Pages

Saturday, June 25, 2011

0008 : เหตุผลในการลงทุน

ตั้งแต่ต้นปีมา มีคนรอบๆข้างผมหลายคนเลยครับ
ที่มาขอให้ผมสอนเล่นหุ้นให้ที บางคนก็ให้พาไปเปิดพอร์ต

ไอ้การที่เป็นคนสอนเล่นหุ้น หรือพาไปเปิดพอร์ตนี่
สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นภาระหนักเหมือนกันนะครับ
เพราะหากเราคิดจะพาใครเดินเข้าสู่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว
เราก็ต้องดูแลเค้าจนกว่าที่เค้าจะเดินเองได้
คิดเป็น วิเคราะห์เป็น แล้วก็สามารถทำกำไร หรือ เอาตัวรอดเองได้
แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่พอเราพาไปเปิดพอร์ตเสร็จ
แล้วเค้าก็เดินไปในทางของตนเอง
อาจจะไม่ถูกใจกับแนวทาง Value Investing เหมือนผม
อันนี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะมี จริต เหมาะกับการลงทุนแบบไหน
เราคงบังคับใครไม่ได้ จริงไหมครับ ?

ซึ่งจริงๆแล้วส่วนสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนแนวไหนหรอกครับ
อันที่จริงมันน่าจะอยู่ที่เหตุผลเริ่มแรกในการลงทุนของเรามากกว่า

ว่า "เราลงทุนไปเพื่ออะไร ?"


หลายคนไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่แรก
บางคนอาจจะเข้ามาลงทุนเพราะเห็นแค่ว่า
มีคนทำกำไร สร้างผลตอบแทนได้สูงๆ
เลยอยากหาเงินได้เยอะๆตามบ้าง
เพราะคิดว่าการลงทุนมันเป็นการหาเงินแบบง่ายๆ
แบบนี้ก็มีนะครับ (ถ้ามาลงทุนเพราะเหตุผลนี้โอกาสรอด ยากส์!)
การที่เป้าหมายไม่ชัดเจน ทำให้แนวทางการลงทุนนั้นแปรเปลี่ยนได้ง่าย
จนอาจจะทำให้กลายเป็นสะเปะสะปะไปเสียนั่นแหละครับ

เราต้องจดจำเป้าหมายของเราไว้ให้มั่นครับ
ดังคำที่ว่า "เป้าหมายให้สลักไว้บนหินผา แต่วิธีการนั้นให้เขียนลงบนผืนทราย"
เป้าหมายสลักไว้ ไม่แปรเปลี่ยน แต่วิธีการปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ครับ
เราต้องแยกข้อนี้ให้ออก...



ทีนี้มาดูว่าเหตุผลในการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของเรามีอะไรบ้าง


1. ลงทุนเพื่อสร้าง passive income เพื่ออิสรภาพทางการเงิน
มา Blog นี้ก็ต้องข้อนี้เป็นเป้าหมายแรกแหละครับ หากเรามีเป้าหมายนี้ไว้ในใจ
ทำให้เราจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง ถอนทุนออกจากพอร์ตไปใช้จ่ายบ่อยๆ
เพราะเราต้องการสร้างผลตอบแทนแบบ passive income ที่มากพอ
ที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้


2. บางคนก็ลงทุนเพื่อรักษามูลค่าของทรัพย์สิน
(สำหรับคนที่รวยอยู่แล้ว หรือ คนที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาจากข้อ 1.)
ลองคิดดูว่า หากคุณลงทีจนมีพอร์ต 100ล้าน พันล้าน คุณจะหยุดลงทุนหรือไม่ ?
จะขายหุ้นล้างพอร์ตทิ้งแล้วเอาเงินไปนอนนิ่งๆกินดอกเบี้ยในธนาคารรึเปล่า ?
คงไม่ใช่ เพราะถ้าหากทำอย่างนั้นจริงๆ ความมั่งคั่งที่สั่งสมมาอาจจะถูกเงินเฟ้อ
ริดรอนมูลค่าในตัวมันจนหมด (จากที่รวยในรุ่นปู่ อาจจะกลับมาจนในรุ่นหลาน)


3. ลงทุนเพื่อการกุศล
คนที่รวยแล้ว อาจจะลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน แล้วเอาผลตอบแทนนั้นคืนสู่สังคม
อย่างเช่น บัฟเฟตต์ หรือ จอร์จ โซรอส หรือคนที่มีฝีมือด้านการลงทุนก็อาจจะรับ
บริหารเงินให้กับมูลนิธิ องค์กรการกุศล หรือ แม้กระทั่งอาจจะบริหารให้กับญาติๆก็ได้
(สำหรับผมการบริหารเงินให้กับคนที่เรารักก็เป็นการช่วยเขาอย่างนึงนะ)


4. อยากเป็นเจ้าของบริษัท
บางคนอยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่อาจจะไม่ลงมือทำเอง ซื้อหุ้นเอา ถ้ารวยหน่อย
ก็ซื้อเยอะหน่อย อย่าง บัฟเฟตต์ ไง ชอบบริษัทไหน อยากเป็นเจ้าของบริษัทไหน
ก็เทคโอเวอร์มาซะ เป็นเรื่องปกติใช่ไหมครับ ที่เราจะอยากเป็นเจ้าของบริษัทดีๆ


5. อยากหารายได้เพิ่ม
ขอแบ่งข้อนี้เป็น 2 ข้อนะครับ

5.1 อยากหารายได้เพิ่มจาก จาก passive income
มีบางคนลงทุนในหุ้นโดยอยากได้รายได้เพิ่มจากเงินปันผล และไม่ได้หวังจะรวยเร็วๆ
คือมีรายได้จากงานประจำอยู่แล้ว แล้วก็นำมาซื้อหุ้นปันผลเพื่อเป็นโบนัสให้กับตัวเอง
พอปันผลออก ก็นำมาให้รางวัลตัวเอง ไปเที่ยวโน่นเมืองนอกบ้าง ซื้อของที่อยากได้บ้าง
แบบนี้ผมว่ามันก็มีความสุขไม่หยอกนะ


ส่วน 5.2 ข้อนี้เป็นเหตุผลของหลายๆคน(เท่าที่เจอมานะครับ)
บางคนเห็นคนใกล้ตัวเล่นหุ้นแล้วมีกำไร ก็อยากเล่นบ้างนึกว่ามันง่าย
โดดเข้ามาร่วมวงแบบไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง กลายมานักเก็งกำไร
หาค่ากับข้าวรายวัน กำไรมาก็เอามาใช้จ่าย เลี้ยงหญิง เลี้ยงเพื่อน
(แต่ตอนขาดทุนไม่ยักกะมีคนเลี้ยงบ้างฟระ)
เหตุผลนี้เป็นเหตุผลที่อันตรายที่สุดในการเข้ามาลงทุนครับ
เพราะมันทำให้เราเดินผิดทางตั้งแต่แรก และมันไม่มีวันโต


แต่ถ้าใครเข้ามาลงทุนโดยไม่มีเป้าหมายหรือเข้ามาตามเหตุผลข้อ 5.2
ก็ไม่ต้องเสียใจไปครับ เรากลับมาคิดทบทวนใหม่ได้นี่ ว่าจริงๆแล้ว
เราต้องการลงทุนเพื่ออะไรกันแน่ ?


อันที่จริงอาจจะมีเหตุผลอื่นอีกมากมายนะครับ
บางคนก็อาจจะลงทุนระยะสั้นๆเพื่อพักเงินก้อนนึงไว้ใช้จ่าย
เช่นอาจจะลงทุนระยะสั้น 3เดือน 6เดือน หรือ 1-2ปี
ไว้เพื่อดาวน์รถ หรือดาวน์บ้าน แต่ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ
เพราะถ้าจะลงทุนด้วยเหตุผลนั้นจริงๆ ผมไม่แนะนำให้เอามาลงทุนในหุ้น
เนื่องจากระยะสั้นๆมันมีความผันผวนสูงครับ


สุดท้ายนี้ก็ขอให้ผู้ที่คิดจะเข้ามาลงทุนในหุ้นทุกท่าน
หาคำตอบจากตัวเราเองก่อนว่า เราลงทุนไปเพื่ออะไรกันแน่ ?
เราจะได้เลือกทางเดินที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มเดินครับ

No comments:

Post a Comment