการวิจัยมาก่อน ไม่เอา process มั่วๆมาเทรน ... ไม่เอาเด็กมาเสี่ยงกับความเชื่อส่วนตัว


การสร้าง Energy
-> เริ่มออกกำลังกายในประเภทที่เพิ่มแบตตอร์รี่ (ว่ายน้ำ)
-> ว่ายน้ำแล้วต้องหาเวลา NAP ... แต่ถ้าว่ายแล้วทิ้งไว้นานไม่ได้ NAP มันจะกลายเป็นการฝืน ... ใช้ Energy  แล้วก็ต้อง Refresh กลับมา
-> ฝึก เพื่อเป็นนายของร่างกาย
-> ต้องพร้อมที่จะ NAP ตอนเพลียหรือล้า จะได้ไม่เป็นการ ฝืน
-> ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ไม่ใช่ออกกำลังกายให้หนัก
-> การว่ายน้ำให้คอนโทรลสโตรคให้เหนื่อยพอที่จะ NAP (วันละ 2 รอบ)
-> กิน , ว่าย , พัก , NAP , ใช้ชีวิตปกติ
-> สารกระตุ้น เช่น พวกกาแฟ ในระยะยาวไม่ Work
 
เมื่อ Physical พร้อม Mental ก็จะมา ... Physical เป็นประตูแรกของการเพิ่มแบตเตอร์รี่ ... ต้องเริ่มที่ Physical


ณ ปัจจุบัน เรามีความพยายามแค่ไหน ?


มืออาชีพ
-> พร้อมที่จะแพ้ได้
-> ไม่มีเวลาดราม่า -> เอาเวลาที่มีไปฝึกฝน -> คนอื่นเค้าก็ฝึกฝนตลอดเวลาเหมือนกัน


แนะนำให้อ่านหนังสือ "ฮาวาร์ด มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก สอนวิธีคิด"


คนที่จะเป็น The Best ต้องมี Passions จริงๆ
เป็น Thinker ไม่ใช่ Logic ... คือ รู้จักคิด ประมวลผล ไม่ตัดสินผิดถูก เพราะมันเสีย Energy
เจออะไรที่เหมาะก็นำไปใช้ ไม่เหมาะก็ปล่อยผ่านไป


คนที่ Success จะมีหลักคิดของตนเอง ที่ให้อ่าน Principle ก็เพื่อให้มีหลักคิด


ต้องคิดตั้งแต่เรื่องการเลือกโบรคเกอร์
-> จะเทรด Forex ทำไมไม่เลือกโบรคที่มันมั่นคงตั้งแต่แรก
-> สิ่งสำคัญที่สุดคือ เงินต้องไม่หาย ไม่สูญ ไม่ใช่เหรอ ?
-> แต่เรายังชอบเห็นผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆเฉพาะหน้า เช่น spread ต่ำ ... เรามักโดนผลประโยชน์เฉพาะหน้าหลอก
-> การ protect เงิน สำคัญ แล้วเราควรเลือกโบรคไหนดีล่ะ ?


ว่ายน้ำ = ทำสมาธิ ... ส่วนวิธีอื่นต้องไปทดลองเอง เพราะพี่ต้านไม่รู้ ที่ว่ายน้ำก็เพราะปรึกษา Mentor มาแล้วเลือกใช้ ... แต่ทำสมาธิ แทนว่ายน้ำ ไม่ได้ เพราะทำสมาธิไม่ได้ Drain Energy ออกไป

การ Drain Energy จะทำให้เรา NAP ได้

การ NAP ให้ร่างกายบอกเราเอง เช่น ตื่นมาแล้วสดชื่น แต่ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง ถ้าเกินก็เรียกว่าขี้เกียจ 555

สั่งร่างกาย ... NAP = Refresh ... เราบริหารมันได้


จบ.



อ่านตอนก่อนหน้าตรงนี้นะครับ
Note Mudley Channel ตอน การพัฒนาตัวเองกับปลาหมึก
Note Mudley Channel ตอน เทรดเดอร์ยุคใหม่และโอกาส
Note Mudley Channel ตอน Principle ของเทรดเดอร์
Note Mudley Channel ตอน How to observe market from micro account


http://value-visions.blogspot.com/
https://www.facebook.com/valuevisions/
https://twitter.com/ValueVisions

No comments:

Post a Comment